
ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ลงมติเห็นชอบ 316 เสียง ผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. วาระสาม ขยายการช่วยเหลือจำเลยให้ครอบคลุมชั้นสืบสวน-เพิ่มการช่วยเหลือผู้ต้องหาชั้นสอบสวนที่พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง ขยายการยื่นคำขอเยียวยา เป็น 2 ปี
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า วันที่ 10 กันยายน 2568 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญฯ ที่มีนายขจิต ชัยนิคม เป็นประธาน พิจารณาเสร็จแล้ว
ทั้งนี้ ภายหลังสมาชิก สส.ขออภิปราย กมธ.เสียงข้างน้อยและขอสงวนความเห็นอภิปราย ตลอดจนกมธ.เสียงข้างมาก และกมธ. ชี้แจง ก่อนลงมติหากยังมีผู้ติดใจ ว่า เห็นด้วยกับกมธ.เสียงข้างมากหรือเห็นด้วยกับกมธ.เสียงข้างน้อยผู้ขอสงวนความเห็นครบทุกมาตราที่มีการแก้ไขแล้ว ที่ประชุมสภาฯ ลงมติในวาระที่สาม ด้วยคะแนนเสียง เห็นด้วย 316 เสียง ไม่เห็นด้วยไม่มี งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนนเสียง 2 เสียง จำนวนผู้ลงมติ 319 เสียง
ก่อนการลงมตินายธีรยุทธ แก้วสิงห์ รองอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ในฐานะอนุ กมธ. ฯ ลุกขึ้นชี้แจงก่อนพิจารณารายมาตราเพื่ออภิปรายภาพรวมแก่สมาชิก สส. ว่า ประเทศไทยมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ตั้งแต่ปี 2544 แก้ไขเพิ่มเติมปี 2559 โดยกฎหมายให้ความช่วยเหลือ 2 กลุ่มใหญ่ กลุ่มที่ 1 เป็นผู้เสียหายในคดีอาญา หรือ เหยื่ออาชญากรรม ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกาย หรือ จิตใจ เนื่องจากการกระทำความผิดทางอาญาของบุคคลอื่น โดยที่ตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับการกระทำความผิด และ กลุ่มที่ 2 จำเลยในคดีอาญา หรือว่า แพะ คือ บุคคลที่ถูกพนักงานอัยการฟ้องต่อศาลว่าได้กระทำความผิดทางอาญาและถูกจำคุกในระหว่างพิจารณาคดี ต่อมาได้มีคำพิพากษาจนถึงที่สุดว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นข้อยุติว่า จำเลยมิได้เป็นผู้กระทำผิด
นายธีรยุทธกล่าวว่า จากการบังคับใช้กฎหมายที่ผ่านมา พบว่า ประการแรก ยังมีกลุ่มบุคคลผู้บริสุทธิ์ถูกจับกุมดำเนินคดีเป็นผู้ต้องหาและถูกควบคุมในชั้นสอบสวน ต่อมาจับผู้กระทำความผิดที่แท้จริงและปล่อยตัวผู้นั้นไป ซึ่งผู้นั้นไม่ได้รับความเชื่อเหลือเยียวยา เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับสิทธิไว้ ประการที่สอง จำเลย หรือว่า แพะ ในคดีอาญา ไม่ได้รับการเยียวยา ครอบคลุมในชั้นสอบสวน เนื่องจาก พ.ร.บ.ฉบับเดิม กำหนดให้ช่วยเหลือเยียวยาในชั้นพิจารณาคดีของศาลเท่านั้น และ ประการที่สาม ประชาชนไม่ทราบสิทธิที่จะทำให้ผู้เสียหายหรือจำเลยยื่นขอรับการเยียวยาเกินระยะเวลา 1 ปี รวมถึงเมื่อผู้เสียหายและจำเลยที่ตกเป็นเหยื่อในกระบวนการยุติธรรมได้รับอนุมัติการช่วยเหลือเยียวยาแล้วจะต้องมีการยื่นคำขออีกครั้งเพื่อแสดงตน ทำให้เกิดเป็นภาระกับประชาชน
นายธีรยุทธกล่าวว่า สำหรับกรอบการแก้ไขกฎหมาย ประกอบด้วย 3 ส่วน ส่วนแรก สองขยาย คือ 1.ขยายการช่วยเหลือจำเลยที่สุดท้ายศาลตัดสินยกฟ้องให้ครอบคลุมในชั้นสอบสวน ซึ่งกฎหมายฉบับเดิมช่วยเหลือเฉพาะชั้นพิจารณาคดี 2.ขยายระยะเวลาในการยื่นคำขอจาก 1 ปี เป็น 2 ปี
“ส่วนที่สอง สองเพิ่ม คือ 1.เพิ่มการช่วยเหลือผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนที่พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง หรือ ไม่ได้เป็นผู้กระทำผิด หรือเรียกว่า แพะในชั้นสอบสวน
2.เพิ่มการบริการทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ และส่วนที่สาม หนึ่งลด คือ ลดขั้นตอนการช่วยเหลือเยียวยาให้สั้นลง”นายธีรยุทธกล่าว
นายธีรยุทธกล่าวว่า สำหรับสาระสำคัญในการเสนอร่างพ.ร.บ.ฯ ค่าตอบแทนผู้เสียหายฯ แก่จำเลยในคดีอาญาฯ ในชั้น กมธ.ฯ มีการการแก้ 16 มาตรา ประกอบด้วย
1. ชื่อและบทนิยาม ในมาตรา 1 ใช้ชื่อพ.ร.บ.เดิม คือ พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ….
มาตรา 3 และมาตรา 5 เพิ่มบทนิยามของผู้ต้องหา ค่าทดแทน และแก้ไขบทนิยามพนักงานอัยการ
2.เพิ่มการช่วยเหลือผู้ต้องหาและขยายการช่วยเหลือจำเลย ในมาตรา 9 มีการเพิ่มการช่วยเหลือผู้ต้องหาที่พนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง และไม่ได้กระทำความผิด
มาตรา 10 ขยายการช่วยเหลือจำเลย หรือว่า แพะ ที่ศาลตัดสินยกฟ้อง
3. การแจ้งสิทธิ มาตรา 7 เพิ่มการแจ้งสิทธิ์ของผู้เสียหาย ผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญา
4.การขยายระยะเวลา มาตรา 11 ขยายระยะเวลาในการยื่นคำขอจาก 1 ปี เป็น 2 ปี
5.การเพิ่มช่องทาง ในมาตรา 11 เพิ่มช่องทางช่วยเหลือผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์
6.การช่วยเหลือเยียวยาไม่อยู่ในข่ายบังคับคดี ในมาตรา 6 การกำหนดให้เงินเยียวยาไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดี
“หากมีการแก้ไขกฎหมายฉบับนี้แล้ว ก็จะทำให้ประชาชนที่ตกเป็นผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือ จำเลยในคดีอาญาได้รับความช่วยเหลืออย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม มีกฎหมายครอบคลุมมาตรฐานสากล”นายธีรยุทธ
@ เปิด 11 ข้อสังเกตกมธ.ฯ
สำหรับข้อสังเกตของกมธ.ฯ ที่เสนอต่อที่ประชุมสภาฯ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ศาล หรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรทราบหรือควรปฏิบัติ มีจำนวน 11 ข้อ ดังนี้
1.ปัจจุบันมีบุคคลเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีอาญาในหลายรูปแบบ เช่น ผู้ถูกกักตัว ตามพ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. 2547 ผู้ถูกควบคุมตัว ตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ผู้ถูกควบคุมตัวตาม พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2551 ผู้ถูกควบคุมตัวตามพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือผู้ถูกควบคุมตัวในคดียาเสพติด โดยบุคคลเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ได้รับผลกระทบทั้งสิ้น จึงควรได้รับการคุ้มครองสิทธิตามพ.ร.บ.ฉบับนี้ด้วย
เนื่องจากบุคคลผู้ถูกกักตัวหรือบุคคลผู้ต้องสงสัย ยังไม่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ มีเพียงระเบียบที่กำหนดให้หน่วยงานต้องเยียวยา แต่ในทางปฏิบัติยังมีระเบียบให้ต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงาน 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครอง และฝ่ายตำรวจ โดยต้องรับรองว่าบุคคลนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุความรุนแรงหรือกลุ่มก่อการร้าย ซึ่งแม้ภายหลังจากการถูกกักตัวหรือควบคุมตัวในฐานะผู้ต้องสงสัยแล้ว จะไม่มีการดำเนินคดีใด ๆ แต่ส่วนใหญ่จะไม่ได้รับการรับรองครบจากทั้ง 3ฝ่ายข้างต้น ส่งผลให้เสียสิทธิที่จะได้รับเงินเยียวยา
จึงควรพิจารณากำหนดบทนิยามเพิ่มเติมให้ครอบคลุมถึงบุคคลที่กฎหมายจะให้การคุ้มครองมีสิทธิได้รับการช่วยเหลือเยียวยาเพื่อให้พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นกฎหมายกลางสำหรับการชดเชยค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ
2.กรณีที่คณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา สั่งจ่ายค่าตอบแทนน้อย หรือยกคำร้อง จะไม่สามารถขอดูสำนวนหรือแฟ้มของคณะกรรมการได้ และเอกสารคำสั่งไม่บอกเหตุผลว่าทำไมถึงยกคำขอ เหตุผลที่สั่งจ่ายน้อย หรือเหตุผลในการยกคำร้อง จึงขอให้คณะกรรมการระบุเหตุผล ในการยกคำร้อง และในการสั่งจ่ายค่าตอบแทนน้อย เพื่อเป็นประโยชน์กับผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จำเลยในคดีอาญา สามารถนำเหตุผลไปทำการโต้แย้งในการอุทธรณ์
3. ควรมีการประชาสัมพันธ์อย่างทั่วถึง เพื่อให้ประชาชนซึ่งเป็นผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จำเลยหรือทายาทของบุคคลข้างต้น ทราบถึงสิทธิในการยื่นคำขอรับค่าตอบแทน ค่าทดแทน หรือ ค่าใช้จ่ายตามพ.ร.บ.นี้ เพื่อดำเนินการให้ทันภายในระยะยะเวลา 2 ปี
4. การปรับปรุงกฎหมายเพื่อป้องกันการคุมขังระหว่างพิจารณาคดีโดยไม่จำเป็นเพื่อให้หลักการ ปล่อยเป็นหลัก คุมขังเป็นข้อยกเว้น มีผลบังคับใช้ได้อย่างแท้จริง ควรมีการปรับปรุบปรุงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาให้มีความชัดเจนและเป็นระบบ โดยมีข้อเสนอแนะดังต่อไปนี้
-
ปรับปรุงถ้อยคำทางกฎหมายให้สะท้อนหลักการชัดเจนยิ่งขึ้นเสนอให้เปลี่ยนถ้อยคำจาก ปล่อยชั่วคราว เป็น ปล่อย หรือ ปล่อยระหว่างพิจารณา และเปลี่ยนคำว่า ขัง เป็น ขังชั่วคราว เพื่อสะท้อนให้เห็นว่าการคุมขังในระหว่างพิจารณาเป็นเพียงข้อยกเว้น ทั้งนี้ อาจพิจารณาแนวทางจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาของประเทศฝรั่งเศสเป็นตัวอย่างประกอบ
-
ยกเลิกบทบัญญัติที่ “อนุญาตให้ขังได้โดยไม่ต้องพิสูจน์เหตุจำเป็น” ปัจจุบัน มาตรา 71 ประกอบกับมาตรา 66 (1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ให้อำนาจเจ้าพนักงานยื่นคำร้องขอคุมขังได้ หากคดีมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี โดยไม่จำเป็นต้องพิสูจน์เหตุจำเป็นของการขัง เช่น ความเสี่ยงในการหลบหนี ยุ่งเหยิvกับพยานหลักฐาน รวมถึงการก่อเหตุร้าย เพื่อคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหาหรือจำเลย จึงควรยกเลิกมาตรา 66 (1) และกำหนดให้ผู้ร้องขอให้ขัง (เช่น พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ) เป็นผู้มีภาระในการพิสูจน์เหตุจำเป็นดังกล่าวต่อศาล พร้อมทั้งระบุให้ศาลมีหน้าที่ไต่สวนผู้ร้องขอและผู้ต้องหาหรือจำเลยก่อนมีคำสั่ง หากไม่สามารถพิสูจน์เหตุจำเป็นได้ ศาลต้องมีคำสั่งให้ปล่อยเท่านั้น โดยอาจปล่อยโดยมีหรือไม่มีเงื่อนไข ทั้งนี้ เงื่อนไขใด ๆต้องไม่เป็นภาระเกินสมควรแก่เหตุ
-
รับรองสิทธิในการเข้าถึงทนายความตั้งแต่เริ่มถูกควบคุมตัวควรกำหนดให้ผู้ต้องหามีสิทธิได้รับความช่วยเหลือจากทนายความตั้งแต่ถูกจับกุม หากไม่สามารถจัดหาทนายได้ด้วยตนเอง รัฐต้องจัดหาทนายความขอแรงให้ และควรส่งเสริมให้เป็นทนายความคนเดียวกันที่ให้ความช่วยเหลือตลอดกระบวนการพิจารณาคดี เพื่อสร้างความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพในการคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหา
5. ควรพิจารณาแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 มาตรา 6/1 หรือพัฒนาข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกระทรวงยุติธรรม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อกำหนดหน้าที่ภายใต้กฎหมายดังกล่าวร่วมกันว่า หากภายหลังจากพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง หรือศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง หากผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญาไม่มีทนายความหรือผู้ให้การช่วยเหลืออื่นใดที่จะช่วยดำเนินการให้เข้าถึงสิทธิที่ได้รับค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายตามพ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญาได้ ให้ศาลติดต่อมาที่สภาทนายความ เพื่อจัดหาทนายความอาสาช่วยดำเนินการช่วยเหลือประชาชนต่อไป พร้อมกับได้รับค่าตอบแทนการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวตามกฎหมายและระเบียบที่กระทรวงยุติธรรมกำหนดต่อไป
6. รัฐบาลควรเร่งปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อลดความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรมและปัญหาการนำตัวผู้บริสุทธิ์เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา
7. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการติดตามประเมินผล ทำการศึกษาวิจัยการบังคับใช้ พ.ร.บ.ฉบับนี้ ภายหลังจากมีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 1 ปี เพื่อเป็นการพัฒนากฎหมายให้สอดคล้องและเหมาะสมกับบริบทต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป
8. กระบวนการยุติธรรม ถือเป็นกลไกหลักในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมและปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน อย่างไรก็ตาม กระบวนการยุติธรรมไทยยังประสบปัญหาหลายด้าน เช่น ความล่าช้า ความเหลื่อมล้ำ การแทรกแซงทางการเมือง และการทุจริตในกระบวนการสอบสวนและพิจารณาคดี ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนในการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง อำนาจหน้าที่ และกระบวนการดำเนินงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
9. ควรรวบรวมกฎหมายที่เกี่ยวกับค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา ไว้ในพ.ร.บ.ฉบับเดียวกัน โดยให้ยกเลิกกฎหมายที่มีความซ้ำช้อนทั้งหมดเพื่อให้มีความสะดวกและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชนและผู้บังคับใช้กฎหมายต่อไป
10. ควรยกเลิกระบบคณะกรรมการวินิจฉัยเกี่ยวกับค่าทดแทนค่าใช้จ่ายแก่ผู้ต้องหา หรือจำเลยในคดีอาญา แต่ใช้องค์กรสุดท้ายที่เป็นผู้วินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับคดีเป็นผู้รับคำร้อง รับพิจารณาเป็นหน่วยรับจ่ายค่าทดแทน ค่าใช้จ่ายแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญา โดยหากพนักงานอัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี หน่วยงานรับคำร้อง รับพิจารณา หน่วยรับจ่ายงบประมาณค่าใช้จ่าย ค่าทดแทนในคดีอาญาจะเป็นสำนักงานอัยการผู้ที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี
ส่วนในกรณีศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด หน่วยงานรับคำร้อง รับพิจารณา หน่วยรับจ่ายงบประมาณค่าใช้จ่ายทดแทนคดีอาญาจะเป็นศาลยุติธรรม ส่งผลให้กระบวนการยื่นคำร้องพิจารณาคำร้องเสร็จสิ้นในหน่วยงานที่สั่งเรื่องดังกล่าว อันเป็นการลดขั้นตอนกระบวนการ ลดเวลา ลดความซ้ำซ้อน ลดความสับสน ลดค่าใช้จ่ายในการจ้างบุคลากร
อีกทั้ง เมื่อหน่วยงานที่สั่งคดีมีความรับผิดชอบในการพิจารณาจ่ายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายในคดีอาญา จะมีความรอบคอบในการทำสำนวน รวมถึงการคุมขังผู้ต้องหาหรือจำเลยอีกด้วย
11. เนื่องจากคณะกรรมาธิการวิสามัญได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจ่ายค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่ผู้ต้องหาและจำเลยในคดีอาญา โดยการแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวเป็นไปตามหลักการของร่างพ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … (คณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ) ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการไว้แล้ว จึงควรแก้ไขเพิ่มเติม เหตุผล ดังนี้
โดยที่มาตรา 25 วรรคสี่ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กำหนดให้บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพหรือจากการกระทำความผิดอาญาของบุคคลอื่น ย่อมมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาหรือช่วยเหลือจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญัติ
แต่บทบัญญัติตามพ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ. 2544 ได้ใช้บังคับมาเป็นเวลานานและยังไม่ครอบคลุมสิทธิของผู้ต้องหาและจำเลยที่ถูกควบคุมหรือขัง ทั้งในชั้นก่อนและระหว่างสอบสวน สมควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้ต้องหาและจำเลยที่ถูกควบคุมหรือขัง ทั้งในชั้นก่อนและระหว่างสอบสวน ระยะเวลาในการยื่นคำขอรับค่าตอบแทน ค่าทดแทน และค่าใช้จ่าย รวมทั้งลดขั้นตอนการดำเนินงาน เพื่อให้ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา และจำเลยได้รับการช่วยเหลือเยียวยาที่สะดวก รวดเร็ว ทั่วถึง และเป็นธรรมยิ่งขึ้นจึงจำเป็นต้องตรา พ.ร.บ.นี้
ทั้งนี้ ขั้นตอนต่อไปสภาฯจะส่งร่างพ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหาย และค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ไปยังวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )