
“วันประวัติศาสตร์นายกฯ คนแรกต้องติดคุก” ศาลฎีกามีคำสั่งบังคับโทษจำคุกทักษิณ 1 ปี “คดีชั้น 14”

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) มีคำสั่งบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเวลา 1 ปี นับจาก 31 ส.ค. 2566 ซึ่งมีการพระราชทานอภัยลดโทษลงมา โดยไม่ถือว่าการรักษาตัวอยู่ที่ รพ. ตำรวจ เป็นระยะเวลาในการคุมขัง
คำสั่งศาลระบุตอนหนึ่งว่า การที่นายทักษิณ ได้พักอยู่ในห้องพิเศษ ตั้งแต่ 23 ส.ค. 2566 ถึง 18 ก.พ. 2567 โดยไม่ถูกนำตัวกลับไปคุมขังอีก ฟังได้ว่าการบังคับโทษจำคุกแก่จำเลย มิชอบด้วยกฎหมาย อีกทั้งจำเลยทราบและรู้ข้อเท็จจริงว่า ตนเองไม่ได้ป่วยด้วยอาการฉุกเฉิน แต่เป็นโรคเรื้อรังที่สามารถรักษาภายนอก รพ. ได้
นอกจากนี้จำเลยยังเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจด้วยการปฏิเสธที่จะรักษาอาการโรคหัวใจ และกระดูกทับเส้นประสาท แต่ให้รักษาโดยการทานยา โดยจำเลยเลือกรักษาเพียงอาการผ่านิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ ซึ่งไม่ใช่อาการเร่งด่วน จึงถือว่าจำเลยได้ประโยชน์จากการไม่ต้องออกจาก รพ.ตำรวจ จึงไม่สามารถอ้างได้ว่า เป็นเพียงการกระทำขอแพทย์ที่จำเลยไม่มีส่วนรู้เห็น
ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ เดินทางถึงศาลฎีกา สนามหลวง ในเวลา 9.25 น. ตามนัดหมายฟังคำสั่ง “คดีชั้น 14”
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่อดีตนายกฯ คนที่ 23 ปรากฏตัวที่ศาลฎีกา เพราะในระหว่างการไต่สวน เขาได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องมาศาล โดยเขาเดินทางมากับบุตรสาวของเขา 2 คน ประกอบด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” อดีตนายกฯ คนที่ 31 บุตรสาวคนเล็ก และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ หรือ “เอม” บุตรสาวคนรอง
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed finding outได้รับความนิยมสูงสุด
Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด
นอกจากนายทักษิณแล้ว ศาลมีคำสั่งให้นายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาฟังคำสั่งศาลด้วยตนเอง
คำตัดสินคดีนี้มีขึ้นไม่กี่วันหลังจากพรรค พท. ที่มี น.ส.แพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรค ต้องแปรสภาพเป็นฝ่ายค้าน โดยถือเป็นการสูญเสียอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินในรอบ 2 ปีนับจากการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ซึ่งแม้พรรค พท. แพ้การเลือกตั้ง แต่พลิกมาเป็นแกนนำจัดตั้ง “รัฐบาลผสมข้ามขั้ว” ได้สำเร็จ
นายทักษิณ เลือกเดินทางกลับประเทศในรอบ 15 ปี เมื่อ 22 ส.ค. 2566 ในวันเดียวกับที่รัฐสภามีมติเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตจากพรรค พท. เป็นนายกฯ คนที่ 30
มาครั้งนี้ เขาตัดสินใจเดินทางออกนอกประเทศเมื่อ 4 ก.ย. 2568 หรือ 1 วันก่อนการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อโหวตนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นนายกฯ คนที่ 32 ก่อนที่อีก 4 วันต่อมา เขาจะเดินทางจากดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ กลับถึงไทยเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ (8 ก.ย.)
แพทองธาร: “นายกฯ คนแรกที่จะต้องจำคุก เรื่องนี้ก็ค่อนข้างหนักนิดนึง”

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
ภายหลังที่ศาลอ่านกระบวนพิจารณาคดีเสร็จ เจ้าหน้าที่ได้ขอให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องพิจารณาคดี คงเหลือเพียงจำเลยและเจ้าหน้าที่จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดย น.ส. แพทองธาร ได้เข้าไปคุยกับบิดาทันที ในจังหวะนั้นนายทักษิณ ได้ถอดเสื้อสูทออกเพื่อเตรียมการให้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวไปเรือนจำต่อไป
หลังจากนั้น น.ส.แพทองธาร ได้เดินทางออกจากห้องพิจารณาคดีและเปิดเผยกับสื่อมวลชนว่าครอบครัวรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ทรงอภัยโทษ ลดโทษนายทักษิณเหลือ 1 ปี
“พวกเราทั้งครอบครัวสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ เรารู้สึกเรื่องนี้ในทุก ๆ วัน” เธอกล่าว
โดย อดีตนายกฯ คนที่ 31 ระบุด้วยว่า นายทักษิณ ถือเป็นผู้นำในทางจิตวิญญาณ “ไม่ว่าจะเป็นการเมืองที่ผ่านมา ผลงานต่าง ๆ ที่ทำเพื่อบ้านเมือง ท่านก็ยังเป็นคนที่นึกถึงบ้านเมืองอยู่เสมอ” พร้อมย้ำด้วยว่า นายทักษิณ “ตั้งใจจริงในการที่หวังจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ชีวิตพี่น้องประชาชนมีความกินดีอยู่ดี”
อย่างไรก็ตาม น.ส. แพทองธาร ยอมรับด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า เป็นเรื่องที่ “ค่อนข้างหนัก” ที่พ่อของเธอจะต้องถูกจำคุก โดยเธอถือว่าวันนี้เป็นวันประวัติศาสตร์อีกวันหนึ่ง
“วันนี้เป็นประวัติศาสตร์อีกเรื่องหนึ่งที่มีนายกฯ คนแรกที่จะต้องจำคุก เรื่องนี้ก็ค่อนข้างหนักนิดนึง แต่ว่าแน่นอนว่า กำลังใจดีทั้งคุณพ่อและครอบครัว” เธอกล่าว
ทั้งนี้ น.ส. แพทองธาร ยืนยันด้วยว่า บิดา ครอบครัว และพรรคเพื่อไทยจะยัง “มุ่งหน้าทำงานต่อในการเป็นฝ่ายค้าน” เพื่อตรวจสอบรัฐบาล รวมถึงขอขอบคุณกำลังใจจากทุกภาคส่วนที่มีต่อครอบครัวของเธอ
“ส่วนของพรรค ทุกคนมีกำลังใจที่ดี ขอบคุณทุกภาคส่วน ประชาชนที่ให้กำลังใจ คอยอยู่เคียงข้างกันตลอดมา” น.ส. แพทองธาร ระบุ
ในเวลาต่อมา ผู้สื่อข่าวสอบถามนายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรีคนใหม่ในที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ถึงกรณีนายทักษิณ หรือผู้ที่เคยเป็น “นายเก่า” ถูกส่งตัวเข้าเรือนจำกรุงเทพฯ ว่า เขารู้สึกเสียใจและไม่ได้อยากให้นายทักษิณ เผชิญกับสถานการณ์ดังกล่าว
“ผมก็เสียใจ ผมก็เห็นใจท่าน ท่านก็คนระดับแบบนี้บริหารประเทศมา เราก็ไม่อยากให้มาเจอกับสภาพเช่นนี้” นายอนุทิน กล่าว

ที่มาของภาพ : Hataikarn Treesuwan/ BBC Thai
นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมต. หลายกระทรวง และ อดีตหัวหน้าพรรค พท. เดินทางมาร่วมให้กำลังใจนายทักษิณที่ศาล กล่าวกับ.ว่า คดีนี้มีผลออกมาได้ 50-50 โดยสิ่งเลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นคงเป็นไปตามที่หลายคนออกมาวิเคราะห์ไว้ ตนไม่ขอไม่ขอพูด แต่ยอมรับว่าการตัดสินในจังหวะที่พรรค พท. ไม่ได้เป็นรัฐบาลแล้ว “ทำให้มีความเสี่ยงในทางลบมากขึ้น”
.ถามว่า ถ้าเช่นนั้นทำไมนายทักษิณถึงเลือกเดินทางกลับไทย นายสุชาติกล่าวว่า ” มีเรื่องเกี่ยวข้องกับท่านหลายเรื่อง เช่น กรณีอดีตนายกฯ อุ๊งอิ๊ง และท่านทักษิณเป็นคนไม่ยอมแพ้ สู้เสมอ ก็เลยกลับมา”
ทักษิณ: “ผมขอน้อมรับและพร้อมเข้าสู่กระบวนการตามคำพิพากษาในวันนี้”

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
ภายหลังศาลมีคำสั่งบังคับโทษ นายทักษิณ ได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว ซึ่งระบุว่าถูกโพสต์โดยโดยทีมงาม
โพสต์ดังกล่าวระบุว่า นายทักษิณ มีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานอภัยลดโทษจำคุก และขอน้อมรับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
“ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชทานอภัยลดโทษจำคุกแก่ผมคงเหลือเวลา 1 ปี นับเป็นพระมหากรุณาที่คุณอย่างหาที่สุดไม่ได้ ต่อทั้งตัวผม และครอบครัว ผมขอน้อมรับและพร้อมเข้าสู่กระบวนการตามคำพิพากษาในวันนี้”

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
นายทักษิณ ระบุต่อไปว่า ตลอดระยะเวลาของการทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตนได้พยายามผลักดันนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และ “เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองของประเทศไทย ให้พรรคการเมือง และแม้ทุกคดีที่ตนเผชิญจะเกิดขึ้นหลังการรัฐประหารรัฐบาลเมื่อปี 2549 แต่วันนี้ตนขอมองไปข้างหน้า “ให้ทุกอย่างที่ผ่านมามีข้อยุติ ทั้งการต่อสู้คดีตามกฎหมาย และความขัดแย้งใดๆอันเกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องกับตัวผม”
โดยนายทักษิณ ได้ระบุขอบคุณพี่น้องประชาชนสำหรับการสนับสนุนตลอดมา รวมถึงนักการเมือง สมาชิกพรรคเพื่อไทย และเพื่อนมิตร “ที่เคียงข้างกัน ทั้งในยามสุขและยามยาก”
ข้อความตอนหนึ่ง ระบุด้วยว่านายทักษิณ “เลือกเดินทางนี้” เพื่อให้ทุกคนเดินไปข้างหน้าและทำงานเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน “จนกว่าจะถึงวันที่เราได้เดินร่วมทางกันอีกครั้ง”
โดย เขาทิ้งท้ายว่า แม้ปัจจุบันตนจะไร้ซึ่งอิสรภาพ แต่ “ยังมีเสรีภาพทางความคิดเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน” และตนจะรักษาสุขภาพร่างกายเพื่อทำประโยชน์ให้ประเทศชาติต่อไป
“ผมจะรักษาความเข้มแข็งทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อใช้เวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ รับใช้สถาบันพระมหากษัตริย์ แผ่นดินไทย และประชาชนคนไทย ไม่ว่าจะในสถานะใดนับจากนี้ ขอบคุณครับ” นายทักษิณ ระบุผ่านทางโพสต์บนเฟซบุ๊ก
ชาญชัย: “คดีนี้เป็นไปตามข้อกฎหมายทุกประการไม่ใช่การกลั่นแกล้งแต่อย่างใด”
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ยื่นคำร้องขอให้ศาลดำเนินการไต่สวนการบังคับโทษจำคุกแก่นายทักษิณโดยมิชอบ ทำให้ศาลได้เปิดไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงในคดีนี้เอง ระบุหลังเข้ารับฟังคำตัดสินวันนี้ (9 ก.ย.) ว่า คำตัดสินของศาลเป็นผลของการกระทำของนายทักษิณเองทั้งสิ้น
“ศาลบอกว่าคุณทักษิณรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้ป่วยก็ยังไปอยู่เบื้องหลังในการกระทำผิดครั้งนี้ จึงทำให้การไปอยู่โรงพยาบาลนั้น นายทักษิณ มีส่วนรู้เห็น เพราะฉะนั้นการกระทำทั้งหมดจะอ้างว่าเป็นเรื่องความผิดเจ้าหน้าที่ไม่ได้” นายชาญชัย ระบุ
เขากล่าวด้วยว่า เนื่องจากศาลเห็นว่าการพักโทษของนายทักษิณ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นายทักษิณ จึงต้องถูกนำตัวไปคุมขังให้ครบเป็นระยะเวลา 1 ปี และยืนยันว่าคดีนี้เป็นไปตามข้อกฎหมายทุกประการไม่ใช่การกลั่นแกล้งแต่อย่างใด
“การพักโทษอีก 6 เดือนโดยใช้ พ.ร.บ. ของกรมราชทัณฑ์ ถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย เป็นเหตุให้ต้องจำคุกรวมทั้งที่ไปอยู่โรงพยาบาล และพักโทษโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย รวมแล้วเป็นเวลา 1 ปี ศาลก็ลงโทษตามความเป็นจริงของตามความจริงของกฎหมายและการกระทำของตัวคุณทักษิณเอง ไม่ใช่ใครเป็นคนไปแกล้งเขา หรือกฎหมายไปเขียนขึ้นมาเองอะไรทั้งสิ้น ทั้งหมดคุณทักษิณรู้เห็นเป็นใจทั้งหมด” เขากล่าว
อย่างไรก็ตาม นายชาญชัย ได้กล่าวชื่นชมนายทักษิณที่ได้เดินทางมารับฟังคำพิพากษาด้วยตนเอง แต่ย้ำว่าการจำคุกเพียงหนึ่งปีนั้นก็ไม่คุ้มค่าสำหรับประเทศไทย เพราะนายทักษิณ สร้างความเสียหายไว้มาก
“ต้องขอบคุณสุดท้ายว่าคุณทักษิณได้แสดงความรับผิดชอบเดินทางกลับมาฟังคำพิพากษา อันนี้ต้องยอมรับว่าคุณทักษิณ คิดถูกแล้ว มารับโทษเถอะครับ แต่ว่าประเทศไทยไม่คุ้มหรอกครับ ติดคุกปีเดียวก็เป็นเรื่องที่กฎหมายทำได้แค่นั้นเอง เพราะความเสียหายที่มันเกิดขึ้นมากมายเป็นหมื่นเป็นแสนล้าน” เขากล่าว
อาจารย์นิติศาสตร์ มธ. ตั้งข้อสังเกต คำสั่งศาล “คดีชั้น 14” เป็น “การสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในทางนิติศาสตร์”
ด้าน รศ.ดร.มุนินทร์ พงศาปาน อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แสดงข้อสังเกตทางนิติศาสตร์ต่อคำสั่งศาลฎีกากรณีการบังคับโทษจำคุกทักษิณ ผ่านทางเฟซบุ๊กว่าเป็น “การสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ในทางนิติศาสตร์” เพราะว่า “เป็นครั้งแรกที่ศาลฎีกาเข้ามาตรวจสอบการบังคับตามคำพิพากษาซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายบริหาร (โดยเฉพาะกรมราชทัณฑ์)”
เขา อธิบายด้วยว่า แม้คำสั่งศาลครั้งนี้จะมีผลเฉพาะคดีนายทักษิณ แต่ก็ได้สร้าง “บรรทัดฐานใหม่” เพื่อใช้กับคดีอื่น ๆ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ศาลควรต้องออกหลักเกณฑ์ให้ชดเจนว่า กรณีเช่นใดที่ศาลสามารถเข้ามาตรวจสอบได้
“ศาลคงไม่มีเวลาและบุคลากรมากพอที่จะเข้าไปตรวจสอบการบังคับตามคำพิพากษาในทุกคดี จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ศาลยุติธรรมต้องปรึกษาหารือกันภายในเพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ให้ชัดเจนว่ามีกรณีแบบใดบ้างที่ศาลควรเข้าไปตรวจสอบการบังคับตามคำพิพากษา” รศ.ดร.มุนินทร์ กล่าว

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
บรรยากาศภายนอก มีประชาชนหลายสิบคน บางส่วนสวมใส่เสื้อสีแดงมารอให้กำลังใจอดีตนายกฯ ท่ามกลางมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด จากเจ้าหน้าที่ตำรวจราว 100 นาย จาก สน.ชนะสงคราม และกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (คฝ.)

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
สรุปประเด็นสำคัญจากการไต่สวน “คดีชั้น 14” ครบ 7 นัด
นี่คือ สรุปประเด็นสำคัญจากการไต่สวน “คดีชั้น 14” ครบ 7 นัด สามารถอ่านย้อนหลังได้ตามลิงก์ด้านล่าง
อดีตนายกฯ คนที่ 23 ทักษิณต้องคำพิพากษาลงโทษจำคุกรวม 8 ปี จาก 3 คดีทุจริต แต่เขาไม่ได้นอนในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ แม้แต่คืนเดียว เนื่องจากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ส่งตัวนายทักษิณออกจากเรือนจำช่วงกลางดึกของวันที่ 22 ส.ค. 2566 ด้วย “อาการฉุกเฉิน” ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ ชั้น 14 หลังจากนั้นนักโทษชายเด็ดขาด (น.ช.) รายนี้ก็ไม่ได้กลับเข้าเรือนจำอีกเลย
ต่อมา นายทักษิณทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาและได้รับการพระราชทานอภัยลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี กระทั่ง 18 ก.พ. 2567 ผู้ต้องขังสูงวัยเข้าเกณฑ์ได้ “พักโทษกรณีพิเศษ” ตามระเบียบของกรมราชทัณฑ์ จึงได้ย้ายออกจาก รพ.ตำรวจ ไปอยู่ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ถ.จรัญสนิทวงศ์ ในฐานะผู้ถูกคุมประพฤติตามมาตรการพักโทษ ก่อนกลายเป็นผู้บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ในอีก 6 เดือนต่อมา
ในระหว่างศาลฎีกาฯ เปิดไต่สวนรวม 7 นัด จำเลยได้รับอนุญาตให้ไม่ต้องมาศาล แต่แต่งตั้งทนายความเข้าร่วมกระบวนการแทน
ขณะที่โจทก์คือ อัยการสูงสุด (อสส.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) มาศาลทุกนัด

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
.สรุป 10 ประเด็นน่าสนใจใน “คดีประวัติศาสตร์”
ก่อนถึงวันตัดสิน “คดีประวัติศาสตร์” .ขอสรุปเกร็ดน่าสนใจและบรรยากาศที่เกิดขึ้นในห้องพิจารณาคดีที่ 1 ภายในศาลฎีกา สนามหลวง ซึ่ง.เข้าร่วมรับฟังและสังเกตการณ์กระบวนการไต่สวนทุกนัด
1. ศาลฎีกาฯ ตั้งองค์คณะประกอบด้วยผู้พิพากษา 5 คนให้ดำเนินการไต่สวนการบังคับโทษจำคุกของนายทักษิณ โดยมีผู้ซักถามหลัก ๆ 3 คนคือ หัวหน้าองค์คณะ มุ่งซักถามในภาพรวม, ผู้พิพากษาคนที่ 1 มุ่งซักถามข้อกฎหมาย, ผู้พิพากษาคนที่ 2 มุ่งซักถามข้อเท็จจริงเชิงลึก และผู้พิพากษาอีก 2 คนซักถามประเด็นทั่วไปหรือเก็บตกประเด็น
2. ศาลนัดไต่สวนทั้งหมด 7 ครั้ง เริ่มนัดแรก 13 มิ.ย., 4 ก.ค., 8 ก.ค., 15 ก.ค., 18 ก.ค., 25 ก.ค. และปิดท้ายที่ 30 ก.ค. จากนั้นองค์คณะใช้เวลาอีก 41 วันในการประชุม ปรึกษาหารือ และจัดทำคำพิพากษา ก่อนนัดฟังคำสั่ง 9 ก.ย.
3. ศาลเรียกพยานบุคคลมาไต่สวนทั้งสิ้น 31 ปาก
- ในจำนวนนี้ มี 12 คนที่ถูกกล่าวหาคดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ซึ่งถูกไต่สวนในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. )
- ในจำนวนนี้ มี 3 คนที่เป็นแพทย์ถูกสั่งลงโทษตามมติแพทยสภา กำหนดให้มีผลตั้งแต่ 1 ต.ค. โดยนายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ได้เปิดเผยกลางศาลว่า เขายื่นฟ้องศาลปกครองเพื่อขออุทธรณ์คำสั่งลงโทษแล้ว
- ในจำนวนนี้ เป็นพยานฝ่ายจำเลยเพียง 1 คน

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
4. ศาลใช้เวลาไต่สวนรวมทั้งสิ้น 20 ชม. 20 นาที (ไม่นับเวลาพักศาล) พยานที่ใช้เวลาเบิกความสั้นที่สุด ใช้เวลาเพียง 3 นาที ส่วนพยานที่ใช้เวลาเบิกความนานที่สุด ใช้เวลาถึง 1 ชม. 30 นาที
- เบิกความสั้นที่สุด 2 คน คือ น.ส.จิราพร มีนวลชื่น และ น.ส.ณิชามล มากจันทร์ พยาบาลเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ช่วยแพทย์ในการตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับเมื่อ 22 ส.ค. 2566 แต่ทั้งคู่ไม่ถูกเรียกใช้งาน จึงไม่มีส่วนร่วมในวันนั้น
- เบิกความนานที่สุด 2 คน พันตำรวจเอก นพ.ชนะ จงโชคดี แพทย์ รพ.ตำรวจ ในฐานะแพทย์เจ้าของไข้ของนายทักษิณ และนายมานพ ชมชื่น ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ คนปัจจุบัน
- เบิกความเกิน 1 ชม. 7 คน นอกจาก พันตำรวจเอก นพ.ชนะ และนายมานพ แล้ว ยังมีอีก 5 คน ได้แก่ พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ประจำทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ ผู้ตรวจร่างกายผู้ต้องขังแรกรับ, นายจารุวัฒน์ เมืองไทย นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องขัง, นพ.พงศ์ภัค อารียาภินันท์ รองผู้อำนวยการทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์, นายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลเวรเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในวันเกิดเหตุ, ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา อุปนายกแพทยสภา และอดีตคณบดีแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล
5. การไต่สวนที่มีจำนวนผู้เข้าฟังในห้องพิจารณาคดีมากที่สุดคือนัดที่ห้า ซึ่งเป็นชุดผู้บริหารและแพทย์ รพ.ตำรวจ รวม 6 ปาก เนื่องจากพยานบางคนมีคณะผู้ติดตามจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีแพทย์/อาจารย์แพทย์จากมหาวิทยาลัยให้ความสนใจมาร่วมรับฟังด้วย
6. คำเบิกความของพยานมีทั้งที่เนื้อหาสาระสอดคล้องกันและย้อนแย้งกัน ข้อน่าสังเกตคือ ถ้าพยานชุดไหนขึ้นเบิกความในวันเดียวกัน คำตอบมักจะเหมือนหรือใกล้เคียงกัน แต่อาจไม่ตรงกับพยานชุดอื่นที่ศาลเรียกมาไต่สวนคนละวัน อาทิ
- กลุ่มแพทย์ รพ.ตำรวจ ให้การไม่ตรงกับกลุ่มเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่ปฏิบัติหน้าที่ “ผู้คุม” เฝ้าอยู่ที่ชั้น 14 เกี่ยวกับอาการของผู้ป่วย
- ผบ.เรือนจำในขณะนั้น กับ ผบ.เรือนจำคนปัจจุบัน ชี้แจงไม่ตรงกันเกี่ยวกับขั้นตอนการส่งตัวผู้ต้องขังป่วยว่าจำเป็นต้องผ่าน รพ.ราชทัณฑ์ก่อน หรือสามารถส่งไปรักษาที่ รพ.ภายนอกได้เลย
- แพทย์ รพ.ตำรวจ กับผู้บริหารกรมราชทัณฑ์/เรือนจำ ชี้แจงไม่ตรงกันเกี่ยวกับการติดตามนำตัวนักโทษที่รักษาอาการจนทุเลาแล้ว กลับไปรักษาต่อที่ รพ.ราชทัณฑ์ หรือกลับไปจองจำภายในเรือนจำ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
7. แม้ผู้ต้องขังคดีนี้เป็นบุคคลสำคัญที่มีตำแหน่งเป็นอดีตนายกฯ แต่เมื่อถูกถามถึงเหตุการณ์ที่พยานเข้าไปเกี่ยวข้อง บางปากตอบว่า “จำไม่ค่อยได้ชัดเจน” บางปาก “แสดงความสนใจเป็นช่วง ๆ เดี๋ยวจำได้ เดี๋ยวจำไม่ได้” บางปากระบุว่า “ไม่แน่ใจ” ทั้งที่เป็นเหตุการณ์ในอดีตที่เกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่การคาดการณ์ในอนาคต พยานบางคนเบิกความเลี่ยงไปมา โดยพูดถึงกรณีทั่วไป แทนที่จะชี้แจงจำเพาะกรณีนายทักษิณ ทำให้ศาลต้องเตือนหลายคน-หลายครั้งว่า “พยานสาบานตนแล้วว่าจะเบิกความตามความเป็นจริง”
8. การขึ้นศาลน่าจะเป็นประสบการณ์ใหม่ของผู้เกี่ยวข้องกับคดีนี้ จึงเห็นหลายคนออกอาการประหม่า พยานรายหนึ่งเผลอยืนให้การต่อศาลในช่วงต้น ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะใช้จังหวะเหมาะสม กระซิบให้เขานั่งลง อีกรายขอให้ศาลทวนคำถามหลายข้อโดยบอกว่าไม่เข้าใจคำถาม อีกรายใช้จังหวะนั่งรอที่คอกพยานพลิกอ่านเอกสารข้อกฎหมายไปมาก่อนที่องค์คณะจะขึ้นบัลลังก์
แต่คนที่ออกอาการทั้งอึดอัดและอึกอักชัดเจนที่สุด หนีไม่พ้น แพทย์เจ้าของไข้ของนายทักษิณที่เริ่มต้นด้วยการเอ่ยปากขอกระดาษกับปากกามาจดคำถามศาล เพราะเกรงจะฟังไม่ทัน และยังยกมือไหว้ “ขอบคุณ” และ “ขอโทษ” องค์คณะเป็นระยะ ๆ เมื่อต้องขอแก้ไขคำตอบใหม่ ในระหว่างตอบคำถามศาล เกิดเดตแอร์เป็นบางช่วง และเมื่อการไต่สวนดำเนินไปถึงช่วงท้าย ๆ เขาถึงกับหลุดปากกลางศาลว่า “ผมมีหน้าที่แค่รักษา (เงียบ) ไม่ใช่ต้องมาขึ้นศาลแบบนี้” พลางยกมือปาดบริเวณใบหน้า ทว่า.นั่งอยู่ด้านหลังพยาน จึงไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของเขาได้
9. อาการเจ็บป่วยของนายทักษิณถูกบันทึกไว้ในเอกสารหลายฉบับ เฉพาะที่ปรากฏในศาลระหว่างการเปิดไต่สวน 7 นัด มีเอกสารสำคัญอย่างน้อย 9 รายการ ถูกหยิบยกมาสอบถามพยาน
สำหรับเอกสารหลักฐานใหม่ที่ปรากฏกลางศาลเป็นครั้งแรก หลังจากหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบกรณีชั้น 14 เคยขอเอกสารไปยังผู้เกี่ยวข้อง แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ อาทิ
- เอกสารประวัติการรักษาตัวในต่างประเทศของนายทักษิณ ศาลเรียกจากทางเรือนจำ แต่ทนายของนายทักษิณเป็นผู้ส่งมอบให้ศาลเอง
- บันทึกคำสั่งการรักษาของแพทย์ รพ.ตำรวจ หรือเรียกย่อ ๆ ว่าใบสั่งแพทย์ หรือ “physician remark sheet” หลังมาตรวจเยี่ยมอาการของนายทักษิณที่ชั้น 14 ซึ่งศาลเรียกจาก รพ.ตำรวจ และได้มาในการไต่สวนนัดรองสุดท้าย ทั้งนี้มีข้อสังเกตคือ มีการบันทึกของแพทย์ในวันที่ 23, 24, 25 ส.ค. 2566 แต่วันที่ 26 หายไป แล้วโดดไปที่วันที่ 27 ส.ค. 2566 เลย
- เอกสารค่ารักษาพยาบาลของผู้ต้องขังที่ รพ.ตำรวจ ในช่วง 6 เดือน (ส.ค. 2566 – ก.พ. 2567) ซึ่งปรากฏรายการ “ค่ายาและสารอาหารทางเส้นเลืoด” จำนวน 9 ฉบับ จากทั้งหมด 27 ฉบับ
- ภาพถ่ายทักษิณขณะรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจ 2 ภาพ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
10. นอกจากคู่ความ สื่อมวลชน ยังมีนักวิชาการ อดีตนักการเมือง นักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายต่อต้านนายทักษิณ เป็นกลุ่ม “ขาประจำ” ร่วมรับฟังการไต่สวนคดีนี้ ก่อนออกมาให้สัมภาษณ์สื่อเพื่อสรุปสาระสำคัญในแต่ละนัด และให้ความเห็นเพิ่มเติมในฐานะแพทย์ ทำให้ทนายความของนายทักษิณยื่นคำร้องต่อองค์คณะหลายครั้ง โดยมีทั้งขอให้ไต่สวนลับ หรือขอจำกัดผู้เข้าฟังการไต่สวนในห้องพิจารณาคดี แต่ไม่เป็นผล เนื่องจากศาลคงไว้ซึ่งหลักการในการพิจารณาโดยเปิดเผย
นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ เป็นหนึ่งในบุคคลที่เกาะติดการไต่สวนคดีนี้ เนื่องจากเขาเป็นผู้ยื่นคำร้องขอให้ศาลดำเนินการไต่สวนการบังคับโทษจำคุกแก่นายทักษิณโดยมิชอบ แต่ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ผู้ร้องไม่ใช่ผู้ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย ไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในชั้นบังคับตามคำพิพากษา จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาล อย่างไรก็ตามศาลได้เปิดไต่สวนเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงในคดีนี้เอง
ศาลสั่งให้คู่ความและผู้เข้ารับฟังการพิจารณาคดี “งดเว้นการเผยแพร่โฆษณาคำเบิกความพยานบุคคลและพยานเอกสารที่ศาลไต่สวน” ในการไต่สวนนัดที่สอง เมื่อ 4 ก.ค. จากนั้นในการไต่สวนนัดที่สี่ 15 ก.ค. ศาลแจ้งว่า “ไม่อนุญาตให้จดบันทึกคำเบิกความ” แต่อนุญาตให้เข้าฟังได้ ทำให้สื่อมวลชนและผู้สนใจติดตามกระบวนพิจารณาคดีนี้ต้องอาศัยความจำล้วน ๆ ยกเว้นให้เฉพาะคู่ความที่จดบันทึกได้

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ที่มา BBC.co.uk