
ที่ผ่านมามีการถกเถียงในโลกออนไลน์เรื่องนิยามชนชั้นกลาง ข้อถกเถียงหลักมักนิยามชนชั้นกลางจากมุมเศรษฐศาสตร์เป็นหลัก เช่น ดูผ่านรายได้ กำลังการบริโภค หมายเหตุประเพทไทย หกโมงเย็นวันอาทิตย์นี้ชวนคุยเรื่องความหมายของชนชั้นกลางจากมุมมองของนักสังคมวิทยา Göran Therborn ผ่านบทความ DREAMS AND NIGHTMARES OF THE WORLD’S MIDDLE CLASSES (2020) ขณะเดียวกันชวนมองภาพระดับโลกเมื่อชนชั้นกลาง “ฝันร้าย” ชนชั้นกลางในกลุ่มประเทศซีกโลกใต้ “ขยายตัว” แต่เปราะบางเพราะไม่มีความมั่นคงและขาดสวัสดิการ เช่นเดียวกับในโลกตะวันตกชนชั้นกลาง “หดตัว” และรู้สึกไม่มั่นคงอย่างในทศวรรษ 1980s ทั้งหมดนี้ติดตามในรายการ หมายเหตุประเพทไทย ชนชั้นกลาง
ในบทความของ Göran Therborn แนวคิดเรื่อง “ชนชั้นกลาง” เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางและเต็มไปด้วยความกำกวม บางฝ่ายเชิดชูการผงาดขึ้นของชนชั้นกลางทั่วโลก เช่น โฮมี คาราส นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโลก ที่ประกาศว่าโลกมาถึง “จุดพลิกผัน” เมื่อครึ่งหนึ่งของประชากรกลายเป็นชนชั้นกลางหรือร่ำรวยกว่านั้น สื่ออย่าง The Economist เคยลงภาพปกกล่าวถึงการขยายตัวไม่หยุดยั้งของชนชั้นกระฎุมพี แต่ขณะเดียวกัน อีกฝ่ายกลับกังวลถึงการหดตัวหรือ “การหายไปของชนชั้นกลาง” อย่างที่ปีเตอร์ เทมิน จาก MIT เน้นย้ำ
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนปัญหาใหญ่เรื่องความไม่เสถียรของความหมาย (conceptual instability) ของคำว่าชนชั้นกลาง ซึ่งขึ้นอยู่กับทั้งนิยาม บริบททางประวัติศาสตร์ และพื้นที่ทางสังคม
คำว่า “center class” เริ่มใช้ในภาษาอังกฤษราว ค.ศ.1790–1830 ช่วงที่สังคมยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเข้ามาแทนระเบียบเก่าอย่างอำนาจกษัตริย์และขุนนาง ในศตวรรษที่สิบเก้า เกิดการถกเถียงอย่างเข้มข้นว่าชนชั้นกลางควรมีบทบาทเช่นใด เสรีนิยมอย่างเจมส์ มิลล์ (บิดาของจอห์น สจ๊วต มิลล์) เห็นว่ารัฐบาลควรอยู่ในมือชนชั้นกลางที่ “ฉลาดและคุณธรรมที่สุด” ส่วน Alexis de Tocqueville กล่าวว่าชนชั้นกลางได้ก้าวขึ้นมาปกครองจริงแล้วทั้งในสหรัฐฯ และฝรั่งเศสหลังการปฏิวัติปี 1830 อย่างไรก็ตาม นักคิดมาร์กซิสต์มองต่างออกไป โดยเห็นว่าสังคมชนชั้นกลางก็คือระบบทุนนิยมที่ถูกกำหนดให้ล่มสลายด้วยการลุกขึ้นสู้ของชนชั้นกรรมาชีพ
ในแต่ละภาษาและสังคม แนวคิดเรื่องชนชั้นกลางสะท้อนความหมายที่แตกต่าง อังกฤษใช้ “center class” เพื่อเน้นถึงตำแหน่งระหว่างอภิชนกับแรงงาน ฝรั่งเศสใช้ “bourgeoisie” ที่เชื่อมโยงกับคุณธรรม งาน และทรัพย์สิน ส่วนเยอรมันใช้คำว่า “Bürgertum” ที่เน้นมิติทางการเมืองและการโค่นศักดินา คำเหล่านี้มีรากจากกฎหมายเมืองยุคกลางและถูกพัฒนาเรื่อยมา แต่ก็มีนัยที่เปลี่ยนไป เช่น bourgeoisie กลายเป็นคำดูถูกเชิงวัฒนธรรม และหลังศตวรรษที่ 19 กลายเป็นตัวแทนเจ้าของทุนรายใหญ่ ซึ่งจริง ๆ แล้วใกล้เคียงกับชนชั้นสูงมากกว่าชนชั้นกลาง
ในสายตามาร์กซิสต์ ชนชั้นกระฎุมพีได้รับการยกย่องว่ามีบทบาทปฏิวัติสำคัญในประวัติศาสตร์ แต่ก็เป็นตัวแทนของทุนและเป็นศัตรูคู่ปรับของชนชั้นแรงงาน หากมองย้อนกลับไป คุณค่าของชนชั้นกลางในศตวรรษที่สิบเก้าคือ “งาน” ที่ทำให้แตกต่างจากขุนนางซึ่งอยู่ได้ด้วยค่าเช่า แต่ในปัจจุบันกลับถูกนิยามด้วยการบริโภคและศักยภาพทางการบริโภค วัดออกมาเป็นดอลลาร์ที่ปรับด้วยกำลังซื้อระหว่างประเทศ การเปลี่ยนจาก “งาน” ไปสู่ “การบริโภค” บ่งชี้ถึงการครอบงำของทุนนิยมในสังคมโลก
ศตวรรษที่ 20 กลายเป็นศตวรรษของชนชั้นแรงงานมากกว่าชนชั้นกลาง ขบวนการแรงงานทั่วโลกผลักดันสิทธิเลือกตั้ง รัฐสวัสดิการ และยังเป็นพันธมิตรสำคัญกับขบวนการเฟมินิสต์และต่อต้านอาณานิคม ขณะที่ชนชั้นกลางส่วนใหญ่กลับอยู่ในภาวะจำศีล โดดเด่นทางการเมืองเพียงบางช่วง เช่น เมื่อฟาสซิสต์หรือระบอบเผด็จการเติบโต แต่พลังการปฏิรูปของแรงงานถึงจุดสูงสุดราวทศวรรษ 1980 ก่อนจะถดถอยลงด้วยการลดลงของอุตสาหกรรม การขยายตัวของภาคการเงิน และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมสังคมยุค 1968
ชนชั้นกลางในศตวรรษที่ 21 กลับปรากฏเด่นชัดนอกตะวันตก โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็วสร้างชนชั้นกลางในสี่เสือเอเชีย และกลายเป็นพลังการเมืองที่โค่นเผด็จการ เช่น การประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในไทเปและโซล
แต่กลับกัน ในจีนแผ่นดินใหญ่ แนวคิดเรื่องชนชั้นกลางถูกปฏิเสธหลังเหตุการณ์ปราบปรามที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน แต่ในที่สุดก็ได้รับการยอมรับว่าเป็นพลังรักษาเสถียรภาพและเป็นหัวใจของตลาดผู้บริโภค ส่วนเวียดนามหลังยุคคอมมิวนิสต์ก็หันมาเชิดชูประชากรชนชั้นกลางใหม่ว่าเป็นพลังขับเคลื่อนเอเชีย
อย่างไรก็ตาม ความฝันของซีกโลกใต้ที่วัดชนชั้นกลางจากรายจ่ายหรือรายได้ต่อหัว เช่น ใช้เกณฑ์วัดจากการจับจ่ายวันละ 2–10 ดอลลาร์ต่อวัน กลับสะท้อนภาพการ “พองตัว” ของกลุ่มผู้บริโภคมากกว่าความมั่นคงทางชนชั้นจริงๆ คนจำนวนมากมีรายได้อยู่แค่เหนือเส้นความยากจนและเสี่ยงจะร่วงกลับลงมา ในขณะที่ฝันร้ายของซีกโลกเหนือคือการบีบตัวของชนชั้นกลาง ค่าใช้จ่ายสูง หนี้สิน และความเสี่ยงจาก automation ทำให้ความมั่นคงของชนชั้นกลางดั้งเดิมสั่นคลอน
Therborn จึงเตือนว่าการนิยามชนชั้นกลางแบบเทคนิค เช่น การกำหนดตามรายจ่ายต่อหัว อาจเบี่ยงเบนความเข้าใจ เพราะทำให้มองชนชั้นกลางเป็นเพียงผู้บริโภค มากกว่าผู้ผลิตหรือนักทำงาน ซึ่งละเลยโครงสร้างอำนาจในที่ทำงาน ความสัมพันธ์กับรัฐ และความมั่นคงทางสังคมที่แท้จริง สุดท้ายแล้ว “ชนชั้นกลาง” จึงไม่ควรถูกมองเป็นหมวดหมู่คงที่เสียชีวิตตัว หากแต่เป็นแนวคิดที่เปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมในแต่ละยุคสมัย
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )