เปิดใจนักข่าวออสเตรเลียผู้วิพากษ์ทางการมาเลเซีย ที่เพิ่งถูกจับกุมในไทย

ที่มาของภาพ : Murray Hunter

นายฮันเตอร์ ถูกปล่อยตัวชั่วคราว ด้วยวงเงินประกัน 20,000 บาท

เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 29 ก.ย. นายเมอร์เรย์ ฮันเตอร์ นักข่าวชาวออสเตรเลียถูกตำรวจไทยจับกุมที่สนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยข้อหาหมิ่นประมาทหน่วยงานภาครัฐของมาเลเซีย แต่ต่อมาได้รับการปล่อยตัวหลังศาลให้ประกันตัว แต่เจ้าหน้าที่ยังยึดหนังสือเดินทางของเขาไว้ โดยมีกำหนดการขึ้นศาลไต่สวนในวันที่ 17 พ.ย. นี้

ผู้สื่อข่าววัย 66 ปี เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้.ฟังว่า “ก่อนที่เขาจะได้เดินทางไปยังฮ่องกงกับคนรัก ก็มีพนักงานตรวจคนเข้าเมืองสองคนดักรอผมอยู่” ก่อนที่เขาจะถูกควบคุมตัวไปที่ห้องกักตัว เพื่อรอตำรวจมานำตัวเขาไปแจ้งข้อหาและนำฝากขังที่ สน. ยานนาวา

“ผมตกใจมาก นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ผมไม่ได้ทำอะไรผิดในประเทศไทย นี่พวกเขาตั้งข้อหาผมเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทองค์กรที่ไม่มีในประเทศไทยอย่างนั้นหรือ” เขาอธิบายถึงความรู้สึกแรกเมื่อถูกตำรวจไทยควบคุมตัวและแจ้งข้อกล่าวหา

“พวกเขา ตำรวจไทย บอกว่า ผมถูกจับกุมและพรุ่งนี้ผมต้องไปศาล และคุณจะต้องไปห้องขังตอนนี้ และผมก็อยู่ในห้องขังจนถึงเช้าวันต่อมา (30 ก.ย.)” นายฮันเตอร์เล่า

. ได้เห็นคำร้องขอหมายขังนายฮันเตอร์ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ โดยพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาล (สน.) ยานนาวาเป็นผู้ร้อง โดยระบุถึงพฤติการณ์แห่งคดีคือ เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. 2567 ว่า ผู้กล่าวหาใช้งานโทรศัพท์มือถือของตนเองและพบข้อความที่ปรากฏบนเว็บไซต์ของนายฮันเตอร์ หมิ่นประมาทคณะกรรมาธิการการสื่อสารและสื่อประสมแห่งประเทศมาเลเซีย (The Malaysian Communique and Multimedia Payment – MCMC) และ “ผู้กล่าวหาเชื่อโดยสุจริตว่าข้อความที่อาจเข้าข่ายเป็นการหมิ่นประมาทผู้เสียหาย” ทำให้ผู้กล่าวหา “ได้รับมอบอำนาจให้มาแจ้งความร้องทุกข์ดำเนินคดี” กับนายฮันเตอร์ โดยผู้ต้องหารับทราบข้อกล่าวหา แต่ “ปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา”

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

ได้รับความนิยมสูงสุด

ในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งลงวันที่ 29 ก.ย. 2567 ระบุด้วยว่า นายฮันเตอร์ ได้เผยแพร่ข้อความจำนวนสี่บทความ “ที่น่าจะทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย อาจดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง” เช่น ข้อความในบทความเรื่อง ” The ๓RS are an instrument of tyranny for Malaysia” ที่อาจแปลเป็นไทยได้ว่า “ระบอบ ๓RS เป็นเครื่องมือทรราช์ในมาเลเซีย”

โดยในบทความมีข้อความระบุว่า “MCMC ภายใต้การสั่งการของซาลิมยังได้สั่งปิดกั้นผู้วิจารณ์ถึง MRCB ซึ่งเป็นบริษัทของตน ซาลิม อันแสดงถึงผลประโยชน์ทับซ้อนและการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบอย่างเห็นได้ชัด…”

อีกหนึ่งในข้อความที่ถูกระบุในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา คือ “MCMC กำลังทำลายประชาธิปไตย และปิดปากผู้แจ้งเบาะแสการกระทำความผิดที่มีเจตนาบริสุทธิ์ในการเปิดโปงการทุจริตคอร์รัปชัน MCMC ไม่อาจตั้งตนเป็นกองกำลังตำรวจไซเบอร์อันเอื้อประโยชน์ส่วนบุคคลมากกว่าประโยชน์ของประเทศชาติได้”

มีข้อความอื่นอีกหลายรายการที่นายฮันเตอร์เขียนวิจารณ์ถึงหน่วยงาน MCMC ของมาเลเซียที่ถูกระบุในบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหา

“เป็นการกระทำที่แปลกประหลาดมาก”

เขาเล่าว่า ศาลได้อนุญาตให้ประกันตัว ด้วยวงเงิน 20,000 บาท ด้วยเงื่อนไขว่า เขาต้องมาขึ้นศาลในวันที่ 17 พ.ย. นี้ แต่ปัจจุบันหนังสือเดินทางของเขายังถูกยึดโดยทางการไทย

“เพื่อนผมที่มาจากองค์การนอกภาครัฐ บางคนเป็นทนาย บอกกับผมว่ากรณีนี้มันเป็นการกระทำที่น่าประหลาดมาก ตอนนี้ไม่มีนักข่าวหรือนักวิชาการต่างชาติคนไหนปลอดภัยในไทย หรือในประเทศอื่น ๆ ในอาเซียน” นายฮันเตอร์ นักเขียนที่อาศัยอยู่ในไทยมานานกว่า 20 ปี ระบุ

เขาเล่าต่อว่า “หากพวกเขา รัฐบาลในชาติอาเซียน กำลังร่วมมือกันเพื่อปราบปรามผู้เห็นต่าง นักกิจกรรม และนักข่าว นั่นก็เป็นแบบอย่างที่อันตรายมากสำหรับอาเซียน”

นายฮันเตอร์เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในประเทศมาเลเซีย ในฐานะนักวิจารณ์นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย โดยเขาหยิบยกประเด็นเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน และวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลมาเลเซียอย่างตรงไปตรงมา

เขายังเคยเป็นรองศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยมาเลเซียเปอร์ลิส และเคยทำงานร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาการเกษตรแห่งมาเลเซีย และเป็นนักวิจัยรับเชิญที่สถาบันพัฒนาการศึกษา ในรัฐซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย เป็นเวลาหลายปี นอกจากนี้ เขายังเป็นศาสตราจารย์รับเชิญประจำมหาวิทยาลัยหลายแห่งอีกด้วย

ปัจจุบันบล็อกส่วนตัวของนายฮันเตอร์ยังถูกปิดกั้นโดยทางการมาเลเซียมาเป็นเวลาสองปีกว่าแล้ว

ทว่าปัจจุบันนายฮันเตอร์ บอกกับบีบีซีด้วยว่า ตำรวจไทยห้ามไม่ให้เขาเขียนบทความ และบอกให้เขาอยู่ อยู่อย่าง “เงียบ ๆ” และนั่นทำให้เขารู้สึก “เหนื่อยหน่าย”

ปัจจุบัน นายฮันเตอร์ ยังไม่แน่ใจว่าเขา “จะทำอย่างไรต่อไป” เพราะหนังสือเดินทางของเขาที่ถูกทางการยึดไป ทำให้เขาไม่สามารถพักในโรงแรมหรือเดินทางด้วยเครื่องบินได้ โดยบ้านพักของเขาในไทยอยู่ที่จังหวัดในภาคใต้ แต่ปัจจุบันเขายังอาศัยอยู่กับคนรู้จักในกรุงเทพฯ

ทั้งนี้ .ติดต่อผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแล้วเพื่อขอความเห็นและรายละเอียดในเรื่องนี้ แต่จนถึงขณะที่เผยแพร่บทความนี้ยังไม่ได้รับคำตอบ

จุดประเด็น “การกดปราบข้ามพรมแดน” ทวีความรุนแรงขึ้นหรือไม่

ที่มาของภาพ : Romadon Panjor

ที่ปรึกษาฮิวแมนไรต์วอทช์ ประจำประเทศไทยยกตัวอย่างกรณีที่เคยเกิดการกดปราบข้ามพรมแดนในไทยในอดีต เช่น การส่งชาวอุยกูร์กลับไปจีน เมื่อเดือน ก.พ. 2568

นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาฮิวแมนไรต์วอทช์ ประจำประเทศไทย ให้สัมภาษณ์กับ. โดยเขาเรียกการจับกุมนักข่าวชาวออสเตรเลียรายนี้ว่าเป็นการ “กดปราบข้ามพรมแดน”

เขาอธิบายว่านี่คือการร่วมมือหรือการทำตามคำขอของทางการต่างชาติในการติดตามตัวผู้วิพากษ์วิจารณ์ต่อรัฐบาล นักการเมือง หรือหน่วยงานของรัฐ

“รูปแบบที่เกิดขึ้นที่ผ่านมา ทางการไทยจะไม่พิจารณาถึงข้อกังวลเกี่ยวกับความตรงไปตรงมาของการกล่าวหาเกี่ยวกับการควบคุมตัว การดำเนินคดีในประเทศที่ต้องการตัวบุคคลคนเหล่านั้นว่าเป็นกระบวนการที่โปร่งใส หรือละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่” นายสุณัยระบุ

เขายกตัวอย่างถึงกรณีที่เคยเกิดการกดปราบข้ามพรมแดนในไทยในอดีต เช่น การหายตัวไปของผู้ลี้ภัยชาวลาว เวียดนาม หรือกัมพูชาที่อาศัยอยู่ในไทย รวมไปจนถึงการส่งชาวอุยกูร์กลับไปจีนด้วย

“ตั้งแต่ยุคของระบอบเผด็จการทหาร แล้วพอเปลี่ยนผ่านมาเป็นรัฐบาลพลเรือน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐา แพทองธาร แล้วก็ล่าสุดคือ อนุทิน การปฏิบัติในลักษณะนี้ยังคงดำเนินอยู่อย่างต่อเนื่อง” เขาอธิบาย

เขาเน้นย้ำด้วยว่า ไทยในฐานะที่เป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติควรให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน

“เราต้องไม่ลืมว่าไทยเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนของยูเอ็น แต่ว่ากลับทำการละเมิดหลักสื่อมวลชนที่ร้ายแรงที่สุดประเด็นหนึ่ง” นายสุณัยกล่าว

เรเชล โชอา-โฮเวิร์ด นักวิจัยจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวกับบีบีซีว่า การจับกุมนายฮันเตอร์ ถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากและองค์กรแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล “คัดค้านคดีหมิ่นประมาททางอาญาทั้งหมด และข้อกล่าวหาต่อนายฮันเตอร์เกี่ยวกับงานของเขาควรถูกถอนโดยทันที”

เธอระบุด้วยว่า ความเป็นไปได้ของการร่วมมือกันระหว่างทางการไทยและมาเลเซีย ในการจับกุมนักข่าวรายนี้ “บ่งชี้ให้เห็นถึงตัวอย่างล่าสุดของการกดปรามข้ามพรมแดนในภูมิภาคที่เพิ่มมากขึ้น”

เธออธิบายว่า รัฐบาลในประเทศสมาชิกอาเซียนกำลังให้ความสำคัญด้านสิทธิมนุษยชนน้อยลงด้วยการใช้วิธีกดปราบข้ามชาติดังที่เห็นในกรณีนี้

“รัฐบาลชาติอาเซียนให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการทูตมากขึ้นเรื่อย ๆ เหนือพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชน โดยปราบปรามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและผู้วิจารณ์รัฐบาลในระดับนานาชาติ และรูปแบบที่น่ากังวลนี้จำเป็นต้องหยุดลง” เธอกล่าวทิ้งท้าย