
ถอดบทเรียน “ปมอายัดบัญชีม้า” เหตุใดจึงกลายเป็นมาตรการรัฐที่กลับส่งผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์เป็นวงกว้าง ?

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ประชาชนไทยจำนวนหนึ่งต่างออกมาโพสต์ว่า บัญชีธนาคารของพวกเขาบ้าง “ถูกระงับ” บ้าง “ถูกอายัด” จนใช้งานไม่ได้และกลายเป็นกระแสความไม่พอใจต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถึงประสิทธิภาพในการดำเนินงานปราบ “บัญชีม้า” ที่ส่งผลกระทบมาถึงกลุ่มผู้บริสุทธิ์
วันนี้ (15 ส.ค.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) นำโดย น.ส.ดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบการชำระเงินและคุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน แห่ง ธปท. นำทีมแถลงย้ำถึงบทบาทและหน้าที่ของ ธปท. รวมไปถึงหน่วยงานภาคการเงิน โดยชี้ชัดว่า กระบวนการทั้งหมดเป็นไปตาม พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2568 ซึ่งเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. 2568 เป็นต้นมา
พ.ร.ก.ฉบับนี้เอง ที่มีส่วนสำคัญในการให้อำนาจและเป็นการเพิ่มมาตรการที่สถาบันการเงินรวมไปถึง ธปท.ในฐานะธนาคารกลางของประเทศและเป็นผู้กำกับดูแลสถาบันการเงินต้องเข้ามาช่วยทั้งป้องกันและปกป้องประชาชนจากการตกเป็นเหยื่อของอาชญากร ซึ่งนี่รวมถึงการระงับหรืออายัดบัญชีประชาชน
เข้าใจบทบาทแต่ละหน่วยงาน ด้วยไทม์ไลน์การทำงาน
น.ส.ดารณี อธิบายว่า หากประชาชนที่ตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมการเงินบนโลกออนไลน์ติดต่อเข้ามาแจ้งเหตุผ่านสายด่วน 1441 ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ศปอท.) จะเป็นผู้รับเรื่อง
จากนั้น สถาบันการเงินที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมครั้งนั้นก็จะรับผิดชอบ “ต่อเส้นเงิน” ในที่นี้คือกระบวนการตามสืบว่าเงินที่เหยื่อโอนออกไปมีเส้นทางการเงินไปยังบัญชีธนาคารหรือแม้แต่กระเป๋าเงินดิจิทัลใด ๆ บ้าง
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
Stop of ได้รับความนิยมสูงสุด
เมื่อพบเส้นทางการเงินแล้ว สถาบันการเงินจะ “ระงับยอดเงิน” ดังกล่าวเอาไว้ หากไม่มีการแจ้งความดำเนินการตามกฎหมาย สถาบันการเงินจะมีอำนาจในการระงับเงินได้ 3 วัน แต่หากมีการแจ้งความจะสามารถระงับเงินไว้ได้ 7 วัน
ระหว่างที่มีการตรวจสอบยอดเงินเหล่านี้ เจ้าหน้าที่จะไปดูว่าบัญชีรับโอนเงินจากบัญชีของเหยื่อนั้น อยู่ในรายชื่อบัญชีม้าหรือไม่ และอยู่ในระดับใด

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
ปัจจุบัน ธปท. แบ่งบัญชีม้าออกเป็น 3 สี 5 ระดับ
- ม้าดำ หมายถึง บัญชีที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) แจ้งให้ดำเนินการแล้ว
- ม้าเทาเข้ม หมายถึง บัญชีที่มีผู้เสียหายแจ้งความแล้ว
- ม้าเทาอ่อน หมายถึง บัญชีที่ผู้เสียหายยังไม่ได้แจ้งความ หรืออยู่ระหว่างการติดตาม
- ม้าน้ำตาลเข้ม หมายถึง บัญชีที่ทางธนาคารสงสัยว่ามีความผิดปกติพอที่จะแจ้งตำรวจ
- ม้าน้ำตาลอ่อน หมายถึง บัญชีที่ทางธนาคารสงสัยว่าอาจจะเป็นปัญหา และจะมีการดำเนินการป้องกันตามมาตรการของแต่ละธนาคาร
สำหรับขั้นตอนการต่อเส้นเงินนั้น เมื่อพบว่ามีบัญชีม้าเข้ามาเกี่ยวข้องทางสถาบันการเงินก็จะมีทั้งมาตรการ กันเงินเข้า-ออกบัญชี รวมไปถึงกันการเปิดบัญชีใหม่ หรือมีการส่งอายัดทั้งบัญชีต่อไป
หากตรวจไม่พบความเกี่ยวข้องกับบัญชีม้าก็จะมีการปลดการระงับยอดธุรกรรมภายในระยะเวลา 3 หรือ 7 วัน ตามแต่กรณี
อย่างไรก็ดี สำหรับสถานการณ์ล่าสุด ซึ่งมีประชาชนจำนวนหนึ่งได้รับผลกระทบไปด้วยนั้น น.ส.ดารณี ชี้แจงว่าเป็นเพราะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการยกระดับมากขึ้นใน 2 มิติ ได้แก่
- มีการต่อเส้นทางการเงินไปถึงบัญชีเงินดิจิทัลหรือกระเป๋าเงินออนไลน์
- สถาบันการเงินมีเทคโนโลยีในการต่อเส้นทางการเงินได้รวดเร็วขึ้น
เมื่อรวมมาตรการทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน จึงเป็นเหตุผลที่อาจมีบัญชีของผู้ไม่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางการเงิน เข้าไปมีส่วนอยู่ในเส้นทางการเงินเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ เธอยังสะท้อนว่า การระงับเงินครั้งนี้ที่อาจส่งผลกระทบต่อผู้ไม่เกี่ยวข้องนั้นเป็นเพราะหน่วยงาน “ต้องการกักเงินให้ได้มากที่สุด กวาดเงินมาคืนเหยื่อให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะมาแยกว่าใครเป็นมิจฉาชีพ อาจจะทำให้โดนผู้บริสุทธิ์บ้าง แต่เราก็พยายามหาสมดุล เราตระหนักดี และพยายามแก้ไข”
ขั้นตอนการระงับ-อายัด และปลดบัญชีเป็นอย่างไร หลังมีเสียงวิจารณ์

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
ในการแถลงข่าววันนี้ ธปท.ย้ำว่า กระแสวิจารณ์ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้หน่วยงานทั้งหมดทั้งองคาพยพมีการปรับเปลี่ยนความรวดเร็วในการปลดล็อกการระงับยอดธุรกรรม
น.ส.ดารณี ย้ำตลอดการแถลงข่าวว่า ขั้นตอนแรกเมื่อมีการดำเนินการต่อบัญชีธนาคารนั้น จะเป็นการระงับยอดเงินที่คาดว่าเกี่ยวข้องกับอาชญากรรมทางการเงินออนไลน์เท่านั้น เช่น หากมียอดแจ้งมาว่าเหยื่อโอนเงินไป 50,000 บาท แล้วพบว่าเงินจำนวนนี้ไปอยู่ในบัญชีธนาคารของนาย ก. ที่มีเงินรวมอยู่ในบัญชี 100,000 บาท บัญชีของนาย ก. ก็จะโดนระงับไว้เพียง 50,000 บาท เท่านั้น
อย่างไรก็ดี เมื่อยื่นระงับแล้วมีการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม อาจมีการออกหมายอายัดบัญชีทั้งบัญชี หรือบัญชีทุกบัญชีจากทุกธนาคารที่เป็นชื่อ นาย ก.ได้ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเป็นผู้ยื่นหมายอายัดดังกล่าวให้กับสถาบันการเงิน
ธปท. ย้ำว่า หากประชาชนผู้บริสุทธิ์คนไหนได้รับผลกระทบ สามารถติดต่อสายด่วน 1441 ต่อ 2 ได้ทันที พร้อมเตรียม เลขที่บัญชี และธนาคาร รวมถึงบัตรประชาชน โดย ธปท. ระบุว่า มาตรการแก้ไขที่ดำเนินการแล้วจะช่วยให้สามารถปลดล็อกบัญชีที่ไม่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้าได้เร็วที่สุดภายใน 4 ชั่วโมง และช้าที่สุดภายในหนึ่งวันทำการ โดยเป็นการนับเวลาตามรอบการยืนยันข้อมูล ซึ่ง ธปท.ระบุว่า ปัจจุบันมีอยู่สามรอบคือ 11:00 น. 15:00 น. และ 19:00 น.
ทั้งนี้ ธปท. ระบุเพิ่มว่า วานนี้ (14 ส.ค.) มีบันทึกการแจ้งระงับบัญชีเข้ามาราว 100 กรณี และมีการปลดล็อกบัญชีได้จริง 11 กรณี พร้อมระบุว่า มีกรณีที่ผู้แจ้งว่าโดนระงับบัญชี แต่เมื่อสอบถามผู้แจ้งเรื่องข้อมูลเลขที่บัญชีและธนาคาร ผู้แจ้งกลับปฏิเสธที่จะให้ข้อมูล ซึ่งอาจทำให้เชื่อว่ามีเจ้าของบัญชีม้าพยายามใช้ช่องโหว่ตรงนี้เข้ามาปลดล็อกบัญชีด้วย
เมื่อถูกถามเรื่องความเชื่อมั่นของสังคมต่อการใช้ระบบจ่ายเงินออนไลน์จากกรณีที่เกิดขึ้น น.ส.ดารณี ชี้ว่า “เป็นหน้าที่แบงก์ชาติที่จะต้องให้ความมั่นใจต่อประชาชน เวลาเราพูดเรื่องนี้ มันคือการชั่งน้ำหนัก… ต้องยอมรับว่าคงมีผลกระทบบ้าง แต่ถ้าท่านสุจริต จะได้รับการปลดด้วยความรวดเร็ว และเราจะพยายามทำให้ท่านไม่ได้รับผลกระทบ “
มาตรการเปรียบเสมือนยาแรง แต่ถ้าป่วยก็ต้องกิน
นายปริญญา หอมเอนก ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ บอกกับ.ว่า ที่ผ่านมา คนไทยตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมทางการเงินผ่านโลกออนไลน์เป็นจำนวนมาก และการปราบปรามหลายครั้งก็ยังตามไม่ทัน หรือป้องกันไม่ให้ประชาชนตกเป็นเหยื่อได้ตั้งแต่ต้น จนต้องตามมาแก้ปัญหากันหลังที่ประชาชนตกเป็นเหยื่อแล้วด้วย
เขาเปรียบเทียบว่า สถานการณ์ปัจจุบันเหมือนคนที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง จะป้องกันอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องกินยาร่วมด้วย ซึ่งเขาเปรียบเทียบมาตรการระงับยอดเงินในครั้งนี้คือ “การกินยาแรง ซึ่งก็อาจมีผลข้างเคียง แต่ก็ช่วยป้องกันไม่ให้เส้นเลืoดในสมองแตกได้”
“อันนี้มันสถานการณ์เดียวกันเลย สถานการณ์เหมือนคนเป็นโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งระยะร้ายแรงแล้ว หัวใจโต เส้นเลืoดไม่ค่อยดีแล้ว ฉะนั้นตอนนี้คือยาแรง” นายปริญญา กล่าว
เมื่อถามต่อว่า แม้จะเป็นยาแรง แต่ก็มีประชาชนที่ได้รับผลกระทบ ฝั่งหน่วยงานเองควรปรับปรุงอย่างไร เขาเสริมว่า ก็ต้องมีการตรวจสอบผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องให้ถี่ถ้วนขึ้น แต่นั่นก็ต้องแลกมากับความรวดเร็วในการระงับเงินไว้ตรวจสอบก่อน
“การถอนอายัด เร็วไปก็ไม่ดี ช้าไปเขาก็ด่า ถูกไหม เพราะนั้นจะทำยังไง หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็คงต้องปรับปรุง ปรับจูนไปเรื่อย ๆ… ถ้าคุณกินยาความดันสูตรนี้ สามเดือนความดันไม่ลด คุณต้องเปลี่ยนยาใช่ไหม มันจะอารมณ์อันนั้นแหละ” นายปริญญา เสริม
เขายังแนะนำประชาชนเพิ่มเติมว่าควรกระจายเงินไว้ตามบัญชีหลายธนาคารและมีเงินสดติดตัวไว้เผื่อยามฉุกเฉินด้วย
อำนาจ บทเรียน และการใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว จากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกกับ.ว่า ในเชิงหลักการ ธปท. มีอำนาจอย่างแน่นอนในการเข้ามากำกับดูแลมาตรการระงับ-อายัด เงินเหล่านี้ เนื่องจากสถานะตามกฎหมายในฐานะผู้ดูแลระบบการเงิน
อย่างไรก็ดี เขามองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ซึ่งมีประชาชนได้รับผลกระทบในวงกว้างเป็นการสะท้อนว่า เมื่อผู้มีอำนาจจะดำเนินมาตรการระดับประเทศ จำเป็นต้องมีการทดสอบผลกระทบในกรณีเลวร้ายที่สุดให้ดีกว่านี้
“ผมคิดว่าเขาไม่ได้ ทดลองระบบ มาละเอียดถี่ถ้วนพอว่าผลกระทบมันจะไปวงกว้างขนาดนี้ ผลเชิงประจักษ์ที่มันออกมามาเห็นแล้วว่าคนเดือดร้อนจริง ๆ แล้วมาตรการในการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นมันช้ามาก นั่นแสดงว่าเขาอาจจะไม่ได้มองประเด็นนี้”
เขาเสริมว่า เมื่อเป็นมาตรการด้านการเงิน จึงส่งผลกระทบกับประชาชนโดยตรง อย่างไรก็ดี ผศ.ดร.เกียรติอนันต์ สะท้อนว่า วิกฤตครั้งนี้สามารถใช้เป็นบทเรียนได้ว่าต่อไป นโยบายระดับประเทศเช่นนี้ ต้องมีมาตรการที่รัดกุมแค่ไหน
เขาเสริมว่า วันนี้ประเด็นสำคัญไม่ใช่การเลือกว่าจะช่วยใครมากกว่ากัน ระหว่างเหยื่ออาชญากรรมการเงินทางเทคโนโลยี หรือประชาชนธรรมดาที่อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการปูพรมจับบัญชีม้า แต่เป็นการมองภาพใหญ่ว่าจะภาครัฐทั้งองคาพยพจะใช้เทคโนโลยีในปัจจุบันเพื่อให้เท่าทันฝั่งอาชญากรอย่างไร
เขายกตัวอย่างว่า ประเทศอย่างในสหราชอาณาจักร ยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา จะเน้นการมีฐานข้อมูลรวมที่หน่วยงานต่าง ๆ เข้าถึงได้ เพื่อทำให้มั่นใจว่าหน่วยงานต่าง ๆ ของภาครัฐสามารถช่วยบล็อกเบอร์โทรศัพท์หรือเลขที่บัญชีเหล่านี้ได้ตั้งแต่ต้น ไม่ต้องรอให้ประชาชนมาเฝ้าระวังกันเอง
“มันเหมือนกับเรายังไม่ได้ใช้เทคโนโลยีให้สุดทางเพื่อป้องกันประชาชน”
ผศ.ดร.เกียรติอนันต์ เสริมต่อว่า การให้ความรู้ประชาชนเพื่อให้เท่าทันอาชญากรรมเป็นมาตรการหนึ่ง แต่ “อย่าลืมว่ายิ่งให้ความรู้ อาชญากรรมก็ยิ่งปรับตัวเองไปสู่โหมดที่มันซับซ้อนกว่า ดังนั้นเรากำลังอยู่ในโลกที่อาชญากรเก่งขึ้นเรื่อย ๆ หน่วยงานภาครัฐก็ต้องเก่งตามเขาให้ทัน”
เมื่อมองภาพใหญ่กว่าแค่ประเทศไทย อาจารย์จากคณะเศรษฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์เสริมว่า ประเทศไทยอยู่ในภูมิภาคที่มีอาชญากรรมไซเบอร์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทางหนึ่ง แปลว่าสถานการณ์นี้กำลังทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุน ผ่านมิติต่าง ๆ อาทิ ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน (Corruption Perceptions Index) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี หากประเทศไทยสามารถหาทางออกที่เป็นรูปธรรมผ่านเครืองมือเทคโนโลยี เราก็อาจนำตรงนี้มาเป็นจุดแข็งให้ประเทศได้
“ฝั่งหนึ่ง คือ ทำลายความเชื่อมั่นแต่ อีกฝั่งหนึ่ง คือถ้าเราทำได้ดี เราจะเป็นแหล่งที่คนเชื่อมั่นและอยากจะมาลงทุนเพราะว่าระบบการปกป้องของเราดี เราสามารถใช้ตรงนี้ให้เป็นประโยชน์ พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส ใช้เทคโนโลยีให้สุดทางเพื่อปกป้องประชาชนและเศรษฐกิจ มันจะเกิดคุณูปการขนาดใหญ่เลย” เขาทิ้งท้าย
ที่มา BBC.co.uk