
ผู้นำกลุ่มกบฏหญิงคนแรกของอินเดีย คือใคร ทำไมเธอจึงยอมจำนนวางอาวุธหลังต่อสู้ยาวนานถึง 25 ปี

ที่มาของภาพ : Shambala Devi/BBC
Article Records
-
- Author, ดิวยา อารยา
- Role, บีบีซี นิวส์ ฮินดี
- Reporting from รายงานจากรัฐเตลังคานา
ชัมบาลา เทวี ยื่นภาพถ่ายของตนในวัยสาวให้ผู้สื่อข่าวดู เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงขายาว มือข้างหนึ่งถือปืนไรเฟิลจู่โจม AK-47 ข้อมือสวมนาฬิกา และมีวิทยุสื่อสารคาดอยู่ที่เข็มขัด
ภาพถ่ายนี้เป็นหนึ่งในเพียงสองภาพที่เธอมีจากช่วงเวลานั้น ภาพนี้ถ่ายไว้เมื่อปี 2000 ซึ่งเป็นปีที่เธอได้กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาในขบวนการลุกฮือของลัทธิเหมาซึ่งใช้กำลังอาวุธในอินเดีย
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอเปลี่ยนชื่อมาแล้วหลายครั้ง ในช่วงที่เข้าร่วมขบวนการ เธอใช้ชื่อว่า เทวักกะ ซึ่งเป็นชื่อที่เธอเลือกใช้ในกลุ่มนักรบ ก่อนหน้านั้นเธอมีชื่อว่า วัตติ อาดิเม
เธอสละอาวุธและยอมจำนนในปี 2014 และเมื่อผู้สื่อข่าวพบเธอ เธอสวมส่าหรีสีฟ้าอมเขียว ผูกชายผ้าขึ้นสูงเพื่อไม่ให้เปียกขณะซักผ้า ปัจจุบันเธออายุ 50 ปี ชงชาให้ผู้สื่อข่าวดื่ม ก่อนจะหยิบเคียวขึ้นมาทำงานในไร่ของเธอ
ในความขัดแย้งส่วนใหญ่ บทบาทของผู้หญิงมักถูกกล่าวถึงเพียงเล็กน้อย ต่างจากราวินเดอร์ สามีของเธอ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาลัทธิเหมา ขณะที่เขามีภาพถ่ายและวิดีโอบันทึกเรื่องราวไว้มากมาย ทว่าข้อมูลเกี่ยวกับเทวีกลับมีอยู่น้อยมาก เดิมทีเธอลังเลที่จะเล่าเรื่องราวของตน แต่ในที่สุดก็ยอมให้สัมภาษณ์ที่หมู่บ้านของเธอ
ในยุคที่มีผู้หญิงเพียงไม่กี่คนในกองกำลังลัทธิเหมา เทวีเลือกละทิ้งชีวิตบ้าน ๆ ในหมู่บ้าน เพื่อเข้าสู่สงครามกองโจรและแนวคิดการเมืองสุดโต่ง

“พวกเราไม่มีที่ดิน ยากจน และมักจะต้องอดอยาก ไม่มีแม้แต่การเข้าถึงบริการสาธารณสุขขั้นพื้นฐาน” เทวีกล่าว “เมื่อเราพยายามไถที่ดินในป่าเพื่อทำกิน เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็เข้ามาทำร้ายพวกเรา โดยร่วมมือกับตำรวจ”
การทำเกษตรในพื้นที่ป่าเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และประชาชนในพื้นที่รวมถึงนักเคลื่อนไหวหลายคนระบุว่ามีการขับไล่ด้วยความรุนแรงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
เทวีเล่าว่าเธออายุเพียง 13 ปี เมื่อเห็นพ่อของเธอถูกเจ้าหน้าที่ป่าไม้ทำร้ายซ้ำแล้วซ้ำเล่า และถูกตำรวจจับขัง เธอจึงตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อเข้าร่วมเส้นทางแห่งความรุนแรง “หนทางเดียวที่เสียงของเราจะถูกได้ยิน คือการถือปืน” เธอกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวตั้งคำถามว่าเหตุใดชาวบ้านจึงไม่ร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจ เทวีตอบว่า “ตำรวจไม่เคยฟังเราเลย” และว่า “เจ้าหน้าที่ป่าไม้จะถอยก็เมื่อพวกกลุ่มลัทธิเหมาเข้ามาเท่านั้น”
เธอเข้าร่วมกลุ่มกบฏในปี 1988 ในช่วงที่ขบวนการลัทธิเหมาเฟื่องฟูที่สุดราวกลางทศวรรษ 2000 มีสมาชิกหลายพันคนกระจายอยู่ใน 10 รัฐ โดยมีฐานที่มั่นอยู่ในพื้นที่ป่าห่างไกลทางตอนกลางและตะวันออกของอินเดีย ขบวนการนี้ยึดแนวคิดของเหมา เจ๋อตง ผู้นำปฏิวัติของจีน ที่เน้นการทำสงครามของประชาชนเพื่อต่อต้านอำนาจรัฐ
ขบวนการนี้ยังเป็นที่รู้จักในชื่อ “ขบวนการนักซาไลต์” (Naxalite circulation) ซึ่งตั้งชื่อตามการลุกฮือของชาวนาในหมู่บ้านนักซัลบารี รัฐเบงกอลตะวันตก เมื่อปี 1967 การลุกฮือที่เต็มไปด้วยความรุนแรงครั้งนั้นมีจังหวะขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา และอ่อนกำลังลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีมานี้
กลุ่มกองโจรที่นำขบวนการนี้อ้างว่าต่อสู้เพื่อให้มีการกระจายที่ดินอย่างเป็นธรรมแก่ชุมชนยากจน และเพื่อสร้างสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ด้วยการโค่นล้มรัฐบาลผ่านการต่อสู้ด้วยอาวุธ
พวกเขากล่าวว่ารัฐบาลทอดทิ้งพื้นที่ชนบทมานานหลายทศวรรษ และกำลังเปิดประมูลพื้นที่ป่าให้กับบรรษัทเอกชน ขณะที่รัฐบาลโต้แย้งว่าชุมชนเหล่านี้ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ไม่สามารถทำเกษตรได้อย่างถูกกฎหมาย และการพัฒนาอุตสาหกรรมจะนำมาซึ่งความเจริญและการจ้างงาน

ที่มาของภาพ : Shambala Devi
เมื่อเดือน มิ.ย. ปีนี้ อามิต ชาห์ รัฐมนตรีมหาดไทยของอินเดีย เรียกขบวนการนักซาไลต์ว่าเป็น “หายนะครั้งใหญ่สำหรับพื้นที่ชนเผ่ายากจน” และกล่าวว่าขบวนการนี้ทำให้ประชาชนในพื้นที่เหล่านั้น “ขาดแคลนปัจจัยพื้นฐาน เช่น อาหาร ไฟฟ้า การศึกษา ที่อยู่อาศัย ห้องน้ำ และน้ำดื่มสะอาด”
ในช่วงที่ผ่านมา กองกำลังความมั่นคงได้เพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติการโจมตีกลุ่มลัทธิเหมา ภายใต้นโยบาย “ไม่อดทนอดกลั้น” ที่รัฐบาลประกาศใช้กับกลุ่มกบฏที่ไม่ยอมจำนน โดยอามิต ชาห์ ประกาศว่า “อินเดียจะปลอดจากขบวนการนี้” ภายในวันที่ 31 มี.ค. 2026
แม้จะไม่สามารถตรวจสอบข้อกล่าวอ้างของเทวีได้อย่างอิสระ เนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1980 แต่เธอเล่าว่า ในฐานะนักรบกบฏ เธอต้องเคลื่อนย้ายข้ามรัฐอยู่ตลอดเวลาและนำหน่วยรบขนาด 30 คน ซึ่งมีเป้าหมายในการซุ่มโจมตีและสังหารเจ้าหน้าที่ความมั่นคง
“ฉันจำได้ดีถึงครั้งแรกที่เป็นผู้นำการซุ่มโจมตี” เธอกล่าว “ฉันวางกับsะเบิดหนัก Forty five กิโลกรัม และsะเบิดรถหุ้มเกราะจนเจ้าหน้าที่เสียชีวิต”
เธอดูเหมือนจะภาคภูมิใจกับการซุ่มโจมตีที่เคยนำ และชัดเจนว่าเธอไม่รู้สึกเสียใจต่อการสังหารเจ้าหน้าที่เหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำถึงจำนวนชีวิตที่เธอพรากไป เทวีแสดงความเสียใจต่อพลเรือนที่เธอเคยสังหาร โดยระบุว่าเธอเข้าใจผิดคิดว่าบางคนเป็นสายของตำรวจ และบางคนเสียชีวิตจากการโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังเจ้าหน้าที่
“มันรู้สึกผิด เพราะเราฆ่-าคนของเราเอง ครั้งนั้นฉันจะไปที่หมู่บ้านของพวกเขาและขอโทษครอบครัวของพวกเขา” เธอกล่าว
เธอจำได้ว่าหน่วยของเธอเคยสังหารพลเรือนคนหนึ่งที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของเจ้าหน้าที่ และถูกลูกหลงจากการซุ่มโจมตี
เธอเล่าว่าแม่ของชายคนนั้นโกรธมากและร้องไห้ ถามว่าทำไมถึงวางแผนโจมตีในเวลากลางคืนซึ่งทำให้แยกแยะพลเรือนกับเจ้าหน้าที่ได้ยาก ขณะที่เทวีบอกว่าพวกเธอมักโจมตีในยามค่ำคืนเพราะจะสร้างผลกระทบได้มากกว่า
เทวีบอกว่าเธอไม่รู้ว่าตนเองสังหารคนไปกี่คน แต่ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่ความมั่นคงกับกลุ่มลัทธิเหมาได้คร่าชีวิตผู้คนไปหลายพันคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจากกลุ่มชนเผ่า

ตามข้อมูลจาก South Asia Terrorism Portal ซึ่งเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ที่สุดเกี่ยวกับการก่อการร้ายและสถานการณ์ความขัดแย้งในภูมิภาคเอเชียใต้ มีผู้เสียชีวิตราว 12,000 คนตั้งแต่ปี 2000 โดยในจำนวนนี้รวมถึงสมาชิกกลุ่มลัทธิเหมาอย่างน้อย 4,900 คน พลเรือน 4,000 คน และเจ้าหน้าที่ความมั่นคงอีก 2,700 คน
แม้จะมีความรุนแรงและเสียงวิจารณ์จากผู้ที่สูญเสียคนใกล้ตัว เทวีบอกว่าชาวบ้านในพื้นที่มักให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏ โดยมอบอาหารและสิ่งจำเป็นให้ เธอเชื่อว่าหลายชุมชนชนเผ่ามองกลุ่มลัทธิเหมาเป็นผู้ช่วยเหลือ และในพื้นที่ที่กลุ่มกบฏสามารถควบคุมได้ เธอกล่าวว่าพวกเขาได้จัดสรรที่ดินป่าอย่างเป็นธรรม และช่วยให้ประชาชนเข้าถึงน้ำและบริการสาธารณสุข ซึ่งคำกล่าวนี้ได้รับการยืนยันจากชาวบ้านบางคนเช่นกัน
ความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจจากการทำสงครามกองโจรเป็นสิ่งใหม่สำหรับเทวี เธอไม่เคยพูดคุยกับผู้ชายในที่สาธารณะมาก่อน จึงต้องเรียนรู้วิธีสั่งการและออกคำสั่ง เธอกล่าวว่าผู้ชายให้ความเคารพเธอ เพราะเห็นว่าเธอไต่เต้าขึ้นมาได้ด้วยตนเอง
หน้าที่ของผู้หญิงคือการการตักน้ำใส่ภาชนะในแต่ละวันซึ่งเธอพบว่าเป็นงานที่หนักหนายิ่ง เพราะค่ายพักมักตั้งอยู่ห่างจากแหล่งน้ำ และเพื่อหลีกเลี่ยงการตรวจค้นจากเจ้าหน้าที่ความมั่นคง หน่วยรบต้องเคลื่อนย้ายอยู่ตลอด ลุยป่าและภูมิประเทศที่เป็นหินโดยไม่มีเวลาพัก แม้ในช่วงที่เธอมีอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง
แต่เธอก็พูดถึง “การปลดปล่อย” ที่เธอได้รับจากการพิสูจน์ตัวเองและสร้างอัตลักษณ์ตัวตนของเธอขึ้นมา “ผู้หญิงในสังคมชนเผ่าถูกมองว่าเป็นแค่รองเท้าแตะ ไม่มีตัวตนใดนอกจากการเป็นภรรยาหรือแม่ของใครบางคน แต่ในองค์กรลัทธิเหมา เราเป็นที่รู้จักจากสิ่งที่เราทำได้สำเร็จ สำหรับฉัน นั่นคือการได้เป็นผู้บังคับบัญชา” เธอกล่าว
เทวีอ้างว่า หากเธอยังคงอยู่ในบ้านเกิด เธอคงถูกบังคับให้แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย แต่เมื่อกลายเป็นนักรบกลุ่มกบฏ เธอสามารถเลือกคู่ครองของตนเองได้

เมื่อความรุนแรงจากทั้งสองฝ่ายทวีความเข้มข้นขึ้น ทั้งกลุ่มกบฏและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงต่างสังหารผู้คนเพิ่มมากขึ้น เทวีเริ่มตั้งคำถามกับชีวิตของตนเอง เธอรู้สึกว่าการปฏิวัติที่เคยถูกสัญญาไว้ไม่เคยปรากฏให้เห็น
“ฝ่ายเจ้าหน้าที่เพิ่มความเข้มข้นในการค้นหา ส่วนเราก็โจมตีและสังหารมากขึ้นเช่นกัน” เธอกล่าว เทวีติดเชื้อวัณโรคที่กระดูก และต้องหลบซ่อนจากเจ้าหน้าที่ขณะลอบเดินทางอย่างลับ ๆ จากป่าไปยังโรงพยาบาลในเมืองเพื่อรับการรักษา ซึ่งเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจละทิ้งชีวิตแบบเดิม
“การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราขยายขบวนการไปทั่วประเทศ แต่เราหมดแรง อิทธิพลของเราหดตัว และการสนับสนุนจากประชาชนก็ลดลง” เธอกล่าว พร้อมเสริมว่าการประเมินภายในพบว่าสมาชิกกลุ่มลดลง
ชุมชนห่างไกลที่เคยมองกลุ่มลัทธิเหมาเป็นที่พึ่ง เริ่มเชื่อมโยงกับโลกภายนอกมากขึ้นด้วยโทรศัพท์มือถือและโซเชียลมีเดีย ขณะที่เจ้าหน้าที่ความมั่นคงนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น โดรน มาใช้ในการผลักดันกลุ่มกบฏออกจากหมู่บ้าน ทำให้พวกเขาต้องล่าถอยลึกเข้าไปในป่า
หลังจากใช้ชีวิตในป่ามานานถึง 25 ปี เทวีสละอาวุธในปี 2014 ภายใต้นโยบายการยอมจำนนของรัฐบาล ซึ่งเปิดโอกาสให้สมาชิกกลุ่มลัทธิเหมาเลิกใช้อาวุธโดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่กลับมาเข้าร่วมขบวนการอีก แลกกับเงิน ที่ดิน และสัตว์เลี้ยงเพื่อยังชีพ

ปัจจุบัน เทวีใช้ชีวิตแบบชาวบ้านในชนบทที่เธอเคยหลบหนีจากมา
เมื่อเธอและสามียอมจำนน พวกเขาได้รับที่ดิน เงิน และฝูงแกะจำนวน 21 ตัว ในราคาที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาล
นโยบายการยอมจำนนไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่าจะมีการอภัยโทษให้กับสมาชิกกลุ่มลัทธิเหมา แต่จะพิจารณาเป็นรายกรณีเกี่ยวกับการดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งคู่ระบุว่าไม่มีคดีความเกี่ยวกับความรุนแรงหลงเหลืออยู่ และไม่มีหลักฐานในรายงานทางการที่ระบุว่ามีคดีใด ๆ
ตามข้อมูลของรัฐบาลกลาง มีสมาชิกกลุ่มลัทธิเหมา 8,000 คนที่ยอมจำนนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา แต่ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าปัจจุบันยังเหลืออยู่กี่คน หรือแม้แต่จำนวนสมาชิกทั้งหมดในช่วงที่ขบวนการเฟื่องฟูที่สุด
หลังจากยอมจำนน เทวีได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาหมู่บ้านในตำแหน่งผู้แทนเขต ซึ่งมีหน้าที่นำเสนอปัญหาไปยังหัวหน้าหมู่บ้าน และช่วยดำเนินโครงการของรัฐ “ฉันอยากรู้ว่าการทำงานร่วมกับรัฐบาลเป็นอย่างไร” เธอกล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเธอคิดอย่างไรกับคำประกาศของรัฐบาลที่ว่าจะกำจัดกลุ่มกบฏทั้งหมดภายในสิ้นเดือน มี.ค. หน้า
เทวีหยุดคิดครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “แม้ขบวนการจะพ่ายแพ้ในท้ายที่สุด แต่ประวัติศาสตร์ก็ได้ถูกสร้างขึ้น โลกได้เห็นการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ และมันอาจเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ในที่ใดที่หนึ่งลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อสิทธิของตน”
“พวกเขาอาจสังหารผู้นำได้ด้วยการเล็งเป้า… แต่ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะฆ่-าทุกคนได้ ฉันไม่คิดว่าพวกเขาจะกำจัดขบวนการนี้ได้หมดสิ้น”
แต่เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าเธอจะส่งลูกสาววัย 8 ขวบเข้าร่วมขบวนการในอนาคตหรือไม่ คำตอบของเธอชัดเจน
“ไม่ค่ะ” เธอกล่าว “เราจะใช้ชีวิตแบบที่สังคมในที่นี้เป็นอยู่นี่ล่ะ”
ที่มา BBC.co.uk