7 ข้อสังเกตสำคัญ จากการประท้วง “รวมพลังแผ่นดินฯ”

การชุมนุมประท้วงของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ได้กลายเป็นการชุมนุมที่ใหญ่ที่สุดในไทยนับตั้งแต่พรรคเพื่อไทยได้กลับมาเป็นผู้นำรัฐบาลในช่วงกลางปี 2566 เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่าผู้ชุมนุมที่มารวมตัวกันเต็มพื้นที่รอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิสูงสุดถึงสองหมื่นคนในช่วงหนึ่งทุ่มของวันเสาร์ที่ผ่านมา

กลุ่มที่เรียกตนเองว่าคณะรวมพลังแผ่นดินฯ ประกาศว่าการชุมนุมครั้งนี้เป็นไปเพื่อ “ปกป้องอธิปไตย” และส่งเสียงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ลาออกจากตำแหน่ง รวมถึงเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลทันที

.ลงพื้นที่การชุมนุมตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงสิ้นสุดการชุมนุมในช่วงค่ำ รวมถึงคุยกับนักวิชาการที่ศึกษาการเคลื่อนไหวของกลุ่มอนุรักษนิยมในไทยที่เคยชุมนุมขับไล่รัฐบาลที่มีผู้นำเป็นคนในตระกูล “ชินวัตร” มาก่อน และนี่คือ 7 ประเด็นสำคัญจากทั้งถ้อยคำปราศรัยและบรรยากาศภายในการชุมนุมที่สะท้อนภาพการชุมนุมครั้งนี้

1. ผู้ชุมนุมเต็มพื้นที่รอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

หนึ่งวันก่อนหน้าการชุมนุม พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงคาดว่าจะมีผู้ชุมนุมเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครไม่ต่ำกว่า 3,000 คน โดยอ้างอิงจากการประเมินของตำรวจสันติบาล

ในวันชุมนุม .พบว่าผู้ร่วมชุมนุมทยอยเดินทางเข้าพื้นที่ตั้งแต่ช่วงเช้า โดยปรากฏผู้เข้าร่วมชุมนุมจากพื้นที่ต่าง ๆ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ปะปนกันทั้งเดินทางมาด้วยตนเองและเดินทางมาแบบหมู่คณะ เช่น ประชาชนจากชลบุรีเดินทางมาพร้อมป้าย “ชลบุรีมาแล้ว” หรือสมาพันธ์สมานฉันท์แรงงานไทย (สสรท.) และสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ซึ่งมาพร้อมธงและผ้าพันคอ

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

Terminate of ได้รับความนิยมสูงสุด

ในช่วงต้นของการชุมนุม พื้นที่ถนนฝั่งเหนือของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอันเป็นที่ตั้งของเวทีปราศรัยหลักถูกจับจองเต็มพื้นที่ก่อนบริเวณอื่น

ที่มาของภาพ : Thai Data Pix

ฝนตกหนัก ณ เวลาราว 15.30 น. แต่จำนวนผู้ชุมนุมก็ไม่ได้ลดน้อยลง หลังฝนหยุดปรากฏว่ามีผู้เข้าร่วมชุมนุมเดินทางเข้าพื้นที่เพิ่มขึ้น

ขณะที่ในช่วงเย็น ผู้ชุมนุมทยอยเดินทางมาด้วยตนเองมากขึ้นจนเวลาราว 18.00 น. ภาพมุมสูงแสดงให้เห็นผู้ชุมนุมกระจายเต็มทั้งพื้นที่ฝั่งเหนือและฝั่งใต้ของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ รวมถึงบนสกายวอล์ครอบอนุสาวรีย์ชัยฯ ก็มีประชาชนยืนเต็มพื้นที่เช่นกัน

ภายหลังการชุมนุม กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) สรุปยอดผู้มาชุมนุม โดยศูนย์โดรน บช.น. ชี้ว่าเวลาที่ยอดผู้ชุมนุมสูงสุดคือ ณ เวลา 19.00 น. โดยมียอดรวมจำนวน 20,577 คน

2. ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่อยู่ในวัยกลางคนขึ้นไป

เมื่อ.เข้าพื้นที่ชุมนุมช่วงเที่ยงของวันเสาร์บริเวณทิศเหนือของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิซึ่งเป็นที่ตั้งของเวที ประเมินด้วยสายตาผู้ชุมนุมส่วนใหญ่อยู่ในวัยราว 55 ปีขึ้นไป .ประเมินว่าโดยเฉลี่ยแล้ว ทุก ๆ ผู้ชุมนุมห้าสิบคน อาจมีคนอายุในช่วงวัย 40 ปีหรือต่ำกว่าแซมอยู่ 2-3 คน

ต่อมาช่วงเวลาราวบ่ายสองโมง .ได้เดินสำรวจบริเวณทางเดินลอยฟ้าโดยรอบอนุสาวรีย์ฯ ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ปรากฏแก่สายตามีอายุตั้งแต่ราว 50 ปีขึ้นไป โดยอาจพบผู้ชุมนุมที่อายุอยู่ในช่วงวัย 40 ปีหรือน้อยกว่าทุก ๆ 3-5 นาที

“ไล่เขามานานแล้วเนอะ เราเจอกันมายี่สิบปีแล้วไหม” อัญชะลี ไพรีรัก ปราศรัยทักทายผู้ร่วมชุมนุม “ตอนนั้นอายุเท่าไหร่? สี่สิบ?” เธอกล่าวบนเวที พร้อมปราศรัยต่อว่า ตนชุมนุมขับไล่นายกฯ จากตระกูล “ชินวัตร” มาตั้งแต่ยุคอดีตนายกฯ ทักษิณ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน

.ยังสังเกตด้วยว่า ผู้ชุมนุมจำนวนมากเคยผ่านการชุมนุมต่อต้านนายกรัฐมนตรีจากตระกูลชินวัตรในอดีตมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ผู้ชุมนุมรายหนึ่งชี้ชวนให้.ดูเสื้อที่เขาเก็บมาจากการชุมนุม “พันธมิตรฯ” เมื่อ 17 ปีก่อน อันมีการลงลายมือชื่อของแกนนำในขณะนั้นไว้เป็นที่ระลึก

เสื้อที่มีข้อความ “พันธมิตรประชาชน เพื่อประชาธิปไตย” และข้อความระบุวันที่ “25 พ.ค. 51” พร้อมลายมือชื่อแกนนำ

ทั้งนี้ .สังเกตว่ามีผู้ชุมนุมอายุน้อยกว่านั้นปรากฏตัวกระจายอยู่โดยทั่วไปรอบการชุมนุมด้วย โดยมีจำนวนหนาตาขึ้นตั้งแต่ช่วงเย็นเป็นต้นไป

วสุชน รักษ์ประชาไท อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ที่เคยศึกษาพัฒนาการของกลุ่มอนุรักษนิยมที่ต่อต้านขบวนการทักษิณ ชี้ให้.เห็นถึงลักษณะที่แตกต่างกันของผู้เข้าร่วมชุมนุมช่วงกลางวันและช่วงเย็น “พอประมาณหกโมงทุ่มหนึ่ง เราจะเห็นภาพของคนเมืองมากขึ้น เป็นคนที่แบกเป้ใส่โน้ตบุ๊กมา ไม่ได้มีพร๊อพอะไรเหมือนคุณลุงคุณป้าที่มีเสื้อทีม”

เขาอธิบายว่าการเข้าร่วมการชุมนุมของคนกลุ่มใหม่นี้มาจากความหลากหลายและประเด็นที่ถูกนำเสนอไปก่อนหน้าว่าเป็นลักษณะการชุมนุมเพื่อ “ไล่รัฐบาลทุจริตคอร์รัปชันโดยไม่เอารัฐประหาร” ในระหว่างการประชาสัมพันธ์การชุมนุม

ที่มาของภาพ : Vasuchon Rakprachathai

วสุชน รักษ์ประชาไท อาจารย์ประจำสาขาวิชารัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เจ้าของวิทยานิพนธ์ “พัฒนาการกลุ่มอนุรักษ์นิยมสุดขั้วในขบวนการต่อต้านทักษิณ”

3. สัญลักษณ์ในการชุมนุม ย้อนอดีตพันธมิตรฯ-กปปส.

ในการชุมนุมครั้งนี้ .พบว่ามีธงชาติไทยน้อยใหญ่โบกสะบัดอยู่ทั่วการชุมนุม นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์สินค้าต่าง ๆ ที่วางขายในพื้นที่ยังเต็มไปด้วยริ้วธงประดับตกแต่ง สะท้อนภาพคล้ายการชุมนุม กปปส. เมื่อปี พ.ศ. 2556

.ยังพบสัญลักษณ์อื่น ๆ เช่น เสียงนกหวีดที่ดังขึ้นเป็นระยะ รวมถึง “มือตบ” ที่ผู้ชุมนุมบางส่วนพกพามาเองจากบ้านด้วย

บริเวณทางเดินรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิฝั่งตะวันตก ยังปรากฏเตนท์ตั้งรับสกรีน “ผ้าพันคอกู้ชาติ” ซึ่งเคยเป็นสัญลักษณ์ของการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในอดีตด้วย

ผ้าพันคอ “กู้ชาติ” หนึ่งในสัญลักษณ์ของการชุมนุมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อเกือบสองทศวรรษก่อน

.ยังพบด้วยว่า ผู้ที่ขึ้นปราศรัยบนเวทีในวันดังกล่าวเคยเป็น “ขาประจำ” ที่ขึ้นปราศรัยทั้งบนเวที กปปส. ไม่ว่าจะเป็น ผศ.นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์, พุฒิพงษ์ ปุณกันณ์, ถาวร เสนเนียม, แก้วสรร อติโพธิ นอจากนี้ ผู้ปราศรัยบางส่วนยังเคยขึ้นปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ เมื่อเกือบ 20 ปีก่อนด้วย เช่น สนธิ ลิ้มทองกุล, วีระ สมความคิด, ปานเทพ พัวพงศ์พันธ์, ไทกร พลสุวรรณ และ รสนา โตสิตระกูล เป็นต้น โดยในตอนหนึ่งของการชุมนุมมีการฉายสื่อแสดงวีดีโอจาก นายจำลอง ศรีเมือง อดีตแกนนำพันธมิตรฯ อายุ 90 ปี ขอบคุณผู้เข้าร่วมชุมนุมที่ออกมา “แสดงพลังมารักชาติในวันนี้”

4. จาก “คลิปเสียง” สู่ความไม่ไว้วางใจ “อธิปไตย” ในมือชินวัตร

ประเด็นคลิปเสียงหลุดเมื่อกลางเดือน มิ.ย. 2568 กลายเป็นเนื้อหาหลักในการปราศรัยในครั้งนี้ และถูกโยงไปสู่ประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอธิปไตยของชาติ แม้นายกรัฐมนตรีจะแถลงถึงประเด็นดังกล่าวว่าเป็นการ “ใช้เทคนิคในการเจรจา” และกระทรวงการต่างประเทศของไทยได้ดำเนินการตำหนิกัมพูชาทางการทูตอย่างเป็นทางการแล้วก็ตาม

ไทกร พลสุวรรณ กล่าวบนเวทีว่าคลิปเสียงที่หลุดออกมานั้น “อัปยศแท้ ๆ” ขณะที่ รสนา โตสิตระกูล และ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ สองผู้ปราศรัยกล่าวตำหนินายกรัฐมนตรีกรณีกล่าวพาดพิง พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2

.ยังพบด้วยว่า รอบการชุมนุมปรากฏร้านค้าขายเสื้อยืดสกรีนใบหน้า พล.ท.บุญสิน พาดกลาง พร้อมข้อความให้กำลังใจ

เสื้อสกรีนรูปเหมือนของ พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ถูกพาดพิงในคลิปเสียงหลุดระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา

อีกหนึ่งประเด็นที่ถูกขยายไปสู่ความไม่ไว้วางใจต่อตระกูลชินวัตร คือคำพูดของนายกรัฐมนตรีว่า “ถ้าจะเอาอะไรจริง ๆ ให้บอกอิ๊งได้เลย”

ไทกรปราศรัยแสดงความกังวลว่า วันนี้นางสาวแพทองธารเป็นประธานสภาความมั่นคงแห่งชาติและมีหน้าที่เก็บความลับของชาติ “ถ้า ฮุน เซน, ฮุน มาเนต แบล็คเมลพ่อเธอ ข่มขู่พ่อของเธอ คิดว่าเธอจะรักเธอรักประเทศไทย หรือรักพ่อของเธอมากกว่ากันครับ” เนื้อหาดังกล่าวสอดคล้องกับคำปราศรัยของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ซึ่งเชื่อว่าการสู้รบระหว่างชายแดนไทย-กัมพูชามาจาก “ปัญหาสองตระกูล ทำให้พี่น้องทหารต้องได้รับความเดือดร้อน”

วีระ สมความคิด ได้หยิบประเด็นดังกล่าวมาเชื่อมโยงกับการ “เสียดินแดน” โดยชี้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลตั้งแต่ปี 2543 จนถึงปัจจุบันนั้น “เหมือนกันหมด ไม่เช่นนั้นเราไม่เสียดินแดน ไม่เสียอธิปไตยเหมือนทุกวันนี้” เขาระบุว่าจากกรณีการรับปากนักการเมืองของชาติเพื่อนบ้านดังกล่าว ทำให้รัฐบาลของนางสาวแพทองธารสมควรถูกตำหนิที่สุด

ด้าน สนธิ ลิ้มทองกุล เริ่มการปราศรัยด้วยการเปิดคลิปเสียงอดีตผู้นำทหาร จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ หลังไทยแพ้คดีเขาพระวิหาร พ.ศ. 2025 ก่อนปราศรัยวิจารณ์ฮุน เซน อดีตผู้นำกัมพูชา โดยกล่าวถึง ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า “เป็นหนี้” ฮุน เซน

ที่มาของภาพ : Thai Data Pix

ประเด็นบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างนายกรัฐมนตรีไทยและอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชากลายเป็นประเด็นหลักที่ถูกนำไปตั้งคำถามเรื่องอธิปไตยและความสัมพันธ์ของสองตระกูล

ตลอดการชุมนุม .ยังพบว่ามีการเปิดเพลงพระราชนิพนธ์ “เราสู้” และ “บ้านเกิดเมืองนอน” อันเน้นความหมายถึงการปกป้องเขตขัณฑ์แดนดินของชาติอย่างเด่นชัด

ประเด็นการรุกล้ำพื้นที่อธิปไตยของไทยยังถูกเชื่อมโยงเข้ากับประเด็นข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล บริเวณเกาะกูดด้วย

นายสนธิ กล่าวถึงการลงนามในบันทึกความเข้าใจพื้นที่ทับซ้อนของไหล่ทวีปหรือ MOU 44 เพื่อตกลงเรื่องพื้นที่ในสมัยรัฐบาลของนายทักษิณ ชินวัตร ว่าเป็นการ “ทรยศชาติ” ด้านนายพิชิต ไชยมงคลกล่าวหาว่าข้อตกลงดังกล่าวทำขึ้นเพื่อ “จะแบ่งสมบัติกันระหว่างสองตระกูล”

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเคยแถลงต่อสื่อมวลชนช่วงต้นเดือน พ.ย. 2567 ว่าเรื่องดังกล่าวไม่ทำให้ไทยตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบ

“เรายังไม่ได้เสียเปรียบในการตกลงนี้ มันเป็นเรื่องที่นานมาแล้วมีการขีดเส้น เราจึงสร้างเอ็มโอยูขึ้นมาเพื่อเปิดพื้นที่ให้ทั้งประเทศเจรจาและตกลงร่วมกันในผลประโยชน์” นายกรัฐมนตรีแพทองธารกล่าวในขณะนั้น และย้ำว่า “รัฐบาลนี้จะไม่ยอมเสียพื้นที่ของประเทศไทยแม้แต่ตารางนิ้วเดียวไปให้ใครก็ตาม”

นอกจากนี้ เนื้อหาการชุมนุมยังมีการกล่าวถึงกรณีที่อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชากล่าวว่าจะเปิดเผย “คลิปเสียงอีกฉบับ” ซึ่งมีเนื้อหาพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย โดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ อ้างบนเวทีว่ามีผู้ฟังคลิปฉบับนั้นแล้วและไม่เป็นผลดีต่อนายทักษิณ

“มีคนสําคัญบางคนในประเทศไทย สถานะไม่สามารถที่จะเปิดชื่อได้ ฟังคลิปดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อย” เขากล่าวก่อนเอ่ยแนะนำอดีตนายกฯ คนที่ 23 ของไทยว่า ให้ “เก็บเสื้อผ้าแล้วหลบหนีไปเถอะ “

จตุพร พรหมพันธุ์ อดีตแกนนำคนสำคัญของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ต่อมาเข้าร่วมกับ “คณะหลอมรวมประชาชน” ก่อนเข้าร่วมชุมนุมกับ “คณะรวมพลังแผ่นดิน”

5. มวลชนยัง “เข้าใจ” พรรคร่วมฯ

หนึ่งในข้อเรียกร้องหลักข้อหนึ่งในการชุมนุมครั้งนี้ คือการเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลทันที

นายนิติธร ล้ำเหลือ ปราศรัยตำหนิว่าการที่บรรดาคณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมรัฐบาล ยังคงสนับสนุนให้นางสาวแพทองธารทําหน้าที่นายกรัฐมนตรีต่อไปและไม่ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล ย่อมถือว่า “พรรคร่วมรัฐบาล ร่วมกระทําการกับนายกรัฐมนตรี มีพฤติการณ์เป็นปฏิปักษ์ต่อประเทศชาติ เข้าข่ายกระทําความผิดตามกฎหมายอาญาและกระทําการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญเฉกเช่นเดียวกัน”

แม้แกนนำบนเวทีจะประสานเสียงกดดันพรรคร่วมรัฐบาล แต่เสียงด้านล่างเวทีจากผู้ชุมนุมยังไม่คล้อยตามเสียทีเดียว .ได้สัมภาษณ์ผู้เข้าร่วมชุมนุมอย่างน้อยสองคน ซึ่งพวกเขาเปิดเผยว่า “เข้าใจ” ที่พรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรครวมไทยสร้างชาติ ยังคงร่วมรัฐบาลอยู่

“คิดชั้นเดียวเราก็คิดว่ามันไม่ได้ เห็นแก่อำนาจ เห็นแก่ตำแหน่ง” ยงยุทธ์ (สงวนนามสกุล) วัย 76 ปี ที่เดินทางมาชุมนุมด้วยตนเองจากจังหวัดสมุทรปราการ กล่าว “แต่ถ้ามองอีกครั้งหนึ่ง ก็ถือว่าไปยืนให้เป็นหลักอยู่ ถ้าไม่ยุบสภาจะได้มีโอกาสเปลี่ยนตัวนายกฯ”

ส่วน บุญมี (สงวนนามสกุล) วัย 68 ปี ที่เดินทางมาจาก อ.หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ด้วยตนเองเพื่อเข้าร่วมการชุมนุมช่วงเย็น เชื่อว่านายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาตินั้น “เป็นห่วงงาน”

6. ชี้ช่อง ใช้กระบวนการทางกฎหมายเอานายกฯ ออกจากตำแหน่ง

วสุชน ซึ่งเป็นนักวิชาการผู้ศึกษาเรื่องขบวนการเคลื่อนไหวมวลชนกลุ่มอนุรักษนิยม วิเคราะห์ว่าแม้จะมีการพูดถึงประเด็นเรื่องอธิปไตย หรือประเด็นอื่นใด แต่ท้ายที่สุดจุดร่วมของการชุมนุมนี้คือการทำให้รัฐบาลของนางสาวแพทองธารออกจากอำนาจ และอาจหมายรวมถึงการขจัดอิทธิพลของนายทักษิณ ชินวัตร แต่เขาก็มองด้วยว่าขบวนการยังขาดเอกภาพ

“ในระดับนำก็ยังไม่ได้เป็นเอกภาพ จะเห็นได้ว่าแต่ละคนก็มาพูดคนละทาง” วสุชนวิเคราะห์

แก้วสรรค์ อติโพธิ ได้ชี้ถึงช่องทางทางกฎหมายต่าง ๆ ที่เขามองว่านำไปสู่ “จุดจบของระบอบทักษิณ” ได้ โดยอ้างถึงทั้ง “คดีชั้น 14” รวมถึงระบุด้วยว่า ตนเชื่อว่านายทักษิณ “ครอบงำพรรคชัดๆ”

“ทั้งเพื่อน ทั้งน้อง ๆ ทั้งลูกศิษย์ ทั้งที่อยู่ในศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่อยู่ในศาลฎีกา ทั้งที่อยู่ใน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ทั้งที่อยู่ใน กกต. พยานหลักฐานชัดเจนหมดแล้ว” เขากล่าว พร้อมระบุว่า “ขอเรียกร้องท่านผู้รับผิดชอบในงานทางกฎหมาย อย่าไปนึกว่าตัดสินไปแล้วเขาจะหาว่าเราอยู่ข้างนั้นข้างนี้”

ที่มาของภาพ : Thai Data Pix

หนึ่งในข้อเรียกร้องหลักคือให้นายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่งด้วยวิธีต่าง ๆ กัน

รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวนิก ตั้งคำถามบนเวทีปราศรัยด้วยว่า เป็นไปได้หรือไม่หากนางสาวแพทองธารถูกศาลรัฐธรรมนูญ “เอาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี” แล้วภูมิใจไทยและพรรคประชาชนจะ “รวมพลังกันเพื่อลงมติให้ได้มาซึ่งนายกมนตรี แล้วให้นายกรัฐมนตรีคนนั้นยุบสภาจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่”

รศ.ดร.เจษฎ์ ยังได้ระบุถึงอีกหนึ่งเครื่องมือ นั่นคือการใช้มาตรา 144 ของรัฐธรรมนูญ เรื่องการใช้งบประมาณผิดประเภทเพื่อนำไปสู่การใช้บทบัญญัติมาตรา 5 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

“หากมีการดำเนินการจะทําให้กรรมาธิการงบประมาณหายไปทั้งหมด ส.ส.รัฐบาล 300 กว่าคนหายไป ส.ว. 100 กว่าคนหายไป มันจะเหลือแต่เพียงแค่พรรคพรรคหนึ่งคือพรรคประชาชน ไม่ได้จะว่าพรรคประชาชน แต่พรรคประชาชน เขาบอกแล้วว่าเขาต้องการไปเลือกตั้งใหม่ ถ้าเมื่อพรรคประชาชนลาออกมันก็จะทําให้เข้ามาตรา 5 นั่นคือประเพณีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” รศ.ดร.เจษฎ์ สรุป “คุณก็ต้องไปจัดให้มีการเลือกตั้ง”

7. เอารัฐประหารไหม คำถามใหญ่จากการชุมนุม

“เราจะพบว่าช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมาแกนนำบางกลุ่ม เช่น นิติธร ล้ำเหลือ หรือจตุพร พยายามสื่อกับสาธารณะว่าไม่เอารัฐประหาร” วสุชน วิเคราะห์ให้.ฟัง

คำปราศรัยของ นิติธร ได้สะท้อนความคลางแคลงใจต่อทหารเช่นกัน เขาบอกว่า “เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าบรรดาฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ ฝ่ายตุลาการ โดยเฉพาะคณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง การแต่งตั้ง การรัฐประหารหรือการเลือกกันเอง มิได้มีเจตนารมณ์ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”

นอกจากนี้ ผู้ปราศรัยคนอื่น ๆ เช่น รศ.ดร.เจษฎ์ ก็พูดอย่างชัดเจนว่าตนไม่ได้เรียกร้องรัฐประหาร “ผมไม่ได้เรียกร้องปฏิวัติรัฐประหาร ผมไม่ได้เรียกให้มีนายกฯ ในลักษณะอื่นใด”

ที่มาของภาพ : Thai Data Pix

นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตยกล่าวว่าการขึ้นเวทีในวันนี้เป็นการขึ้นเวทีชุมนุมครั้งแรกในรอบ 17 ปีของเขา

ทว่า ประเด็นการรัฐประหารกลับถูกพูดถึงอย่างมากอีกครั้ง หลัง สนธิ ลิ้มทองกุล กล่าวระหว่างปราศรัยในช่วงที่การชุมนุมมีผู้เข้าร่วมสูงสุดว่า “ไม่ได้ยุให้เกิดการรัฐประหาร เพราะทหารจะรัฐประหารก็ไม่ได้บอก จะทำเมื่อไหร่ก็ทำไป ถ้าเห็นว่าวิกฤตการเมืองเกิดขึ้น และแก้ไม่ได้ เขาจะทำก็เรื่องของเขา” โดยกล่าวต่อมา “ถ้าจะทํากัน สาธุ ขออย่าเอาพลเอกมาบริหารชาติบ้านเมืองอีก ให้ประชาชนพวกเราเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาประเทศชาติ”

“ไม่ว่าศาล รัฐธรรมนูญ วันพรุ่งนี้จะตัดสินใจอย่างไร ถ้าไม่เกิดการสลับขั้วทางการเมือง ตัวแกนนำหรือตัวองค์กรในภาคการเคลื่อนไหวน่าจะมีการนัดชุมนุมอีก” อาจารย์จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชมองไปข้างหน้า พร้อมบอกว่า “ก็จะเป็นการช่วงชิงการนำแล้วว่าท้ายที่สุดแนวทางการเคลื่อนไหวจะเป็นอย่างไร จะเอาหรือจะไม่เอารัฐประหาร”