มติศาลรัฐธรรมนูญ 6:1 ให้ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ 3 ครั้ง ปิดทางประชาชนเลือก สสร. โดยตรง?

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 1 ให้ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ 3 ครั้ง ยุติข้อถกเถียงในรอบ 4 ปีว่าต้องทำประชามติกี่ครั้งกันแน่ ทว่าการลงประชามติ 2 ครั้งแรก “อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้”

อย่างไรก็ตามศาลได้วินิจฉัยเพิ่มเติมว่า “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง” ซึ่งก่อให้เกิดเงื่อนไขใหม่และข้อถกเถียงใหม่ขึ้นมา

จำนวนครั้งในการทำประชามติ ส่งผลกระทบโดยอ้อมต่ออายุของ “รัฐบาลเฉพาะกิจ” ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 และหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เนื่องจากเขาให้คำมั่นว่าจะยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน และจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

คำประกาศของนายอนุทินมีขึ้น 2 วันก่อนการประชุมสภาเพื่อลงมติเลือกนายกฯ เมื่อ 5 ก.ย. โดยหัวหน้าพรรคสีน้ำเงินตอบรับ 5 เงื่อนไขของพรรคประชาชน (ปชน.) เพื่อแลกกับเสียงโหวตสนับสนุนจาก สส. 143 เสียง โดยไม่มีบุคคลใดจากพรรคแกนนำฝ่ายค้านเข้าร่วมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

ภายหลังทราบคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้ (9 ก.ย.) นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน. เปิดแถลงข่าวเรียกร้องให้พรรค ภท. ในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาลพิจารณารวบรวมเสียง สส. รัฐบาล เพื่อยื่นร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 (การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ) ของตนเองเข้าสู่รัฐสภาอย่างช้าภายในสัปดาห์หน้า และเสนอให้พรรคเมืองต่าง ๆ ร่วมกันผลักดันให้มีการเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ในวาระที่ 1 ภายในเดือน ก.ย. โดยไม่จำเป็นต้องรอการแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อรัฐสภา เนื่องจากเป็นกระบวนการของฝ่ายนิติบัญญัติที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหารโดยตรง

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Close of ได้รับความนิยมสูงสุด

หัวหน้าพรรค ปชน. คาดหวังว่า การดำเนินการนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญที่ทำให้เป้าหมายในการจัดทำประชามติครั้งที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไปที่จะเกิดขึ้นจากการยุบสภาภายใน 4 เดือน หลัง ครม. ใหม่เข้าปฏิบัติหน้าที่ เป็นจริงได้

ด้านนายกฯ อนุทินยังไม่ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับคำวินิจฉัยศาลโดยตรง เพราะยังไม่ได้ดูรายละเอียด แต่เขากล่าวว่า การจัดทำประชามติครั้งที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งที่จะถึงเร็ว ๆ นี้ “แทบไม่มีอะไรต้องกดดัน เมื่อครบระยะเวลา 4 เดือนปุ๊บ ยุบสภาทันที และ

ผู้นำของพรรคสีส้ม-สีแดง ได้ร่วมลงนามใน MOA (Memorandum of Agreement – บันทึกข้อตกลง) ในวันที่นายอนุทินประกาศจัดตั้งรัฐบาล 146 เสียง

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

อนุทิน ชาญวีรกูล โชว์ MOA ระหว่างหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย-ประชาชน ที่มีเงื่อนไข 5 ข้อ โดยแจ้งให้แกนนำพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลรับทราบแล้ว

คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ

วันนี้ (10 ก.ย.) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจา ปรึกษาหารือ และลงมติ “คดีประชามติ” ตามที่ประธานรัฐสภายื่นคำร้องมา ก่อนเผยแพร่มติของคณะตุลาการผ่านเอกสารข่าวสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ

ศาลตั้ง 2 ประเด็นในการพิจารณาตามลำดับ ดังนี้

ประเด็นที่ 1 ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่

มติ 5:2 วินิจฉัยว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับไหมได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน ทั้งนี้ การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่ง “รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง”

  • สำหรับตุลาการเสียงข้างมาก 4 คน ได้แก่ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ, นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม, นายวิรุฬห์ แสงเทียน, นายจิรนิติ หะวานนท์ และนายนภดล เทพพิทักษ์
  • ตุลาการเสียงข้างน้อย 2 คนคือ นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ เห็นว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 รัฐสภาไม่มีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เว้นแต่จัดให้มีการออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ประเด็นที่ 2 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติกี่ครั้ง

มติ 6:1 วินิจฉัยว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องจัดให้ประชาชนออกเสียงประชามติ 3 ครั้ง ได้แก่

ครั้งที่ 1 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่

ครั้งที่ 2 ให้ประชาชนออกเสียงประชามติเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่ามีวิธีการและเนื้อหาที่สำคัญอย่างไร

ครั้งที่ 3 ภายหลังรัฐสภาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสร็จแล้ว ให้ประชาชนออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่

อนึ่ง การออกเสียงประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อาจรวมเป็นครั้งเดียวกันได้

  • ตุลาการเสียงข้างมาก 6 คน ได้แก่ นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์, นายวิรุฬห์ แสงเทียน, นายจิรนิติ หะวานนท์, นายนภดล เทพพิทักษ์, นายบรรจงศักดิ์ วงศ์ปราชญ์ และนายสุเมธ รอยกุลเจริญ
  • ตุลาการเสียงข้างน้อย 1 คนคือ นายอุดม สิทธิวิรัชธรรม เห็นว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องมีการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ 2 ครั้ง ได้แก่ ครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2

เส้นทางที่ผ่านมา

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ที่ประชุมร่วมรัฐสภามีมติเมื่อ 17 มี.ค. ด้วยคะแนนเสียง 304 ต่อ 150 เสียง เห็นชอบให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) โดยมี นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) นอกกลุ่มใหญ่ และนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) เป็นเจ้าของญัตติ

ต่อมา 21 มี.ค. ประธานรัฐสภาได้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยถือเป็นความพยายามอีกครั้งของบรรดานักการเมืองเพื่อยุติข้อถกเถียงที่ว่าต้องทำประชามติ 2 หรือ 3 ครั้งกันแน่ก่อนลงมือแก้รัฐธรรมนูญ 2560 และจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ด้วยการให้ศาลรัฐธรรมนูญ “ขยายความ” คำวินิจฉัยของตนเองที่ออกไว้เมื่อ 11 มี.ค. 2564

“หากรัฐสภาต้องการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องจัดให้ประชาชนผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญออกเสียงประชามติเสียก่อนว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ถ้าผลการออกเสียงประชามติเห็นชอบด้วย จึงดำเนินการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต่อไป เมื่อเสร็จแล้วต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่าเห็นชอบหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อีกครั้งหนึ่ง” คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ 4/2564 ระบุ

คำวินิจฉัยปี 2564 ก่อให้เกิดข้อถกเถียงและการตีความแตกต่างหลากหลายว่า คำว่า “ออกเสียงประชามติเสียก่อน” ต้องทำในขั้นตอนไหน

สิ่งที่จะตามมา หลังการตีความของศาล

แม้อ่านเอกสารข่าวที่เผยแพร่มติศาลรัฐธรรมนูญเฉบับเดียวกัน แต่บรรดานักการเมืองและผู้สนใจติดตามกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตีความคำวินิจฉัยของศาลไม่ตรงกัน

นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า “กระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จะต้องมีการทำประชามติทั้งหมด 2 รอบ” และเห็นว่า ควรเดินหน้าสู่การจัดทำประชามติรอบที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งทั่วไป ซึ่งจะกระทำการได้หลังจากรัฐสภาพิจารณาและให้ความเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 เพื่อเพิ่มกลไกในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว

เขายังเปิดแนวคำถามที่จะใช้สอบถามประชาชน

ประชามติรอบที่ 1 เพื่อสอบถามประชาชนพร้อมกันใน 2 ประเด็น

  • เห็นด้วยหรือไม่ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
  • เห็นด้วยหรือไม่กับวิธีการและเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หมวด 15 ที่รัฐสภาเห็นชอบ

ประชามติรอบที่ 2 เพื่อสอบถามประชาชนว่า เห็นด้วยหรือไม่กับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

สำหรับนัยแฝงของคำถามประชามติที่พรรค ปชน. โยนออกมาเพื่อใช้ทำประชามติรอบแรกคือการอ้างอิงข้อความโดยตรงจากคำวินิจฉัยศาลที่ว่า “เห็นด้วยหรือไม่ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ซึ่งเป็นการตัดเงื่อนไขล็อก 2 หมวดแรกออกไป แต่คาดว่าคงจะมีการถกเถียงประเด็นนี้ในระหว่างพิจารณาร่างแก้ไขมาตรา 256

เดิมรัฐบาลเพื่อไทยตั้งคำถามประชามติครั้งแรกเอาไว้ว่า “ท่านเห็นชอบหรือไม่ ที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญระบุตอนหนึ่งว่า “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง”

ปัจจุบัน มีร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 เพื่อเปิดทางให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร. จำนวน 2 ฉบับ ค้างอยู่ในระเบียบวาระของรัฐสภาตั้งแต่เดือน ก.พ. เสนอโดยพรรคเพื่อไทย (พท.) และพรรค ปชน.

ต่างจากนายนิกร จำนง แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ซึ่งเป็นอดีตประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับแนวทางในการทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ที่เห็นว่า “จำเป็นต้องถอน” ร่างแก้ไขมาตรา 256 ออกมา พิจารณาต่อไปไม่ได้ เพราะไม่ได้ทำประชามติถามประชาชนเสียก่อน อีกทั้งเนื้อหาของร่างดังกล่าวก็มีการบัญญัติให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน ซึ่งทั้ง 2 ประเด็นนี้ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

เช่นเดียวกับแกนนำพรรค พท. ที่เปิดแถลงข่าว (11 ก.ย.) ยืนยันเดินหน้าทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้เป็นประชาธิปไตยต่อไป พร้อมเผยแพร่แถลงการณ์ของพรรค เนื้อหาข้อหนึ่งระบุว่า เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องเป็นไปตามหมวด 15 จะมีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติในหมวด 15 เป็นอย่างอื่นมิได้ “คงทำได้เพียงเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เท่านั้น โดยให้รัฐสภาพิจารณาเป็น 3 วาระ ต้องนำไปทำประชามติตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8)”

สำหรับคำถามประชามติครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 ที่พรรค พท. เห็นว่าควรต้องมีคือ

ประชามติครั้งที่ 1 คำถามแรก เห็นชอบว่าสมควรมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่

ประชามติครั้งที่ 2 คำถามที่สอง เห็นชอบกับหลักเกณฑ์ วิธีการ และสาระสำคัญเกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามรายละเอียดในรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมในหมวด 15 หรือไม่

ข้อถกเถียงใหม่ว่าด้วย สสร. ที่ประชาชนไม่ได้เลือกโดยตรง

อีกประเด็นที่งอกขึ้นมาใหม่จากคำวินิจฉัยศาลในวันนี้คือ “รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง” ซึ่งกระทบต่อโมเดลของ สสร. โดยตรง โดยมีผู้ตีความเป็น 3 แนวทางคือ ยังไม่ปิดประตู หรือให้มาโดยเลือกตั้งทางอ้อม หรือประชาชนไม่สามารถเลือก สสร. ได้แล้ว

พรรค ปชน. เห็นว่า คำวินิจฉัยนี้ “อาจยังไม่ได้ปิดประตูต่อการมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง” เนื่องจากรัฐสภาสามารถออกแบบกลไกให้ สสร. ส่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ สสร. จัดทำมาที่รัฐสภา ก่อนส่งไปทำประชามติถามประชาชนได้ อย่างไรก็ตามคงต้องรอดูรายละเอียดในคำวินิจฉัยฉบับเต็ม และต้องหารือรายละเอียดในรัฐสภา

ขณะที่นายนิกร แกนนำพรรค ชทพ. เห็นว่า ไม่สามารถตั้งคำถามประชามติเกี่ยวกับการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับใหม่ โดยให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง เพราะขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 และอาจถูกร้องว่าเป็นการกระทำที่มีพฤติการณ์อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงได้

เขาเสนอว่า อาจสามารถมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยอ้อมได้ เหมือนในคราวจัดทำรัฐธรรมนูญ 2540 โดย สสร. ที่ให้ประชาชนเลือกมาจำนวนหนึ่งก่อน แล้วรัฐสภามาคัดเลือกภายหลังอีกครั้ง เป็นการเลือกโดยอ้อม ไม่ใช่โดยตรง แต่ต้องรอกำหนดรายละเอียดและตั้งคำถามในช่วงที่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะเป็นการถามประชามติเป็นครั้งที่ 2

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

นายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. ย้อนคำวินิจฉัยเดิมของศาลรัฐธรรมนูญที่ว่า “อำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญเป็นของประชาชน” หากจะจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จึงต้องทำประชามติ ดังนั้นตามหลักเหตุผลนี้ หากถามประชาชนว่าจะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนหรือไม่ ถ้าประชาชนเห็นชอบให้ สสร. มาจากการเลือกตั้งก็ควรจะต้องทำได้ การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง จึงเป็นการขัดต่อหลักที่ว่าประชาชนเป็นผู้มีอำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญ และความจริงก็ไม่ใช่ประเด็นที่รัฐสภาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัย

“การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ จึงทำให้ความตั้งใจที่จะให้ประชาชนเลือก สสร. มาร่างรัฐธรรมนูญไม่สามารถเกิดขึ้นได้” นายจาตุรนต์ระบุ

แถลงการณ์อย่างเป็นทางการของพรรค พท. ชี้ว่า “การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่อาจกระทำโดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนได้ แต่อาจจะทำได้โดยเลือก สสร. โดยทางอ้อม หรือรัฐสภามีมติแต่งตั้ง สสร. หรือคณะกรรมาธิการขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่” ซึ่งคณะทำงานของพรรคจะไปไตร่ตรองตัดสินใจในชั้นเสนอญัตติต่อรัฐสภา

ส่วนการทำประชามติครั้งที่ 1 จะเกิดขึ้นเมื่อใด พร้อมกับครั้งที่ 2 หรือไม่ เป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องพิจารณา เพราะการทำประชามติจะเกิดขึ้นได้ เมื่อรัฐบาลพิจารณาเห็นสมควร หรือเมื่อรัฐสภาร้องขอตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ เช่นกัน

เทียบชัด ๆ คำถามจากสมาชิกรัฐสภา vs คำตอบจากตุลาการ

เมื่อย้อนกลับไปดูคำถามของ สว.เปรมศักดิ์ และ สส.วิสุทธิ์ ในญัตติที่เสนอต่อรัฐสภา ซึ่งต่อมากลายเป็นคำร้องที่ประธานรัฐสภาส่งให้ศาลตีความ พบว่า มี 3 คำถาม แต่มีความมุ่งหมายเดียวกัน

2 คำถามจาก นพ.เปรมศักดิ์ ได้แก่

คำถามแรกคือ “รัฐสภามีอำนาจพิจารณาและลงมติร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติมที่มีการเพิ่มหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยที่ยังไม่มีการดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติ ว่า ประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อนได้หรือไม่”

คำถามที่สองคือ “หากรัฐสภามีอำนาจพิจารณาและลงมติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมได้แล้ว การดำเนินการจัดให้มีการออกเสียงประชามติว่า ประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ สามารถกระทำภายหลังที่รัฐสภาให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมแล้ว โดยทำพร้อมกับการทำประชามติว่า ประชาชนเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมหรือไม่ ได้หรือไม่ อย่างไร”

1 คำถามจากนายวิสุทธิ์คือ “รัฐสภาจะพิจารณาและลงมติร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมที่มีบทบัญญัติให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยยังไม่ได้มีการทำประชามติว่าประชาชนประสงค์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้หรือไม่”

ทว่าคำตอบของศาลรัฐธรรมนูญคือ รัฐสภามีอำนาจริเริ่มหรือแสดงความต้องการเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับไหมได้ แต่ต้องให้ประชาชนออกเสียงประชามติให้ความเห็นชอบว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่เสียก่อน ทั้งนี้ การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติ หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ของรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่ง “รัฐสภามีอำนาจแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญได้ แต่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญได้โดยตรง”

MOA ถูกฉีกโดยศาลแล้ว?

สำหรับเงื่อนไขใน MOA ระหว่างพรรค ปชน. กับพรรค ภท. ที่ลงนามกันเมื่อ 3 ก.ย. ระบุถึงการทำประชามติไว้ 2 ข้อ โดยดักเป็น 2 แนวทาง เผื่อแนววินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่จะออกมาในอีกสัปดาห์ถัดมา

  • เงื่อนไขข้อ 2 ระบุว่า ต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาจะดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ตามมาตรา 256 นั้น คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ต้องจัดให้มีการออกเสียงประชามติในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 เพื่อนำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) ที่มาจากการเลือกตั้งโดยเร็ว ทั้งนี้ต้องไม่เกินกว่าวันลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง สส. เป็นการทั่วไป
  • เงื่อนไขข้อ 3 ระบุว่า ในกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ในการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ไม่จำเป็นต้องมีการออกเสียงประชามติก่อนที่รัฐสภาดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2560 ตามมาตรา 256 นั้น ครม. ชุดใหม่ พรรค ปชน. และพรรค ภท. จะเร่งผลักดันร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อกำหนดให้มีกระบวนการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดย สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง ให้แล้วเสร็จในวาระของสภาชุดนี้โดยเร็ว

เมื่อ MOA ระบุชัดเจนถึง “สสร. ที่มาจากการเลือกตั้ง” แต่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ให้ประชาชนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญโดยตรง ทำให้เกิดคำถามว่าข้อตกลงของ 2 พรรคยังอยู่ หรือถูกฉีกไปแล้วโดยศาล?

น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล รองโฆษกพรรค พท. ตั้งคำถามผ่านเอกซ์ว่า คำวินิจฉัยนี้จะส่งผลกระทบต่อ MOA ระหว่างทั้ง 2 พรรคหรือไม่ พรรคประชาชน ปชน. ได้เตรียมรับมือกับสถานการณ์นี้ไว้อย่างไร และจะเดินต่อเช่นไร ในเมื่อได้ลงนามไปแล้ว และยกมือโหวตให้นายอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรีเรียบร้อยแล้ว

เธอยังชี้ว่า ปัญหาไม่ได้เกิดจากการยื่นศาลของพรรค พท. แต่เกิดจากการตัดสินใจที่ไม่รอบคอบของพรรค ปชน. เองหรือไม่ ประชาชนทั้งประเทศจะเป็นผู้ตัดสิน

นายณัฐพงษ์บอกว่า ยังไม่ได้พูดคุยกันเพิ่มเติมกับพรรค ภท. แต่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญค่อนข้างชัดเจน “ที่ยังไม่ได้มีการปิดช่องว่าจะมี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งได้” ส่วนรายละเอียดอื่น ๆ ต้องหารือกันในรัฐสภาเพื่อให้เป็นไปตามข้อตกลง และอาจออกแบบกระบวนการที่เป็นไปได้

“ตั้งแต่การโหวตเลือกนายกฯ ไม่มีการต่อสายตรงหลังบ้าน ไม่เคยมีการสื่อสารใด ๆ กับหัวหน้าพรรคการเมืองใด ที่ผ่านมา พวกเราพยายามทำหน้าที่ในฐานะฝ่ายค้านที่ไม่มีอำนาจในการกำกับทิศทางฝ่ายบริหารโดยตรง” ผู้นำฝ่ายค้านในสภากล่าว

ส่วนถ้านายอนุทินไม่เห็นด้วยกับการตีความของพรรค ปชน. ทั้งเรื่อง สสร. และการจัดทำประชามติจะทำอย่างไรนั้น หัวหน้าพรรค ปชน. ขอรอพูดคุยแลกเปลี่ยนกันก่อน โดยสำนึกของวิญญูชนสามารถเห็นได้ว่าพรรค ภท. จะมีความจริงใจมากน้อยแค่ไหนในการเดินหน้าตามเจตนารมณ์ของข้อตกลง หากมีการบิดพลิ้วก็พร้อมใช้ 143 เสียงล้มรัฐบาลทันที และกำกับทิศทางรัฐบาลให้เป็นไปตามข้อตกลงมากที่สุด

ขณะที่นายอนุทินระบุว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเจตนารมณ์ของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรค ภท. ที่เห็นพ้องต้องกันกับพรรค ปชน. โดยรายละเอียดจะมีการหารือกับพรรค ปชน. ในภายหลัง ซึ่งทุกอย่างเป็นไปตามข้อตกลง

นายกฯ อนุทินกล่าวว่า การจัดทำประชามติครั้งที่ 1 พร้อมกับการเลือกตั้งที่จะถึงเร็ว ๆ นี้ “แทบไม่มีอะไรต้องกดดัน เมื่อครบระยะเวลา 4 เดือนปุ๊บ ยุบสภาทันที และหลังยุบสภาก็ไม่มีใครมากดดันอะไรทั้งนั้น คนเราทำงานอย่าไปกดดัน ต้องมีความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน” และย้ำว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของรัฐสภา ภายใน 4 เดือน ถ้าทำได้ก็จะเป็นไปตามขั้นตอน แต่ถ้าทำไม่ได้ก็ต้องค้างเอาไว้ก่อน จากนั้นก็ยุบสภา ก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่ และทุกคนก็ต้องชี้แจงให้พี่น้องประชาชนฟังว่าแต่ละพรรคมีแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างไร

ส่วนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญถือเป็นการปิดประตู สสร. จากการเลือกตั้งของประชาชนหรือไม่นั้น เขาบอกว่ายังไม่ได้ดูรายละเอียดคำวินิจฉัยศาล เพราะวันนี้งานยุ่งทั้งวัน แต่ “พูดได้อย่างเดียวว่าอะไรที่ตกลงกันไว้ก็เป็นไปตามนั้น ไม่ต้องกังวล”

นายกฯ คนที่ 32 ยังกล่าวถึงคำว่า MOA ด้วยว่า ที่ทุกคนเรียกกันมาตลอดนั้นอาจไม่ถูกต้องเสียทีเดียว ในความเป็นจริงต้องเรียกว่า “Agreement” หมายความว่าไม่มี “MO” มีแต่ “A” พร้อมเน้นย้ำคำมั่นสัญญาว่าจะปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้กับพรรคประชาชน

ปฏิทินประชามติฉบับพรรคสีส้ม

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ นำทีมแถลงท่าทีของพรรคประชาชนหลังทราบคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ “คดีประชามติ”

หากข้อเสนอของพรรคอันดับ 1 ของสภา ได้รับการสนองตอบจากพรรคแกนนำรัฐบาลเสียงข้างน้อย นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรค ปชน. แสดงความมั่นใจว่าการแก้ไขรัฐธรรมนญ มาตรา 256 จะเสร็จสิ้นภายใน 4 เดือน

เขายังเปิดเผยปฏิทิน 4 เดือน “ประชามติในสนามเลือกตั้ง 2569” กับ. โดยคาดการณ์กรอบเวลาไว้ ดังนี้

  • ภายในเดือน ก.ย. ประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 ในวาระที่ 1
  • เดือน ต.ค.-พ.ย. คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างแก้ไขมาตรา 256
  • ต้นเดือน ธ.ค. ประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 ในวาระที่ 2 (จากนั้นต้องพัก 15 วันก่อนกลับเข้ารัฐสภา)
  • ปลายเดือน ธ.ค. ประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขมาตรา 256 ในวาระที่ 3
  • ปลายเดือน ม.ค. 2568 ยุบสภาผู้แทนราษฎร