ไร้มติโหวตนายกฯ ใหม่ พรรคประชาชนให้ กก.บห. เคาะ 3 ก.ย. หนุน อนุทิน-ชัยเกษม หรือไม่เลือกใคร?

ที่มาของภาพ : กองโฆษก พรรคประชาชน

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ยืนยันว่า “ไม่มีธงในใจ” และ “ต้องมีข้อยุติก่อนวันโหวตในสภาแน่นอน”

Article Information

    • Creator, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
    • Intention, ผู้สื่อข่าว.

พรรคประชาชน (ปชน.) ซึ่งเป็นพรรคอันดับ 1 ของสภาผู้แทนราษฎร เรียกประชุมกรรมการบริหารพรรค และ สส. เพื่อกำหนดทิศทางการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 และเป็นอีกครั้งที่ยังไร้ข้อสรุป

“วันนี้ไม่มีมติ…เป็นข่าวที่ไม่เป็นข้อเท็จจริงใด ๆ” นายปกรณ์วุฒิ อุดมพิพัฒน์สกุล รองหัวหน้าพรรค และประธาน สส. พรรค ปชน. ปฏิเสธข่าวที่ปรากฏทางสื่อมวลชนบางสำนักว่า พรรค ปชน. มีมติสนับสนุนให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เป็นนายกฯ คนใหม่

บ่ายวันที่ 2 ก.ย. ผู้แทนราษฎรพรรค ปชน. มาประชุมร่วมกันอีกครั้ง หลังไม่อาจขอมติพรรคได้ในการประชุมวันแรก เมื่อรวม 2 วัน พวกเขาใช้เวลาไปแล้ว 9 ชม. (วันแรก 4 ชม. วันที่สอง 4.5 ชม.) ในการปิดห้องพูดคุย-ถกเถียง-แลกเปลี่ยนความเห็น-วิเคราะห์สถานการณ์

ในระหว่างการแถลงข่าว นายปกรณ์วุฒิชี้แจงว่า ขณะนี้การรับฟังความคิดเห็นจาก สส. ครบถ้วนแล้ว แต่จะขอเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะสมาชิกพรรคต่อ โดยวันพรุ่งนี้ (3 ก.ย.) คณะกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) จะประชุมเพื่อตัดสินใจในขั้นสุดท้ายว่าจะโหวตเลือกแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคใด

“ทุกคนเข้าใจตรงกันแล้วว่า นี่ไม่ใช่การเลือกนายกฯ ที่ดีที่สุด แต่เป็นการเลือกนายกฯ ที่มีโอกาสนำไปสู่การยุบสภา และการแก้รัฐธรรมนูญมากที่สุด” ประธาน สส. พรรค ปชน. กล่าว

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue discovering outได้รับความนิยมสูงสุด

ได้รับความนิยมสูงสุด

อย่างไรก็ตามทั้งนายปกรณ์วุฒิ และนายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรค ปชน. ปฏิเสธจะให้ข้อมูลว่า สส. ของพรรค ปชน. ที่สนับสนุนแคนดิเดตจากพรรค ภท. ให้เหตุผลว่าอย่างไร โดยนายพริษฐ์กล่าวย้ำว่า “ไม่ไว้วางใจทั้งคู่” และในการตัดสินใจไม่ได้คำนึงถึงคุณสมบัติแคนดิเดตนายกฯ แต่จะออกแบบกลไกเพื่อควบคุมการรักษาสัญญาได้ดีที่สุด ซึ่งต้องลงนามในข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร ส่วนจะสามารถลงนามร่วมกันพรรคการเมืองที่จะโหวตสนับสนุนให้เป็นนายกฯ ในวันที่ 3 ก.ย. เลยหรือไม่นั้น ไม่สามารถตอบแทน กก.บห.พรรคได้

ที่มาของภาพ : กองโฆษก พรรคประชาชน

ในการประชุมวันแรก มี สส. เข้าร่วม 90 คน หรือคิดเป็น 62% แต่วันที่สอง มากันเกือบครบ

143 สส. พรรคสีส้ม ซึ่งเป็นแกนนำฝ่ายค้าน กลายเป็นเสียงชี้ขาดโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ท่ามกลางการเปิดฉากช่วงชิงเสียงสนับสนุนในการลงมติเลือกผู้นำฝ่ายบริหารคนใหม่ ระหว่างพรรคเพื่อไทย (พท.) กับพรรค ภท. ภายหลัง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ คนที่ 31 ด้วยคำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญใน “คดีคลิปเสียง” เมื่อ 29 ส.ค.

พรรคอันดับ 2 ของสภาอย่างเพื่อไทยซึ่งมี สส. 140 เสียง กับพรรคอันดับ 3 อย่างภูมิใจไทยซึ่งมี สส. 69 เสียง เคยร่วม “รัฐบาลผสมข้ามขั้ว” หลังการเลือกตั้ง 2566 มาก่อน 2 ชุด ก่อนที่พรรคสีน้ำเงินจะถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล “แพทองธาร” เมื่อ 18 มิ.ย. หลังปรากฏคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ ไทยกับประธานวุฒิสภากัมพูชา ทว่าแม้ไม่มีกรณี “คลิปเสียง” พรรค ภท. ก็มีแนวโน้มถูกขับพ้นรัฐบาลอยู่แล้ว เนื่องจากไม่สามารถตกลงกับพรรคแกนนำรัฐบาลเกี่ยวกับการปรับ ครม. “แพทองธาร 1/1” ได้

การถอนตัวจากการร่วมรัฐบาลในครั้งนั้น ทำให้พรรค ภท. มีโอกาสทำงานร่วมกับพรรค ปชน. ในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้านราว 2 เดือนเศษ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

แพทองธาร ชินวัตร ขอบคุณแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลภายหลังเสร็จสิ้นพิธีรับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 เมื่อ 18 ส.ค. 2567

ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แกนนำพรรคสีน้ำเงินและพรรคสีแดงต่างยกคณะไปพบปะพูดคุยกับแกนนำพรรค ปชน. ถึงที่ทำการพรรค อาคารอนาคตใหม่ ถ.รามคำแหง 42 ก่อนที่แกนนำของทั้ง 2 พรรคจะประกาศ “รับข้อเสนอ” ของพรรค ปชน.

สถานการณ์จึงเดินมาถึงจุดที่ว่าพรรค ปชน. ที่มีมือในสภามากที่สุด จะตัดสินใจเลือกใคร-ไม่เลือกใคร ด้วยเหตุผลใด

จุดยืนพรรคประชาชน ก่อนจะถึงวันนี้

ทันทีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ขาดจากอำนาจนายกฯ อย่างสมบูรณ์ด้วยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ พรรค ปชน. ในฐานะพรรคที่มีเสียงมากที่สุดในสภาได้ประกาศภารกิจ “ผ่าทางตันทางการเมืองด้วยกระบวนการรัฐสภา” คือการเลือกนายกฯ คนใหม่เพื่อทำหน้าที่ยุบสภา และป้องกันมิให้มีนายกฯ ที่เคยเป็นอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร หรือนายกฯ คนนอก

แถลงการณ์พรรค ปชน. เมื่อ 29 ส.ค. ระบุว่า สส. ของพรรคพร้อมเลือกนายกฯ คนใหม่ภายใต้ 3 เงื่อนไข ได้แก่

  • นายกฯ คนใหม่ต้องยุบสภาภายใน 4 เดือนนับตั้งแต่วันที่ได้แถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพื่อจัดให้มีการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป
  • คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกินไปกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สส.
  • พรรค ปชน. ยืนยันทำหน้าที่ฝ่ายค้านต่อไป โดยจะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลชุดใหม่อย่างเต็มที่ และจะไม่มีบุคคลใดจากพรรคไปเป็นรัฐมนตรีใน ครม.

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ พูดถึงกรณี ชัยเกษม นิติสิริ ให้สัมภาษณ์สื่อว่า “ยังไม่ได้ทาบทามอย่างเป็นทางการ” จึงคิดว่าเป็นสิ่งหนึ่งที่น่ากังวล คิดว่าเพื่อนสมาชิกใช้ประกอบตัดสินใจเลือกแคนดิเดตนายกฯ ที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้มากกว่า

แม้พรรคสีส้มระบุชัดเจนว่า “พร้อมโหวตนายกฯ แต่ไม่เข้าร่วมรัฐบาล” แต่กลับมี “มือมืด” ปล่อยข่าวผ่านสื่อมวลชนบางสำนักว่า “มีดีล” ระหว่างพรรค ภท. และพรรค ปชน. โดยเสนอ 8 เก้าอี้รัฐมนตรีให้พรรคสีส้ม ซึ่งจะใช้ส่งนอมินีมานั่งแทน ร้อนถึงรองโฆษกพรรค ปชน. ต้องรีบออกมาปฏิเสธข่าวลือทันทีในคืนนั้น

โดยข้อเท็จจริง พรรค ปชน. เคยประกาศจุดยืน 7 ข้อ ตั้งแต่ 3 ก.ค. ในกรณี น.ส.แพทองธาร ต้องพ้นจากตำแหน่ง โดยเสนอให้รักษาการนายกฯ ประกาศยุบสภา แต่ถ้ารักษาการนายกฯ ไม่เลือกแนวทางนี้ พรรคพร้อมจะพิจารณาลงมติให้กับผู้เสนอตัวเป็นนายกฯ คนใหม่ที่ยอมรับเงื่อนไขในการเป็นเพียง “รัฐบาลชั่วคราวที่มีภารกิจในการเดินหน้าสู่การยุบสภา” โดยพรรค ปชน. จะไม่เข้าร่วมรัฐบาลและจะไม่มีใครจากพรรค ปชน. ไปเป็นรัฐมนตรี

เสียงที่ต้องช่วงชิง

เหตุที่พรรคสีส้มต้องมายืนอยู่ตรงกลางใน “ศึกชิงเสียงจัดตั้งรัฐบาล” ระหว่างพรรคสีแดงกับพรรคสีน้ำเงิน เป็นเพราะทั้ง 2 พรรคไม่อาจรวบรวมเสียงในสภาได้เกินกึ่งหนึ่ง อันเป็นเกณฑ์ขั้นต่ำตามรัฐธรรมนูญในการลงมติเลือกนายกฯ

ในการโหวตเลือกนายกฯ ต้องได้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของสภา หรือ 247 เสียง จาก สส. ทั้งหมด 492 เสียง

ขณะที่พรรค ปชน. กำ 143 เสียงไว้ในมือ (รวม 1 เสียง สส. “งูเห่า” ที่ไปร่วมงานกับพรรคกล้าธรรมโดยพฤตินัยด้วย)

แม้นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ชิงแถลง “ล็อกเสียง” ของพรรคร่วมรัฐบาลเดิม โดยบอกว่า พรรคร่วมฯ เดิมตกลงจะจับมือกันเป็นรัฐบาลรักษาการต่อเพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง โดยพรรค พท. จะยังคงเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งยังมีแคนดิเดตอยู่อีกหนึ่งคนคือ นายชัยเกษม นิติสิริ

ในวงแถลงข่าวดังกล่าว มี 1 พรรคการเมืองคือ พรรคกล้าธรรม (กธ.) และ 1 กลุ่มการเมืองภายในพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) หายไป ก่อนไปปรากฏตัวร่วมกับนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. และแคนดิเดตนายกฯ ของค่ายน้ำเงิน นอกจากนี้ยังมีแกนนำพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) บางคนร่วมด้วย

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ภูมิธรรม นำทีมพรรคร่วมรัฐบาลเดิมแถลงจับมือกันตั้งรัฐบาลชุดใหม่ เมื่อ 29 ส.ค.

เดิมรัฐบาล “แพทองธาร” เป็นรัฐบาลผสม 11 พรรค มีเสียงในสภารวมกัน 253 เสียง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 140 เสียง, พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง, พรรคกล้าธรรม 25 เสียง, พรรคประชาธิปัตย์ 25 เสียง, พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง, พรรคประชาชาติ 9 เสียง, พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง, พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง, พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง, พรรคประชาธิปไตยใหม่ 1 เสียง, พรรคไทยก้าวหน้า 1 เสียง เมื่อรวมกับ สส. ฝ่ายค้านที่มีพฤติกรรมโหวตสนับสนุนรัฐบาลและถูกเรียกขานว่า “สส. งูเห่า” อีก 6 เสียง (พรรคประชาชน 1 เสียง และพรรคไทยสร้างไทย 5 เสียง) ทำให้รัฐบาลมีเสียงในทางพฤตินัย 259 เสียง

ขณะที่ 5 พรรคร่วมฝ่ายค้านมีทั้งหมด 239 เสียง ประกอบด้วย พรรคประชาชน 143 เสียง, พรรคภูมิใจไทย 69 เสียง, พรรคพลังประชารัฐ 20 เสียง, พรรคไทยสร้างไทย 6 เสียง, พรรคเป็นธรรม 1 เสียง เมื่อหัก สส. งูเห่า 6 เสียง แล้วเหลือ 227 เสียง

ทว่าภาพนักการเมืองจากพรรคร่วมฯ เดิมที่ไปเปิดหน้าประกาศสนับสนุนหัวหน้าพรรค ภท. เป็นนายกฯ ทำให้เสียงของฝั่งพรรค พท. หายไปอย่างน้อย 49 เสียง ประกอบด้วย พรรค กธ. 25 เสียง, พรรค รทสช. 18 เสียง, งูเห่า 6 เสียง ทั้งนี้ยังไม่รวม สส. จากพรรค พท. ที่ประกาศไม่โหวตให้นายชัยเกษมอีกราว 10 เสียงและคาดว่าจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีก

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรค ปชน. คำนวณคณิตศาสตร์การเมืองเอาไว้ว่า เมื่อพรรค ภท. สามารถดึงเอาเสียงจากพรรค กธ. พร้อมงูเห่าได้แล้ว 31 เสียง และกลุ่มนายสุชาติ ชมกลิ่น อีก 18 เสียงมาร่วมด้วย เท่ากับว่าตอนนี้ทางฝั่งพรรค พท. มีเสียงอยู่ = 259-31-18 = 210 เสียง ขณะที่ฝั่งพรรค ภท.มีอยู่ = 69+20+1+1+31+18 = 140 เสียง

“ถ้าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ และพรรค ปชน. ตัดสินใจงดออกเสียง ไม่ขอร่วมตัดสินใจอะไรเลย ยังไงประเทศก็จะไม่มีทางได้นายกฯ ได้ เพราะแม้ว่าฝั่งพรรค พท. จะรวมเสียงได้มากกว่าฝั่งพรรค ภท. ก็ตาม แต่เสียงที่รวมได้ก็ยังไม่ถึง 247 เสียง ซึ่งเป็นเสียงที่เกินกึ่งหนึ่งของเสียงที่มีอยู่ในสภา” นายวิโรจน์ระบุผ่านเฟซบุ๊กเมื่อ 30 ส.ค.

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

อนุทิน พูดคุยกับ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในระหว่างการประชุมสภาก่อนหน้านี้

คำมั่นสัญญาจากคู่แข่งขันเป็นแกนนำรัฐบาล

เมื่อนักการเมืองที่เคยรักทักษิณ-เคยร่วมงานกับ 2 รัฐบาลเพื่อไทย ทยอยเปิดหน้า-เปิดตัวยืนเคียงข้าง อนุทิน จึงได้เวลาที่แกนนำพรรค พท. ต้องยกคณะกันไปขอเสียงข้ามขั้วจากพรรคฝ่ายค้าน

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่นายกฯ นำทีมเข้าพบแกนนำพรรค ปชน. เมื่อ 31 ส.ค. โดยมีแกนนำอีก 3 พรรคร่วมรัฐบาลเดิมคือ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) พรรคประชาชาติ (ปช.) และพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ร่วมด้วย

จากนั้นนายภูมิธรรมเปิดเผยว่า “เรารับข้อเสนอทั้งหมดของพรรคประชาชน.. เรายินดียุบสภาภายใน 4 เดือน”

อย่างไรก็ตามไม่มีการออกแถลงการณ์ยืนยันอย่างเป็นทางการใด ๆ นอกจากคำให้สัมภาษณ์ของนายภูมิธรรม

ก่อนนาทีเผชิญหน้ากันบนโต๊ะเจรจาระหว่างแกนนำเพื่อไทย-ประชาชนจะมาถึง พรรค พท. ประกาศผ่านแฟนเพจเฟซบุ๊กของพรรคว่า ยินดีตอบรับข้อเสนอจากพรรค ปชน. ทุกประการ และมีข้อเสนอเพิ่มเติม ดังนี้

1. รัฐบาลพรรค พท. ที่ตั้งขึ้นจากข้อตกลงนี้ จะยุบสภาภายใน 4 เดือนนับจากวันแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา และหากกระบวนการตามเงื่อนไขบรรลุผลก่อนกำหนดเวลา รัฐบาลจะยุบสภาทันที

2. การทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะตั้งคำถามเรื่องเห็นด้วยกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยใช้รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นร่างหลักหรือไม่ เพื่อกระชับเวลาในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

3. ในการทำประชามติครั้งเดียวกัน จะตั้งคำถามเรื่องการคงไว้หรือยกเลิก MOU 43 และ MOU 44 เพื่อหาข้อยุติและลดความขัดแย้งภายในประเทศ

4. รัฐบาลชุดนี้จะร่วมมือกับพรรค ปชน. และทุกฝ่าย เร่งดำเนินการคดีฮั้ว สว. และคดีที่ดินเขากระโดง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ และอยู่ในความสนใจของประชาชน ตามกฎหมายและหลักนิติธรรมอย่างตรงไปตรงมา

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ภูมิธรรม เวชยชัย ยกคณะแกนนำพรรค พท. และพรรคร่วมฯ บางส่วน ไปหารือกับแกนนำพรรค ปชน. เมื่อ 31 ส.ค. ท่ามกลางการทวงถามจากประชาชนเรื่องการ “ตระบัดสัตย์”

ทว่าความเคลื่อนไหวของพรรค พท. ล่าช้ากว่าพรรค ภท. ไป 2 วัน เพราะทันทีที่นายกฯ คนที่ 31 พ้นไป นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค ภท. ก็นำทีมเข้าพบ นายณัฐพงษ์และคณะ ที่ทำการพรรค ปชน. ทันที

จากนั้นพรรค ภท. ออกแถลงการณ์เมื่อ 29 ส.ค. ว่า พรรค ภท. ได้หารือกับพรรคการเมืองบางพรรคและ สส. จำนวนหนึ่ง เห็นตรงกันว่า “สามารถรับข้อเสนอของพรรคประชาชน เพื่อนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของประเทศและประชาชน จากนั้นจะยุบสภาผู้แทนราษฎร จัดให้มีการเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมืองตามกำหนดเวลาที่พรรคประชาชนเสนอ”

แถลงการณ์ของพรรค ภท. ยังระบุถึงนโยบายและภารกิจหลักของรัฐบาลใหม่ไว้ 3 ประการ ได้แก่

1. การแก้ปัญหาความมั่นคง กรณีพิพาทไทย-กัมพูชา

2. การจัดทำประชามติการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) โดยเร็ว

3. การยุบสภาผู้แทนราษฎร คืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจทางการเมืองภายในเวลา 4 เดือนนับจากรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภาเสร็จสิ้น

สำหรับคำสำคัญของพรรค ปชน. ที่ “หายไป” จากแถลงการณ์ของ ภท. คือ สสร. “ที่มาจากการเลือกตั้ง” และการทำประชามติเรื่องรัฐธรรมนูญ “ต้องไม่เกินไปกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สส.”

ส่วนข้อเสนอของพรรค พท. ที่ “งอกขึ้นมา” จากจุดยืนของพรรค ปชน. ในส่วนของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรค พท. ให้หยิบเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาเป็นร่างหลัก ทั้งที่พรรค ปชน. เสนอให้ สสร. เป็นผู้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นอกจากนี้พรรค พท. ยังขอทำประชามติโดยพ่วงเรื่องบันทึกความเข้าใจไทย-กัมพูชา หรือ MOU 43 และ MOU 44 เข้าไปด้วย และเร่งดำเนินการกับ 2 คดีที่แกนนำพรรค ภท. ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาและเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง

นี่คือการตอบรับด้วยเงื่อนไขที่แตกต่างกันของ 2 พรรคคู่แข่งขันที่เสนอตัวเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่

อย่างไรก็ตามพรรค ปชน. ระบุว่า เป็นจุดยืนของแต่ละพรรคที่แสดงออกมา แต่ไม่ได้อยู่ในบทสนทนาที่มาพูดคุยกับพรรค ปชน. ซึ่งในการเจรจายึด 3 เงื่อนไขของพรรค ปชน. เท่านั้น

เหตุผลในการเลือกพรรคแดง หรือ พรรคน้ำเงิน

แม้ทั้ง 2 พรรคต่างประกาศรับเงื่อนไขของพรรค ปชน. แต่พรรคสีส้มอาจต้องเลือกโหวตให้พรรคใดพรรคหนึ่ง แล้วพวกเขาจะตัดสินใจจากเงื่อนไขอะไร

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรค ปชน. กล่าวยอมรับว่า ไม่ว่าจะเป็นพรรค พท. หรือพรรค ภท. ล้วนอยู่บนฐานความไม่ไว้วางใจทั้งคู่ พรรค ปชน. จึงพิจารณาที่ “ความเข้าใจ” ต่อเงื่อนไข 3 ข้อของพรรค ปชน. และ “กลไกในการควบคุมการรักษาสัญญา” มากกว่า

.ขอสรุปสาระสำคัญจากคำให้สัมภาษณ์ของโฆษกพรรค ปชน. ในรายการ “เจาะลึกทั่วไทยอินไซด์ไทยแลนด์” ทางช่อง MCOT ดังนี้

ความเข้าใจ

  • พรรค ภท. บอกว่ารับเงื่อนไข แต่ไม่ได้ระบุว่า สสร. มาจากการเลือกตั้ง
  • พรรค พท. บอกว่าต้องการจัดทำประชามติสอบถามประชาชนว่าจะเอารัฐธรรมนูญ 2540 มาแทนรัฐธรรมนูญ 2560 หรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้ไม่ตรงกับพรรค ปชน. ที่ต้องการให้มี สสร. ไปจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

การควบคุมการรักษาสัญญา

พรรค ปชน. จะพิจารณาจากปัจจัยต่าง ๆ ว่า

  • รัฐบาลเสียงข้างน้อยที่จะเกิดขึ้น มีโอกาสจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากหลังจากนี้หรือไม่
  • จะมั่นใจได้อย่างไรว่ากลไกการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรค ปชน. จะทำให้มีการรักษาสัญญาได้

ที่มาของภาพ : กองโฆษก พรรคประชาชน

ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค กับ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ในระหว่างการประชุมพรรค ปชน. เมื่อ 1 ก.ย.

ในระหว่างแถลงข่าวที่พรรค ปชน. นายพริษฐ์กล่าวย้ำว่า ความจริงใจเป็นสิ่งที่ สส. และประชาชนหลายคนใช้ในการประเมิน ส่วนการออกแบบกลไกให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยรักษาสัญญา ในฐานะแกนนำฝ่ายค้านสามารถใช้การอภิปรายไม่ไว้วางใจล้มรัฐบาลที่เบี้ยวได้

“ถ้าจะประเมินความไว้เนื้อเชื่อใจ ขอพูดตรง ๆ ไม่ไว้ใจทั้งคู่ แต่ว่าก็ต้องประเมินความเสี่ยงว่าจากสาระและท่าทีที่ได้เห็น ที่วัดด้วยหลักฐาน อันไหนมีความเสี่ยงน้อยกว่า” นายพริษฐ์กล่าว

เขาย้ำด้วยว่า การตัดสินใจของพรรค ปชน. จะตัดสินใจด้วยเหตุและผล ไม่ได้เอาความแค้น เอาอารมณ์ตัดสิน แน่นอนบางคนอาจจะรู้สึกเกี่ยวกับกรณีที่พรรค พท. ฉีก MOU ไปจัดตั้งรัฐบาลเอง และหลายคนอาจรู้สึกกรณีที่พรรค ภท. อภิปรายเกี่ยวกับพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ตอนโหวตนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ แต่พรรคไม่ได้เอาความรู้สึกเป็นตัวตั้ง

อย่างไรก็ตามสิ่งที่พรรค ก.ก. และพรรค ปชน. ถูกกระทำมา นายพริษฐ์บอกว่า “ไม่เคยลืมอยู่แล้ว แต่ไม่ได้นำอารมณ์มาเป็นตัวตัดสิน” และย้ำว่าพรรค ปชน. ตระหนักดีว่ามาอยู่จุดนี้ได้เพราะประชาชน 14 ล้านคน ดังนั้นให้สัญญาว่าจะไม่นำความไว้วางใจตรงนั้นไปทำอะไรที่ขัดหลักการ หรือผิดคำพูด หรือไม่ได้ทำประโยชน์สูงสุดของประเทศ

ไม่เลือกใครเลยได้ไหม

นายพริษฐ์ สส.บัญชีรายชื่อ ยังวิเคราะห์ด้วยว่า หากพรรค ปชน. งดออกเสียง อยู่เฉย ๆ ก็มองถึงความน่ากังวล 2 ประการคือ

ความน่ากังวลแรก ปัจจุบันทั้งแดงและน้ำเงินไม่สามารถรวบรวมเสียงได้เกินกึ่งหนึ่ง แดงกับน้ำเงินอาจไหลกลับไปรวมกันจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างมาก และมีแนวโน้มที่จะอยู่ครบวาระไปอีกเกือบ 2 ปี ซึ่งนอกจากจะไม่มีนโยบายแก้ปัญหาของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพแบบในช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ อาจมีการใช้คดีความเป็นเครื่องมือต่อรองกันต่อไป

ความน่ากังวลที่สอง ถ้าแดงกับน้ำเงินไปรวมกันไม่ได้ มีความสุ่มเสี่ยงจากการมีนายกฯ จากอดีตหัวหน้าคณะรัฐประหาร หรือนายกฯ คนนอก ที่ไม่ส่งผลดีต่อระบบการเมืองไทย

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

พริษฐ์ วัชรสินธุ กล่าวว่า “สิ่งที่เราต้องการป้องกันคือสถานการณ์ที่แดงกับน้ำเงินจะกลับไปรวมกัน ซึ่งจะทำให้ประเทศเสียหาย”

ยุบสภา

โฆษกพรรค ปชน. กล่าวย้ำจุดยืนเดิมว่า สิ่งที่ตอบโจทย์ประเทศคือการเลือกตั้งใหม่โดยเร็ว ซึ่งพรรค ปชน. เรียกร้องให้มีการยุบสภาตั้งแต่วันที่มีคลิปเสียงหลุดออกมา แต่ที่ผ่านมาผู้มีอำนาจไม่ตอบสนอง ดังนั้นหากรักษาการนายกฯ ที่มีอำนาจในการยุบสภาในวันนี้จะดำเนินการยุบสภา ก็จะสอดคล้องกับจุดยืนของพรรค ก็ยินดี และพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง

ส่วนการที่พรรค พท. ขู่ยุบสภา ถือเป็นการโยนความรับผิดชอบให้พรรค ปชน. ว่าเป็นคนที่ทำให้ไม่สามารถตั้งรัฐบาลใหม่ได้หรือไม่นั้น นายพริษฐ์กล่าวว่า ประชาชนมีสิทธิจะตั้งคำถามลักษณะแบบนั้น ส่วนตัวมีหน้าที่มายืนยันข้อเท็จจริงว่า “ถ้าพรรค พท. ต้องการยุบสภา ไม่ต้องรอให้เราตัดสินใจ สามารถดำเนินการยุบสภาได้”

นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค พท. ให้สัมภาษณ์รายการ “เปิดโต๊ะข่าว” ของสถานีโทรทัศน์ PPTV โดยระบุว่า ถ้าดีลเป็นรัฐบาลไม่ได้ก็มีโอกาสที่จะยุบสภา

“ถ้าดีลกับพรรคประชาชนไม่สำเร็จ ก็อาจจะยุบสภา ซึ่งเราเชื่อว่าทำได้ เพราะตอนนี้ไม่เหมือนตอนที่คุณแพทองธารหยุดปฏิบัติหน้าที่ ตอนนั้นยังมีนายกฯ ตัวจริง แต่ตอนนี้ไม่มีแล้ว คุณภูมิธรรมมีหน้าที่เสนอทูลเกล้าฯ ยุบสภาได้” นายสรวงศ์กล่าวเมื่อ 1 ก.ย.

ด้านนายอนุทินตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงคำกล่าวของแกนนำพรรค พท. โดยกล่าวว่า สิทธิการยุบสภาก็เป็นสิทธิตามกฎหมายอยู่แล้ว

ขณะเดียวกันบรรดา สส. พรรคสีส้ม อาทิ นายชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง และ น.ส.รัชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพมหานคร ปฏิเสธกระแสข่าวพรรค ปชน. จะโหวตสนับสนุนพรรค ภท. เพื่อแลกกับ “ดีลคดี 44 สส.ก้าวไกลเดิม” ถูกสอบจริยธรรมในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. )

น.ส.รัชชนกกล่าวว่า “ไม่มีอะไรแบบนั้น ยืนยันว่าเรามีเงื่อนไขแค่ 3 ข้อ อะไรที่เป็นข้อตกลง เราทำเป็นสาธารณะ”

เช่นเดียวกับนายชุติพงศ์ที่บอกว่าไม่ได้มีการคุยเรื่องนี้เลย คุยแค่เรื่องฉากทัศน์ของประเทศไทยว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร