จากแคทรีนา ถึงเอริน ย้อนประวัติศาสตร์พายุเฮอร์ริเคนที่ทรงพลังที่สุด เกิดขึ้นที่ใดบ้าง

ที่มาของภาพ : Getty Photos

Article Recordsdata

    • Creator, สตีเฟน ดาวลิง, อิซาเบล เกอร์เร็ตเซน, ริชาร์ด เกรย์, แคทเธอรีน เลแธม และจอเซลิน ทิมเพอร์ลีย์
    • Feature, บีบีซี ฟิวเจอร์

เป็นเวลา 20 ปีแล้วที่พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนาพัดถล่มรัฐลุยเซียนาทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา มันได้คร่าชีวิตผู้คนไป 1,833 คน และก่อให้เกิดภัยพิบัติในระดับที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน พายุลูกนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 29 ส.ค. 2005 และทำให้เมืองส่วนใหญ่จมอยู่ใต้น้ำ ประชาชนไม่มีไฟฟ้า อาหาร และที่อยู่อาศัย

“เมืองของฉัน นิวออร์ลีนส์ ตกอยู่ในความโกลาหลอย่างที่สุด” วินดี เซเบรน ผู้อยู่อาศัยในนิวออร์ลีนส์ ในเวลานั้นกล่าวกับบีบีซี “ชีวิตของฉันในนิวออร์ลีนส์จบลงแล้วในตอนนี้ ฉันต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด”

แน่นอนว่าพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา เป็นหนึ่งในภัยพิบัติที่เลวร้ายที่สุดที่พัดถล่มสหรัฐอเมริกา ในบทความนี้บีบีซีจะพาย้อนดูภาพความรุนแรงของพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา และพายุเฮอร์ริเคนที่ทรงพลังและสร้างความเสียหายครั้งอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์

พายุเฮอร์ริเคนครั้งใหญ่ในปี 1780 เฮอร์ริเคนที่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตมากที่สุด

ในคืนวันที่ 9 ต.ค. 1780 หลังจากวันที่อากาศอบอุ่นบนเกาะบาร์เบโดสในทะเลแคริบเบียน ฝนก็เริ่มตกลงมา และเช้าวันรุ่งขึ้นลมก็เริ่มแรงขึ้น และเมื่อเวลา 18.00 น. พายุเฮอร์ริเคนก็พัดถล่มเกาะอย่างเต็มกำลัง

พายุเฮอร์ริเคนที่รู้จักกันในชื่อ เกรทเฮอร์ริเคน ยังคงเป็นพายุเฮอร์ริเคนในมหาสมุทรแอตแลนติกที่ทำเกิดการสูญเสียชีวิตมากที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ ประมาณการว่ายอดผู้เสียชีวิตอยู่ระหว่าง 20,000-27,500 คน

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

Finish of ได้รับความนิยมสูงสุด

พายุเฮอร์ริเคนพัดกระหน่ำไปทั่วแผ่นดิน ด้วยความเร็วลมที่น่าจะมากกว่า 322 กม./ชม. มันเสียงดังมากเสียจนผู้คนไม่ได้ยินเสียงของตัวเอง และหลงเหลือไว้เพียง “โคลน เศษซาก วัวควายเสียชีวิต และศwเน่าเปื่อย”

เกรทเฮอร์ริเคนเคลื่อนตัวออกจากบาร์เบโดส ผ่านมาร์ตินีก เซนต์ลูเซีย และซินต์ยูสเตเชียส คลื่นสูง 7 เมตรซัดหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านลงสู่ทะเล และกองเรืออังกฤษและฝรั่งเศสทั้งกอง รวมถึงผู้คนนับพันบนเรือ จมลงสู่ก้นมหาสมุทร

ทั้งนี้ พายุที่ร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกาคือพายุเฮอร์ริเคนกัลเวสตันในปี 1900 ซึ่งพัดผ่านอ่าวเม็กซิโกในช่วงต้นเดือน ก.ย. ในปี 1900 และทวีกำลังแรงขึ้นเป็นพายุเฮอร์ริเคนระดับ 4 ก่อนที่จะพัดถล่มกัลเวสตัน รัฐเท็กซัส ในวันที่ 6 ก.ย.

ที่มาของภาพ : Getty Photos

เมืองกัลเวสตัน ถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพเสียหายไม่มีชิ้นดีหลังจากพายุเฮอร์ริเคนพัดถล่มในปี 1900

“เราเจอศwมากมายจนผมต้องรีบคว้าหอกมาดัน ศw ให้พ้นทาง… มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา” ชาวประมงที่รอดชีวิตคนหนึ่งกล่าว

คาดการณ์ว่าพายุลูกนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ระหว่าง 6,000-8,000 คน

ยังคงมีพายุรุนแรงเกิดขึ้นนอกเขตมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งพายุเหล่านี้รู้จักกันในชื่อไซโคลนหรือไต้ฝุ่น

พายุไซโคลนโบลาในปี 1970 พัดถล่มอินเดียตะวันออกเฉียงเหนือและพื้นที่ที่ในขณะนั้นคือปากีสถานตะวันออก ซึ่งปัจจุบันคือบังกลาเทศ

พายุไซโคลนพัดถล่มด้วยคลื่นพายุซัดฝั่งสูง 10.5 เมตร และคาดว่ามีผู้เสียชีวิตจากพายุไซโคลนมากถึง 500,000 คน

ที่มาของภาพ : Getty Photos

เชื่อกันว่าพายุไซโคลนโบลา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากถึง 500,000 ราย เมื่อมันพัดถล่มพื้นที่ที่ปัจจุบันคือบังกลาเทศในปี 1970

เฮอร์ริเคนแคทรีนาและมิตช์ พายุเฮอร์ริเคนที่สร้างความเสียหายมากที่สุด

การประเมินความเสียหายจากพายุเฮอร์ริเคนนั้นขึ้นอยู่กับมุมมอง สำหรับผู้ที่สูญเสียทรัพย์สิน อาชีพ และคนที่รัก พายุที่เพิ่งพัดถล่มนั้นย่อมสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรง แต่หากพิจารณาเฉพาะจำนวนทรัพย์สินที่ถูกทำลาย จะเห็นได้ว่ามีพายุเฮอร์ริเคนสองลูกที่ทำลายล้างอย่างมาก คือ แคทรีนาและมิตช์

เหตุผลหลักที่ทำให้พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา เป็นพายุเฮอร์ริเคนที่สร้างความเสียหายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ก็เพราะขนาดของความเสียหายที่พายุได้ก่อไว้ทั่วทั้งภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่ามีบ้านเรือนประมาณ 217,000-300,000 หลัง ถูกทำลายหรือไม่สามารถอาศัยอยู่ต่อได้เนื่องจากถูกพายุซัดถล่ม

พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา มีความเร็วลมสูงสุดอยู่ที่ 225 กม./ชม.โดยพัดเข้าสู่รัฐลุยเซียนาตะวันออกเฉียงใต้ คลื่นพายุซัดฝั่งมีความสูง 7.6-8.5 เมตร เหนือระดับน้ำขึ้นน้ำลงปกติตามแนวชายฝั่งมิสซิสซิปปี และ 3-6.1 เมตรเหนือระดับน้ำขึ้นน้ำลงปกติตามแนวชายฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐลุยเซียนา ขณะที่ในเมืองนิวออร์ลีนส์ คลื่นซัดฝั่งและคลื่นพายุต่างก็โหมซัดเข้าเขื่อนที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องเมือง

ที่มาของภาพ : Getty Photos

ในปี 2005 พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา สร้างความเสียหายในระดับที่ไม่อาจจินตนาการได้มาก่อนกับรัฐลุยเซียนา สหรัฐฯ

โดยรวมแล้วเกือบ 80% ของเมืองถูกน้ำท่วมสูงถึง 6 เมตร ขณะที่พายุทอร์นาโด 59 ลูกพัดถล่มสร้างความเสียหายเพิ่มขึ้นไปอีกใน 8 รัฐ

ความเสียหายนี้ทำให้พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา กลายเป็นพายุเฮอร์ริเคนที่พัดถล่มสหรัฐอเมริกา ที่สร้างความเสียหายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้เกิดความเสียหายรวม 201,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อเป็นดอลลาร์สหรัฐในปี 2024

พายุที่สร้างความเสียหายสูงสุดอันดับสอง คือ พายุเฮอร์ริเคนฮาร์วีย์ ซึ่งสร้างความเสียหายกว่า 160,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อพัดขึ้นฝั่งที่รัฐเท็กซัสและลุยเซียนา

ที่มาของภาพ : NOAA

ความเสียหายที่เกิดจากพายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา ก่อให้เกิดความสูญเสียมูลค่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์

แต่เกือบ 7 ปีก่อนหน้านี้ พายุเฮอร์ริเคนอีกลูกก็ได้สร้างความเสียหายเกือบเท่ากับพายุแคทรีนา ในสหรัฐอเมริกา แต่พายุเฮอร์ริเคนมิตช์ อาจนับได้ว่าสร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับพายุแคทรีนา

บ้านเรือน 645 หลังในรัฐฟลอริดาถูกทำลายโดยพายุลูกนี้ ขณะที่พัดผ่านอ่าวเม็กซิโกจากคาบสมุทรยูกาตันของเม็กซิโกในเดือน ต.ค. 1998 อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นพายุได้ก่อความเสียหายร้ายแรงที่สุดไปแล้ว

ที่มาของภาพ : Getty Photos

พายุเฮอร์ริเคนแคทรีนา ทำให้เมืองนิวออร์ลีนส์ 80% จมอยู่ใต้น้ำ และประชากรตกอยู่ในภาวะวิกฤต

หนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าพายุแคทรีนา พายุมิตช์ได้เข้าพัดถล่มสาธารณรัฐฮอนดูรัส ทำลายล้างชุมชนทั้งชุมชน และยังสร้างความเสียหายอย่างกว้างขวางทั่วภูมิภาคอเมริกากลาง

พายุลูกนี้รุนแรงมาก เนื่องจากมันเป็นพายุเฮอร์ริเคนระดับ 5 ที่ยังคงเป็นหนึ่งในพายุที่มีความรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกไว้

เมื่อพายุเข้าถล่มฮอนดูรัสมันได้อ่อนกำลังลงเหลือระดับ 1 แต่เมื่อพัดขึ้นฝั่ง พายุได้พัดถล่มและปกคลุมเหนือฮอนดูรัสได้ทำให้เกิดฝนตกหนัก น้ำท่วม และดินถล่มที่ตามมา ทำให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 10,000-19,000 คน ทั่วทั้งฮอนดูรัส นิการากัว กัวเตมาลา เบลีซ และเอลซัลวาดอร์

บ้านเรือนอย่างน้อย 200,000 หลังถูกทำลายหรือได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากพายุ ทั้งนี้ เฉพาะในฮอนดูรัสเพียงประเทศเดียว บ้านเรือน 70,000 หลังและสะพาน 92 แห่งถูกทำลาย หมู่บ้านทั้งหมู่บ้านถูกกลืนหายไปกับสายน้ำโคลนที่ไหลลงมาจากภูเขา สหประชาชาติประเมินว่ามีผู้คนมากกว่าครึ่งล้านคนสูญเสียบ้านของตน

ที่มาของภาพ : Getty Photos

พายุเฮอร์ริเคนที่ชื่อมิตช์ ทำให้การพัฒนาเศรษฐกิจของฮอนดูรัสถอยหลังไป 50 ปี ตามคำกล่าวของประธานาธิบดีของประเทศในปี 1998

ความเร็วลมสูงสุด

คุณอาจเข้าใจผิดคิดว่าพายุที่รุนแรงที่สุดเป็นพายุที่สร้างความเสียหายมากที่สุดและคร่าชีวิตผู้คนมากที่สุด ซึ่งไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป

พายุเฮอร์ริเคนแพทริเซียเป็นพายุลูกที่ 24 ของฤดูพายุเฮอร์ริเคนปี 2015 และก่อตัวขึ้นใกล้อ่าวเตวานเตเปก นอกชายฝั่งทางใต้ของเม็กซิโก ด้วยสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย ทำให้พายุนี้เปลี่ยนจากพายุโซนร้อนเป็นพายุเฮอร์ริเคนระดับ 5 ภายในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง

เมื่อวันที่ 23 ต.ค. 2015 ความเร็วลมสูงสุดของพายุแพทริเซียซึ่งวัดได้ที่ 356 กม./ชม. คงอยู่นานกว่า 10 วินาที โดยวัดจากเครื่องบินที่กำลังบินอยู่ (วัดความเร็วที่ระดับพื้นดินได้ 338 กม./ชม.) นับเป็นความเร็วสูงสุดที่เคยบันทึกไว้ในซีกโลกตะวันตก และมีความรุนแรงเทียบเท่ากับพายุไต้ฝุ่นแนนซีในปี 1961 ซึ่งเป็นหนึ่งในพายุที่มีความรุนแรงที่สุดเท่าที่เคยถูกบันทึกไว้

ที่มาของภาพ : Getty Photos

พายุเฮอร์ริเคนแพทริเซีย สร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินอย่างกว้างขวาง แต่มีผู้เสียชีวิตเพียงไม่กี่คน

เส้นทางของพายุแพทริเซีย ตัดผ่านพื้นที่ที่มีประชากรค่อนข้างน้อยของเม็กซิโก ทำให้สร้างผลกระทบต่อเมืองใหญ่ ๆ ส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ในจำนวนจำกัด

พายุยังอ่อนกำลังลงอย่างมากหลังจากพัดเข้าชายฝั่งเม็กซิโก แม้ว่าจะขึ้นฝั่งด้วยความเร็วลมที่บันทึกไว้สูงถึง 265 กม./ชม. ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาของเม็กซิโกยังยิ่งทำให้พายุแพทริเซียอ่อนกำลังลง และภายในวันที่ 24 ต.ค. พายุก็ลดลงจนแทบไม่มีผู้เสียชีวิตเลย

แม้จะมีความรุนแรง แต่จำนวนผู้เสียชีวิตจากพายุแพทริเซียกลับน้อยอย่างน่าประหลาดใจ โดยมีผู้เสียชีวิตโดยตรงจากพายุเพียง 2 ราย และมีผู้เสียชีวิตทางอ้อมอีก 4 ราย ตามข้อมูลของสำนักงานบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา

ความรุนแรงของพายุที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

สัปดาห์ที่ผ่านมา พายุเฮอร์ริเคนเอรินกลายเป็นพายุเฮอร์ริเคนลูกแรกของมหาสมุทรแอตแลนติกในปี 2025 เคลื่อนตัวผ่านแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ทำให้นักพยากรณ์อากาศต้องออกคำเตือนเกี่ยวกับกระแสน้ำย้อนกลับแก่นักเล่นเซิร์ฟ

เชื่อกันว่าพายุลูกนี้เป็นหนึ่งในพายุเฮอร์ริเคนที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกในช่วงต้นฤดูกาล พายุที่รุนแรงที่สุดมักจะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี หลังจากวันที่ 1 ก.ย. พายุเฮอร์ริเคนเอริน เปลี่ยนจากพายุเฮอร์ริเคนระดับ 1 เป็นพายุเฮอร์ริเคนระดับ 5 ในเวลาเพียง 24 ชั่วโมง ก่อนที่จะอ่อนกำลังลงอีกครั้งเป็นพายุระดับ 2

การเพิ่มความรุนแรงอย่างรวดเร็วคือการเพิ่มขึ้นของความเร็วลมสูงสุดของพายุไซโคลนเขตร้อนอย่างน้อย 55 กม./ชม. ในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง ตามข้อมูลของสำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา พายุเฮอร์ริเคนที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้อาจเป็นอันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากผู้คนจะมีเวลาเตรียมตัวน้อย

ที่มาของภาพ : NASA

พายุเฮอร์ริเคนมิลตันทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องมาจากน้ำอุ่นและสภาพบรรยากาศที่เอื้ออำนวย

เอริน ไม่ใช่พายุลูกเดียวที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในปี 2024 พายุเฮอร์ริเคนมิลตันกลายเป็นพายุแอตแลนติก ที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีการทวีความรุนแรงจากดีเปรสชันเขตร้อนเป็นเฮอร์ริเคนระดับ 5

ในปีเดียวกันพายุเฮอร์ริเคนเบริล ได้ทำลายสถิติพายุแอตแลนติกที่ความรุนแรงของมันเพิ่มขึ้นเร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมาในเดือน มิ.ย. หรือต้นเดือน ก.ค. โดยทวีความรุนแรงขึ้นจากพายุดีเปรสชันเขตร้อนเป็นเฮอร์ริเคนในที่สุด

ขณะที่ในปี 2023 พายุเฮอร์ริเคนลีและพายุเฮอร์ริเคนโจวา สร้างความตกตะลึงให้กับนักวิทยาศาสตร์ด้วยการทวีความรุนแรงขึ้นอย่างฉับพลัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาว่าเกิดขึ้นในช่วงปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งปกติแล้วจะยับยั้งกิจกรรมของเฮอร์ริเคนในมหาสมุทรแอตแลนติก

แน่นอนว่าเฮอร์ริเคนมีความรุนแรงขึ้นในอัตราที่แตกต่างกันเสมอ เฮอร์ริเคนแอตแลนติกอีกสองลูก ได้แก่ พายุเฟลิกซ์ในปี 2007 และพายุวิลมาในปี 2005 ก็ทวีรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกัน

แต่การวิจัยแสดงให้เห็นว่าอัตราการทวีความรุนแรงโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน ซึ่งแนวโน้มนี้จะยังคงดำเนินต่อไป

สาเหตุทั้งหมดเป็นเพราะพื้นผิวน้ำทะเลที่อุ่นขึ้นซึ่งพายุเหล่านี้พัดผ่านไปเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตัวอย่างเช่น เอรินพัดผ่านไปเหนือน้ำที่อุ่นขึ้นโดยเฉลี่ย 1.1 องศาเซลเซียส เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ