
สรุปคำสั่งศาลฎีกา “คดีชั้น 14” 2 ข้อกฎหมาย 3 ข้อเท็จจริง ที่ทำให้ ทักษิณ ต้องกลับเข้าเรือนจำ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
Article Recordsdata
-
- Creator, หทัยกาญจน์ ตรีสุวรรณ
- Purpose, ผู้สื่อข่าว.
เช้าวันนี้ (9 ก.ย.) ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางออกจากบ้านจันทร์ส่องหล้า ถ.จรัญสนิทวงศ์ มุ่งหน้ามายังศาลฎีกา สนามหลวง โดยไม่มีใครรู้ว่าเขาจะไม่มีโอกาสกลับเข้าบ้านอีกถึง 1 ปี
บ้านจันทร์ส่องหล้า คือสถานที่แรกที่ ทักษิณ ไปใช้ชีวิตภายหลังได้รับการ “พักโทษเป็นกรณีพิเศษ” เมื่อ 18 ก.พ. 2567 เขาใช้บ้านหลังนี้รับแขก-เจรจาความการเมือง และเป็นสถานที่สุดท้ายที่เขาอยู่ก่อนต้องกลับเข้าเรือนจำ ตามคำสั่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) ให้บังคับโทษจำคุก ทักษิณ เป็นเวลา 1 ปี
อดีตนายกฯ คนที่ 23 ซึ่งถูกยกให้เป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมืองสูงสุดในช่วงทศวรรษ 2540-2560 เดินทางถึงศาลฎีกาในเวลา 09.25 น. โดยมี อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯ คนที่ 31 และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) บุตรสาวคนเล็ก นั่งร่วมรถยนต์คันเดียวกัน นอกจากนี้ยังมี เอม-พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ บุตรสาวคนรอง และบุตรเขยอีก 2 คนคือ ปิฎก สุขสวัสดิ์ สามีอุ๊งอิ๊ง และ ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ สามีพินทองทา ร่วมขบวนรถมาในจังหวะไล่เลี่ยกัน
เวลา 09.29 น. ทักษิณ ปรากฏตัวในห้องพิจารณาคดี 1 ก่อนถึงเวลานัดหมายของศาลถึง 30 นาที
เขายิ้มทักทายผู้สื่อข่าว-รับไหว้ผู้คนที่นั่งอยู่ในโถงศาล ก่อนเข้าไปนั่งประจำการที่แถวหน้าสุด ซึ่งเป็นที่นั่งของฝ่ายจำเลย มี วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ประกบอยู่ด้านขวา
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด
ส่วนที่แถวสอง มี ปิฎก, แพทองธาร, พินทองทา, ณัฐพงศ์ นั่งเรียงกันจากซ้ายไปขวา โดย 2 พี่น้อง อุ๊งอิ๊ง-เอม ได้จับมือกัน ราวกับต้องการส่งกำลังใจให้กันและกัน
อีก 10 นาทีต่อมา สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ คนที่ 26 และน้องเขย ทักษิณ ตามมาสมทบ จึงได้รับเชิญจากทีมทนายความให้ไปนั่งแถวหน้าใกล้ ๆ กับพี่เขย
ในระหว่างรอเวลา ทักษิณ กวาดสายตามองไปยังบัลลังก์ เหลือบดูนาฬิกาของศาล พูดคุยกับทนายและครอบครัวเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะลุกไปเข้าห้องน้ำภายนอก โดยมีบุตรเขยและทนายความตามไปเป็นเพื่อน
“สบายมาก” ทักษิณ กล่าวกับผู้สื่อข่าวขณะเดินผ่านกองทัพสื่อมวลชนที่นั่งอยู่ด้านหลัง โดยก่อนนี้ เขาหันมายกนิ้วโป้งให้แก่ผู้สื่อข่าวที่คุ้นเคย ทั้งนี้มีผู้สื่อข่าวถึง 56 คนขออนุญาตเข้าฟังคำตัดสินภายในห้องพิจารณาคดี
ขณะที่ฝ่ายโจทก์คือ อัยการสูงสุด (อสส.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช. ) มาศาลโดยพร้อมเพรียง
เช่นเดียวกับผู้สังเกตการณ์ที่ถูกมองว่าเป็น “ขาประจำ” ฝ่ายต่อต้านทักษิณที่ยกคณะกันมา 10 คน นำโดย ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์ และ “2 หมอ” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม และ นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์
เวลา 09.57 น. องค์คณะทั้ง 5 คนขึ้นบัลลังก์ และใช้เวลา 1 ชม. เต็มในการอ่านคำสั่ง “คดีชั้น 14” โดยมีผู้พิพากษา 2 คนเป็นผู้อ่านคำสั่งที่เปลี่ยนชีวิตของชายวัย 76 ปีอย่างฉับพลัน
มานพ ชมชื่น ผบ.เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ที่ศาลเรียกมาฟังคำสั่ง นั่งรถอยู่ในห้องพิจารณา พร้อมเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ซึ่งเป็น “ผู้คุม” แล้ว

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
หลังเสร็จสิ้นกระบวนการ องค์คณะเดินออกจากห้องพิจารณาคดี แพทองธาร คือคนแรกที่ลุกจากที่นั่งแถวหลัง เดินไปพูดคุยกับบิดาซึ่งนั่งจมอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิม ก่อนที่สมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ จะเข้าไปสมทบ
ภาพสุดท้ายที่.เห็นก่อนออกจากห้องพิจารณาคดีคือ ทักษิณ กำลังถอดเสื้อสูทสีดำและเนคไทสีเหลืองที่สวมใส่มา จากนั้นมีเสียงตะโกนจากทนายความของอดีตนายกฯ ว่า “ขอให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องออกไปเลยนะครับ”
สำหรับ “คดีชั้น 14” ถือเป็น “คดีประวัติศาสตร์” ทั้งในมุมฝ่ายจำเลย โจทก์ อดีตนักการเมืองผู้ยื่นคำร้อง ข้าราชการศาลยุติธรรม นักวิชาการด้านกฎหมาย ประชาชน และสื่อมวลชนที่เกาะติดกระบวนการไต่สวนทั้ง 7 นัด มีพยานขึ้นเบิกความ 31 ปาก ก่อนจะมีบทสรุปในวันนี้
“วันนี้เป็นประวัติศาสตร์อีกเรื่องหนึ่งที่มีนายกฯ คนแรกที่จะต้องจำคุก” แพทองธาร แถลงตอนหนึ่งภายหลังฟังคำสั่งศาล อม.
ขณะที่เจ้าหน้าที่ของศาลที่.มีโอกาสพูดคุยด้วย ระบุในทำนองเดียวกันว่า คดีนี้เป็นคดีประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง การตรวจสอบการบังคับโทษตามคำพิพากษาไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับจากก่อตั้งศาลยุติธรรมมา 143 ปี
คำสั่งศาลฉบับเต็มใน “คดีประวัติศาสตร์”
ศาล อม. อ่านคำสั่งคดีหมายเลขดำที่ บค 1/2568 กรณีมีคำสั่งให้ไต่สวนว่าการบังคับโทษ ทักษิณ ชินวัตร จำเลย เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลนี้หรือไม่ หรือที่ถูกเรียกว่า “คดีชั้น 14”
ทักษิณ เป็นจำเลยใน 3 คดีทุจริต รวมระยะเวลารับโทษตามคำพิพากษา 8 ปี ตามหมายขังเมื่อ 22 ส.ค. 2566 ประกอบด้วย
- คดีสั่งการให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอกซิมแบงก์) อนุมัติปล่อยเงินกู้ 4,000 ล้านบาทให้แก่เมียนมา เอื้อประโยชน์แก่ บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น ศาลฎีกาฯ พิพากษาเมื่อ 23 เม.ย. 2562 ให้จำคุก 3 ปี
- คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษแบบเลขท้าย 3 ตัว 2 ตัว หรือที่เรียกกันว่า “คดีหวยบนดิน” ศาลฎีกาฯ พิพากษาเมื่อ 6 มิ.ย. 2562 ให้จำคุก 2 ปี *(2 คดีแรก ศาลให้นับโทษซ้อนกัน รวมกำหนดโทษจำคุก 3 ปี)
- คดีให้นอมินีถือหุ้น บมจ.ชินคอร์ปอเรชั่น และเข้าไปมีส่วนได้เสียเพื่อประโยชน์สำหรับตนเองหรือผู้อื่นในกิจการโทรคมนาคม ศาลฎีกาฯ พิพากษาเมื่อ 30 ก.ค. 2563 ให้จำคุก 5 ปี
ต่อมา นักโทษเด็ดขาดชาย (น.ช.) ทักษิณ ได้ยื่นทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา และได้รับการพระราชทานอภัยลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี ตามพระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงวันที่ 31 ส.ค. 2566
ในการไต่สวนคดีนี้ ศาลตั้งประเด็นวินิจฉัยในข้อกฎหมาย 2 ข้อ และข้อเท็จจริง ซึ่ง.สามารถสรุปเป็นเหตุการณ์ย่อย ๆ ได้ 3 เหตุการณ์ มีรายละเอียด ดังนี้

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ข้อกฎหมาย
ประเด็นที่ 1 ศาลมีอำนาจไต่สวนการบังคับโทษของจำเลยหรือไม่ ?
ศาลเห็นว่า การไต่สวนเพื่อตรวจสอบว่าได้มีการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่ มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายรับรองไว้
ในข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2562 ข้อ 61 วรรคสอง แม้ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และอธิบดีกรมราชทัณฑ์ จะมีอำนาจตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563
“แต่การนำตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำนั้นต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริงที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำด้วย มิใช่ว่าเมื่อเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หรือกรมราชทัณฑ์ ใช้อำนาจตามกฎหมายที่บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะ แล้วจะไม่อยู่ภายใต้การตรวจสอบความถูกต้องชอบด้วยกฎหมายโดยศาล”
ดังนั้น หากความปรากฏแก่ศาลว่าอาจมีการบังคับโทษผู้ต้องขังในคดีนี้ไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ศาล อม. ซึ่งเป็นศาลที่มีคำพิพากษาและออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ย่อมมีอำนาจไต่สวนและตรวจสอบว่า
- การที่ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ และอธิบดีกรมราชทัณฑ์อนุญาตให้จำเลยรักษาตัวอยู่ภายนอกเรือนจำต่อเนื่องจนได้รับการปล่อยตัว เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องหรือไม่
- เป็นการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 89 หรือไม่
ประเด็นที่ 2 การไต่สวนของศาลเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งของศาลที่ให้ยกคำร้องเมื่อ 19 ธ.ค. 2566 และ 15 ก.พ. 2567 หรือไม่ ?
ศาลเห็นว่า ที่มาของประเด็นที่ศาลนี้ได้วินิจฉัย ตามที่นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส. พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นคำร้องมาก่อนหน้านี้ทั้ง 2 ฉบับ ก่อให้เกิดประเด็นแห่งคดีตามคำร้องฉบับแรกที่ยื่นเมื่อ 19 ธ.ค. 2566 เจ้าหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ปฏิบัติหน้าที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ซึ่งศาลระบุว่า “ไม่อยู่ในอำนาจของศาล อม.” จึงยกคำร้อง
และเกิดประเด็นแห่งคดีตามคำร้องฉบับที่สองที่ยื่นเมื่อ 15 ก.พ. 2567 ว่า กรณีตามคำร้องที่ยื่นมีการทุเลาการบังคับโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 246 หรือไม่ ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าไม่มีการทุเลาการบังคับโทษ จึงไม่เข้าเกณฑ์ตาม ป.วิอาญา สั่งยกคำร้อง
ส่วนที่มาแห่งประเด็นแห่งคดีของการไต่สวนครั้งนี้ กำหนดประเด็นการไต่สวนตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏต่อศาล ซึ่งแสดงให้เห็นว่ากรณีอาจมีการบังคับโทษไม่เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาล ซึ่งยังไม่เคยมีคำวินิจฉัยชี้ขาดในประเด็นนี้มาก่อน ทั้งการไต่สวนของศาลก็ไม่ได้อาศัยเนื้อหาตามคำร้องของนายชาญชัยแต่อย่างใด
การดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนของศาลในชั้นนี้ จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคำสั่งศาลตามคำร้องทั้ง 2 ฉบับ

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ข้อเท็จจริง
ศาลมุ่งแสวงหาข้อเท็จจริงว่ามีการบังคับโทษจำเลยเป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดหรือไม่
ในระหว่างอ่านคำสั่ง ศาลได้ลำดับข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นตลอด 6 เดือน เริ่มตั้งแต่วันที่นายทักษิณเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จนถึงวันออกจาก รพ.ตำรวจ (22 ส.ค. 2566-18 ก.พ. 2567) ซึ่ง.ขอสรุปเอาไว้ ดังนี้
ข้อเท็จจริงที่ 1 การส่งตัวออกนอกเรือนจำชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ?
22 ส.ค. 2566 หลังจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้รับตัวจำเลยไว้ตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ได้นำตัวจำเลยไปคุมขังไว้ที่ห้องกักโรค แดน 7 ซึ่งเป็นสถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยมี พญ.รวมทิพย์ สุภานันท์ แพทย์ประจำทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ เป็นผู้ตรวจร่างกายจำเลยขณะรับตัว และสรุปประวัติการรักษาโรคของจำเลยจากเวชระเบียนของ รพ.ต่างประเทศรวม 10 โรค อาการโดยรวมทั้งหมดคงที่ มีเพียง 3 โรค ที่แพทย์ รพ.ราชทัณฑ์ เห็นว่าจำเลยควรได้รับการตรวจเพิ่มเติม ได้แก่ โรคกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท และโรคหัวใจ เนื่องจาก รพ.ราชทัณฑ์ ไม่มีแพทย์เฉพาะทาง และโรคไวรัสตับอักเสบบี เนื่องจาก รพ.ราชทัณฑ์ ไม่มีคลินิกโรคตับ จึงมีความเห็นว่า “จำเป็นต้องส่งตัวไปรักษาที่ รพ. ภายนอกเรือนจำ ซึ่งมีศักยภาพสูงกว่าในวันและเวลาราชการ แต่อยู่ในภาวะที่ไม่ใช่กรณีฉุกเฉิน”
สอดคล้องกับความเห็นของ ศ.เกียรติคุณ นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากแพทยสภา ที่ระบุว่า โรคที่ 1-7 ที่ปรากฏในเวชระเบียนเป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งรักษาได้ด้วยการทานยาประจำ ไม่จำเป็นต้องนอน รพ. และมี 3 โรคที่แม้ลงไว้ในเวชระเบียน แต่เป็นโรคที่รักษาหายแล้ว
แต่ข้อเท็จจริงได้ความจากนายธัญพิสิษฐ์ ขบวน พยาบาลเวรเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ว่า ในคืนวันที่ 22 ส.ค. 2566 เวา 22.00 น. จำเลยแจ้งว่ามีอาการอ่อนเพลีย ขาขวาอ่อนแรงเล็กน้อย นอนไม่หลับ บ่นแน่นหน้าอก และมีความดันโลหิตสูง วัดความดันโลหิตจำเลยได้ 178/98 มิลลิเมตรปรอท หัวใจเต้น 86 ครั้ง/นาที หายใจ 24 ครั้ง/นาที ออกซิเจนปลายนิ้ว 92% อุณหภูมิร่างกาย 36.8 องศาเซลเซียส
พยาบาลเวรจึงโทรปรึกษาและแจ้งอาการของจำเลยให้ นพ.นทพร ปิยะสิน แพทย์เวรประจำทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ ทราบ ได้รับคำแนะนำให้ส่งตัวไปรักษาภายนอก จากนั้นได้ติดต่อ พญ.รวมทิพย์ เพื่อขอใช้ใบส่งตัว และทำบันทึกข้อความขอส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ โดยนายสัญญา วงค์หินกอง พัศดีเวรอนุญาตให้ส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำ
หลังจากนั้นเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่งตัวจำเลยไป รพ.ตำรวจ โดยไม่ได้ส่งตัวจำเลยไปที่ รพ.ราชทัณฑ์ ซึ่งมีแพทย์เวรประจำอยู่ในคืนดังกล่าว และ รพ.ราชทัณฑ์อยู่ห่างจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เพียง 200 เมตร
ตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 และกฎกระทรวงดังกล่าว มีสาระสำคัญของการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่จะต้องปฏิบัติเป็นลำดับขั้นตอน ดังนี้
- เมื่อผู้ต้องขังป่วย ต้องได้รับการตรวจจากแพทย์ในสถานพยาบาลของเรือนจำโดยเร็วตามมาตรา 55 วรรคหนึ่ง ประกอบกฎกระทรวงดังกล่าวข้อ 2 วรรคหนึ่ง
- หากแพทย์เห็นว่า ผู้ต้องขังรักษาตัวในสถานพยาบาลของเรือนจำแล้วจะไม่ทุเลาดีขึ้น และแพทย์ พยาบาล หรือเจ้าพนักงานเรือนจำซึ่งผ่านการอบรมด้านการพยาบาล เสนอให้เจ้าพนักงานเรือนจำพาผู้ต้องขังไปรักษานอกเรือนจำ จึงให้ส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำได้
“การส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวนอกเรือนจำไม่ชอบด้วย พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 55 และกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563” ผู้พิพากษาในองค์คณะไต่สวนของศาลฎีกาฯ ระบุตอนหนึ่ง

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ข้อเท็จจริงที่ 2 การส่งตัวออก-รักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ เพราะ “อาการฉุกเฉิน” จริงหรือไม่ ?
การส่งตัวจำเลยออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำแบบ “ฉุกเฉิน” เนื่องจากจำเลยมีอาการแน่นหน้าอก แต่ข้อเท็จจริงได้ความจาก นายจารุวัฒน์ เมืองไทย และนายธีระศักดิ์ คงหอม เจ้าพนักงานเรือนจำชุดควบคุมว่า เมื่อส่งตัวจำเลยไปถึง รพ.ตำรวจ ได้พาจำเลยไปที่ห้องพักพิเศษ ชั้นที่ 14 ของอาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา (มภร.) ซึ่งไม่ใช่ห้องฉุกเฉินหรือห้องอุบัติเหตุ
ขณะที่ พล.ต.ท. นพ.โสภณรัชต์ สิงหจารุ แพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ และ พันตำรวจเอก นพ.ชนะ จงโชคดี แพทย์ รพ.ตำรวจ ก็ไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้ส่งจำเลยไปที่ชั้น 14 ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติและผิดวิสัยอย่างยิ่ง เพราะคนหนึ่งเป็นนายแพทย์ใหญ่และอีกคนเป็นแพทย์เจ้าของไข้
การส่งตัวจำเลยไปรักษาที่ห้องพิเศษ ชั้นที่ 14 จึงไม่สอดคล้องกับการอ้างเหตุฉุกเฉิน และขัดกับระเบียบโรงพยาบาลตำรวจว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตำรวจ พ.ศ. 2557 “แสดงให้เห็นว่า รพ.ตำรวจ ต้องเตรียมห้องเอาไว้ก่อนแล้ว”
สำหรับระเบียบโรงพยาบาลตำรวจฯ ที่เกี่ยวข้องมี 2 ข้อ
- ข้อ 53 กำหนดแนวทางการตรวจรักษาในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินไว้ว่า ในกรณีนอกเวลาราชการ แพทย์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินและอุบัติเหตุจะเป็นผู้ให้การตรวจรักษา
- ข้อ 6.2 กำหนดแนวทางการรับตัวผู้ป่วยคดีไว้ในห้องผู้ป่วยที่ รพ.ตำรวจ จัดไว้สำหรับผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขังหรือนักโทษ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) จะพิจารณาอนุญาตเป็นอย่างอื่น
ประกอบกับได้ความจาก ศ.เกียรติคุณ นพ.ประสิทธิ์ และ ศ. นพ.ไชยรัตน์ เพิ่มพิกุล กรรมการแพทยสภา และประธานราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย ที่ให้ความเห็นเกี่ยวกับการรักษาจำเลยในคืนที่รับตัวสรุปได้ว่า เมื่อพยานทั้งสองตรวจสอบจากเวชระเบียนบันทึกความคืบหน้าการรักษา พบว่า ในวันที่ 23 ส.ค. 2566 ที่มีการส่งตัวจำเลยมาที่ รพ.ตำรวจ โดยอ้างว่าเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น ไม่มีการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ซึ่งต้องทำใน 10 นาที และไม่มีการตามแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจมาดูอาการในทันที เพิ่งจะมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจเข้ามาตรวจจำเลยในวันที่ 24 ส.ค. 2566 หรือหลังจาก 24 ชม. ไปแล้ว
ส่วนการรักษาของ พันตำรวจเอก นพ.ชนะ ไม่มีการรักษาอาการโรคหัวใจ แต่ได้จ่ายยาลดความดันโลหิตและยาพ่นขยายหลอดลมซึ่งช่วยเรื่องปอด การที่ พันตำรวจเอก นพ.ชนะ ไม่จ่ายยาโรคหัวใจถือว่าผิดปกติอย่างยิ่ง การรักษาของ รพ.ตำรวจ จึงไม่ใช่การรักษาอาการฉุกเฉิน
ศาลได้ความจาก นพ.วัฒน์ชัย มิ่งบรรเจิดสุข ผู้อำนวยการทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์ในขณะนั้น และ นพ.พงศ์ภัค อารียาภินันท์ ซึ่งเป็นแพทย์เชี่ยวชาญเกี่ยวกับโรคหัวใจ รพ.ราชทัณฑ์ สรุปได้ว่า ที่ รพ.ราชทัณฑ์ มีเครื่องมือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มียาขยายหลอดลมและยาลดความดันโลหิตที่ใช้รักษาจำเลยตามเวชระเบียนของ รพ.ตำรวจ ในวันที่ 23 ส.ค. 2666 แสดงให้เห็นได้ว่า อาการของจำเลยในคืนเกิดเหตุอยู่ในศักยภาพที่ รพ. ราชทัณฑ์ สามารถรักษาได้ ไม่จำต้องส่งตัวจำเลยไปรักษานอกเรือนจำ
“เชื่อได้ว่า ในคืนวันที่ 22 ส.ค. 2566 จำเลยไม่ได้มีอาการแน่นหน้าอก แต่อ้างว่ามีอาการแน่นหน้าอก เพื่อให้เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ใช้เหตุดังกล่าวเป็นข้ออ้างในการส่งตัวจำเลยไปรักษาตัวที่ รพ.ตำรวจ” ผู้พิพากษาในองค์คณะไต่สวนของศาลฎีกาฯ กล่าว
นอกจากนี้ยังได้ความจาก นพ.วัฒน์ชัย และ นพ.พงศ์ภัค อีกว่า อาการของจำเลยตามที่ระบุในเวชระเบียนของ รพ.ตำรวจ นับแต่วันที่ 24 ส.ค. 2566 เป็นต้นไปนั้น รพ.ราชทัณฑ์ สามารถดูแลจำเลยได้ ซึ่งข้อเท็จจริงในส่วนนี้ พันตำรวจเอก นพ.ชนะ ซึ่งเป็นแพทย์เจ้าของไข้ ก็เบิกความยืนยันว่า อาการของจำเลยตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2566 จำเลยสามารถกลับไปรักษาตัวที่ รพ.ราชทัณฑ์ ได้
“จึงเห็นได้ว่า อาการแน่นหน้าอกของจำเลยหากเกิดขึ้นจริงดังที่จำเลยอ้าง อาการของจำเลยก็ทุเลาดีขึ้น และจำเลยก็สามารถกลับไปรักษาตัวที่สถานพยาบาลของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ หรือ รพ.ราชทัณฑ์ ได้ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2566 เป็นต้นไป”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ข้อเท็จจริงที่ 3 การรักษาอาการที่ รพ.ตำรวจ ควรเป็นเหตุให้ไม่ต้องกลับเรือนจำจริงหรือ ?
การรักษาจำเลยที่ รพ.ตำรวจ ตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2566 จนถึงวันที่จำเลยออกจาก รพ.ตำรวจ เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 2567 นั้น แพทย์ รพ.ตำรวจ ออกใบแสดงความเห็นแพทย์ให้เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ใช้ใบรับรองแพทย์เป็นหลักฐานประกอบบันทึกข้อความถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ขออนุญาตให้จำเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนด
- กรณีพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า 30 วัน พล.ต.ท. นพ.ทวีศิลป์ ออกใบแสดงความเห็นแพทย์ฉบับลงวันที่ 15 ก.ย. 2566 โดยระบุอาการที่ต้องรักษาคือนิ้วล็อก แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องอยู่ที่ รพ.
- กรณีพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า 60 วัน พล.ต.ท. นพ.ทวีศิลป์ ออกใบแสดงความเห็นแพทย์ฉบับลงวันที่ 18 ต.ค. 2566 โดยระบุอาการที่ต้องรักษาคือผ่าตัดเอ็นไหล่ขวาฉีก แต่ไม่ใช่เหตุอ้างรักษาตัวนอกเรือนจำ
- กรณีพักรักษาตัวนอกเรือนจำต่อไปเกินกว่า 120 วัน พันตำรวจเอก นพ.ชนะ และ พล.ต.ต. นพ.สามารถ ม่วงศิริ ออกใบแสดงความเห็นแพทย์ฉบับลงวันที่ 21 ธ.ค. 2566 โดยอ้างเหตุต้องเตรียมการรักษาอาการสมองขาดเลืoด และผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม
อย่างไรก็ตาม นายนัสที ทองประหลาด ผู้บัญชาการเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้นำใบแสดงความเห็นแพทย์ทั้ง 4 ฉบับ (กรณี 120 วัน มีแพทย์ออก 2 ใบ) ไปทำบันทึกถึงอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาให้จำเลยพักรักษาตัวนอกเรือนจำเกิน 30 วัน 60 วัน และ 120 วัน โดยอ้างเหตุต้องรักษาแผลผ่าตัด ต้องรับการผ่าตัดเร่งด่วน ต้องรักษาสมองขาดเลืoด และผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม ตามลำดับ ทั้งที่การผ่าตัดตามที่ระบุในใบแสดงความเห็นแพทย์เป็นการผ่าตัดนิ้วล็อก ผ่าตัดเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งฉีกขาดเพราะจำเลยประสบอุบัติเหตุขณะพักอยู่ที่ รพ.ตำรวจ และมิใช่สาเหตุการป่วยอันเป็นเหตุที่อ้างใช้ส่งตัวจำเลยมาที่ รพ.ตำรวจ
ส่วนการผ่าตัดภาวะกระดูกคอเสื่อม แพทย์เคยเสนอจำเลยให้ผ่าตัดภายหลังจากจำเลยอยู่ รพ.ตำรวจ แต่จำเลยปฏิเสธการผ่าตัด ทั้งได้ความว่าในที่สุดก็ไม่มีการผ่าตัดกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาทของจำเลยแต่อย่างใด จนกระทั่งจำเลยออกจาก รพ.ตำรวจ
บทสรุปแห่งคดี

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ศาลระบุว่า ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การบังคับโทษจำคุกจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และตามพฤติการณ์ดังกล่าวมาข้างต้น บ่งชี้ให้เห็นว่า จำเลยทราบข้อเท็จจริงหรือรับรู้เหตุการณ์ได้ว่าตนไม่ได้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน แต่จำเลยมีเพียงโรคประจำตัวซึ่งเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาตัวแบบผู้ป่วยนอกได้ โดยไม่จำเป็นต้องนอนรักษาตัวอยู่ที่ รพ.ตำรวจ เพราะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพและสภาวะร่างกายของจำเลยเอง
นอกจากนั้นยังได้ความว่า จำเลยเข้ามามีส่วนตัดสินใจในกระบวนการรักษาของแพทย์ โดยปฏิเสธการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจและโรคกระดูกคอกดทับไขสันหลังและเส้นประสาท แต่ให้แพทย์รักษาโดยการรับประทานยาตามอาการ และเลือกรับการผ่าตัดนิ้วล็อกและเอ็นหัวไหล่ขวาซึ่งไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเป็นผลทำให้การรักษาตัวจำเลยใน รพ.ตำรวจ ขยายระยะเวลาออกไป
“จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากการพักอยู่ที่ รพ.ตำรวจ โดยไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ จนได้รับการปล่อยตัว และไม่อาจอ้างว่าเป็นการดำเนินการของแพทย์และเจ้าหน้าที่ มิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยเพื่อถือเอาประโยชน์จากระยะเวลาที่พักอยู่ที่ รพ.ตำรวจ มาหักวันคุมขังโทษตามคำพิพากษา”
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 31 ส.ค. 2566 มีพระบรมราชโองการพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้จำเลย เหลือโทษจำคุกต่อไปอีก 1 ปี ตามกำหนดโทษตามคำพิพากษา ดังนี้ ย่อมมีผลทำให้จำเลยได้รับการลดโทษ และต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาต่อไปอีก 1 ปี นับแต่วันที่ 31 ส.ค. 2566 แต่หามีผลทำให้การบังคับโทษจำคุกจำเลยสิ้นสุดลงไม่
“เมื่อการบังคับโทษจำเลยเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายดังที่ได้วินิจฉัยมาข้างต้น กระบวนการบังคับโทษ รวมทั้งการพักการลงโทษจำเลย จึงไม่มีผลตามกฎหมาย และไม่อาจนำเอาระยะเวลาที่พักอยู่ที่ รพ.ตำรวจ มาหักเป็นวันคุมขังได้ จำเลยจึงต้องรับโทษจำคุกอีก 1 ปี ตามพระบรมราชโองการ” หัวหน้าองค์คณะไต่สวน “คดีชั้น 14” อ่านคำสั่งศาล อม.
สรุปประเด็นสำคัญจากการไต่สวน “คดีชั้น 14” ครบ 7 นัด
ที่มา BBC.co.uk