
‘นัดเมื่อไรต้องมีใครเท' เราจะหยุดนิสัยเงียบหาย (ghosting) กับเพื่อนในวัยผู้ใหญ่ได้อย่างไร ?

ที่มาของภาพ : Getty Images/BBC
“เราต้องมาเจอสักทีนะ” วลีที่แทบจะเป็นสากลที่เกิดขึ้นในมิตรภาพระหว่างเพื่อนฝูง มันเป็นวลีที่ทั้งเราเองต่างก็เป็นทั้งคนส่งและเป็นคนที่ได้รับมัน
เราหมายถึงเช่นนั้นจริง ๆ ในขณะที่พูดคำนั้นด้วยความตั้งใจอย่างดีที่สุด แต่เมื่อต้องเลือกระหว่างการงาน ครอบครัว และรายการบัญชีที่ต้องทำอันไม่มีที่สิ้นสุด การนัดพบกันแบบง่าย ๆ อาจกลายเป็นฝันร้ายด้านการจัดการก็เป็นได้
ใช่แล้ว เราต้องนัดเจอกัน แต่เราก็แทบไม่ได้ทำตามที่บอกกันไว้เลย
นั่นอธิบายได้ว่าเหตุใดงานศึกษาจึงพบว่าเราจะสูญเสียเพื่อนฝูงไปราวครึ่งหนึ่งในทุก ๆ 7 ปี
ดร.มาริซา ฟรังโก นักจิตวิทยา กล่าวว่า ไม่ใช่ว่าอยู่ ๆ เราก็ “จริตเข้ากันไม่ได้” โดยทันที แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์เปลี่ยนแปลงไปตามช่วงชีวิตที่เปลี่ยนไป
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
ได้รับความนิยมสูงสุด
ดอลลี่ อัลเดอร์ตัน กล่าวว่า การใช้ชีวิตคบหากับคู่รัก การแต่งงาน การโฟกัสไปที่การงานอาชีพหรือการเริ่มสร้างครอบครัว มิตรภาพจึงกลายเป็น “ส่วนที่ง่ายที่สุดที่จะเกิดความเสียหายข้างเคียงโดยไม่ได้ตั้งใจ” ไม่ว่าทั้งผู้ชายหรือผู้หญิง
ดังนั้นคำถามจึงกลายเป็นว่าเราจะรักษาความใกล้ชิดเดิม ๆ ในชีวิตเราด้วยเวลาที่น้อยลงควบคู่กันไปอย่างไร
แคลร์ โคเฮน ผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ซึ่งเพิ่งจะมีลูกชายหนึ่งคนและเป็นผู้เขียนหนังสือ BFF? The Fact About Female Friendship แปลได้ว่า เพื่อนรักตลอดไป ? ความจริงเกี่ยวกับมิตรภาพของเพื่อนผู้หญิง กำลังมีประสบการณ์นี้ด้วยตัวเอง
เธอพบว่าเธอเผชิญกับสภาวะสับสนในตัวตนระหว่างการคบหากับเพื่อนเก่าและเพื่อนใหม่ที่เป็นกลุ่มคุณแม่ที่เธอพบในช่วงการเข้าคลาสเตรียมพร้อมเป็นคุณแม่ช่วงฝากครรภ์
แคลร์กล่าวว่าเธอต้องการกลุ่มเพื่อนที่ครบวงจร ไม่ใช่แค่ใครที่มารู้จักในระหว่างที่เธอ “เป็นคนใหม่” เท่านั้น
เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ เธอก็จริงใจกับตัวเองมากขึ้น เปราะบางขึ้น และสรรหาวิธีในการรักษามิตรภาพในช่วงชีวิตเปลี่ยนผ่านอันท้าทายช่วงนี้
ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่แคลร์รู้ตัวว่าเธอไม่ได้ถูกเชิญไปร่วมงานสังคมเมื่อไม่นานมานี้ เธอติดต่อกลับไปอย่างสุภาพและอธิบายว่าเธอยังอยากถูกเชิญไปงานแบบนี้อยู่ ถึงแม้ว่าเธอจะกลายเป็นคุณแม่แสนยุ่งแล้วก็ตาม

ที่มาของภาพ : Getty Images
ความจริงใจเปิดเผยของเธอช่วยเปิดบทสนทนาขึ้น แคลร์บอกว่าเพื่อนของเธอคนนั้น “สบายใจ” และบอกว่าเธอแค่พยายาม “ทำตัวมีน้ำใจ” โดยการเว้นระยะห่างให้แคลร์ได้มีพื้นที่ส่วนตัว แต่ไม่รู้เลยว่าการกระทำนั้นทำให้แคลร์รู้สึกเจ็บปวด
เมื่อมิตรภาพได้รับการยืนยันอีกครั้ง พวกเธอก็หาเวลาใช้เวลาร่วมกัน แม้จะเป็นเพียง “การเชื่อมโยงกันอย่างธรรมดา ๆ” อย่างการเก็บกวาดบ้านด้วยกันก็ตาม
ประสบการณ์ของแคลร์แสดงให้เห็นว่า การสื่อสารคือกุญแจสำคัญ
วิทยาศาสตร์เน้นถึงความสำคัญของมิตรภาพ เชื่อว่าการมีวงสังคมที่กว้างขวางช่วยลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ถึง 45% เป็นสัดส่วนเกือบเท่า ๆ กับอาหารการกินและการออกกำลังกายรวมกัน
มันเป็นแนวคิดที่ต่อสู้กับสิ่งที่ ดร.ฟรังโก เรียกว่า “ความเหงาจากความสัมพันธ์” (relational loneliness) ซึ่งหมายถึงการสูญเสียความผูกพันธ์ลึกซึ้งทางอารมณ์อันจำเป็นต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์ที่ดีต่อสุขภาพจิตใจ
“แม้ว่าคุณจะอยู่ใกล้กับคน ๆ หนึ่ง และคุณก็ชอบคน ๆ นั้นมาก แต่ก็อาจจะยังรู้สึกโดดเดี่ยวได้หากว่าคุณไม่มีเพื่อน” ดร.ฟรังโกกล่าว
โอบรับความยุ่งเหยิvในชีวิต
การเปิดพื้นที่ให้กับมิตรภาพในขณะที่ชีวิตของเรากำลังอยู่ในจังหวะชีวิตที่เปลี่ยนไปนั้น เราจำเป็นต้องยอมรับว่าเราอยู่ในสถานการณ์แวดล้อมที่เปลี่ยนไปและยอมรับความรู้สึกไม่สบายใจนั้นด้วย
จูเลีย ซามูเอลส์ นักจิตวิทยา กล่าวว่า นั่นหมายถึงการต้อนรับเพื่อนฝูงเข้าสู่ชีวิตอันยุ่งเหยิvของเรามากกว่าจะรอให้ถึงช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบที่สุด
การไปออกกำลังกายที่ยิม การไปทำธุระต่าง ๆ การไปซื้ออาหารกับลูก กิจกรรมเหล่านี้ให้นำเพื่อนคุณไปด้วย
ซามูเอลส์ กล่าวเสริมด้วยว่า เพื่อให้มิตรภาพดำรงอยู่ได้ เราต้องเปิดพื้นที่ให้ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่สั้นแค่ไหน หรือในสถานการณ์ที่แปลกแค่ไหนก็ตาม
“ถ้าพวกเขาทำไม่ได้ ก็แปลว่าทำไม่ได้ แต่จงจดไว้ในตารางนัดหมาย”
การทำเช่นนี้ทำให้เราสามารถพบเจอกันแบบตัวเป็น ๆ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเห็นด้วยว่าควรจัดลำดับความสำคัญให้กับเรื่องนี้ แม้ว่าเราจะกำลังอยู่ในยุคของการส่งข้อความสั้นก็ตาม
แคลร์เห็นด้วยกับทัศนะนี้ โดยเฉพาะตั้งแต่เมื่อเธอคลอดลูก แม้ข้อความทางวอตส์แอปจะช่วยให้เราติดต่อกันได้และบอกผู้คนได้ว่าเราคิดอย่างไร แต่เธอก็พบว่าการส่งข้อความทางนี้เป็นการทดแทนที่ “ไม่น่าพอใจ” อย่างยิ่งในช่วงลาคลอด
ดร.ฟรังโก กล่าวว่ามันเป็นหลุมพรางที่พวกเราจำนวนมากขึ้นต่างก็ตกลงไปตั้งแต่ยุคการระบาดของโควิด การล็อกดาวน์ทำให้ “ความเปลี่ยวเหงาที่เรียนรู้จะอยู่กับมันมา” ถูกทำให้เป็นเรื่องปกติมากขึ้น และมองว่าการแยกตัวเป็นสิ่งที่ยอมรับได้โดยพื้นฐาน ซึ่งมันเกิดขึ้นควบคู่ไปกับการพึ่งพาการสื่อสารเสมือนจริงที่มากเกินไป
เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ เธอกล่าวว่าเราจำเป็นต้องจดจำไว้ว่าการเข้าสังคมมันก็เหมือนกับกล้ามเนื้อ ยิ่งเราทำมากเท่าไร เราก็จะเข้าสังคมได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
สำหรับคนที่ต้องผลักดันตัวเองอย่างมากในการก้าวเดินออกจากประตูบ้าน ดร.ฟรังโก แนะนำว่าให้พยายามปรับความคิดว่าตัวเราในอนาคตจะมีความสุขมากเท่าไรกับการออกไปพบปะผู้คน มากกว่าการจะรู้สึกกังวลกลัวล่วงหน้า
“เมื่อมันเป็นเรื่องการเชื่อมโยงทางสังคม เราประเมินความสุขที่เราได้รับต่ำเกินไป และประเมินคุณค่าที่เราได้รับต่ำเกินไป” เธออธิบาย
เพื่อนรักตลอดไป ?
ดังนั้นแล้วคุณควรจะทำอย่างไรเพื่อฟื้นความสัมพันธ์กลับมาใหม่ ?
ดร.ฟรังโกแนะว่าให้ส่งข้อความหรือข้อความเสียงเป็นจุดเริ่มต้น โดยอาจเน้นความทรงจำพิเศษเพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์
เวลาทำเช่นนั้น เธอบอกว่าจำเป็นต้องจดจำว่าคนเรามี “ช่องว่างความชอบ (liking gap)” หรือการที่บางครั้งเราคิดว่าคนอื่นไม่ชอบเรา ทั้งที่จริง ๆ เขาอาจไม่ได้คิดแบบนั้นเลย
เราจำเป็นต้องคิดกับมิตรภาพว่ามันเป็นสิ่งที่ “ยืดหยุดได้และไม่ใช่สิ่งเปราะบาง” และเชื่อมั่นว่าความรู้สึกจะไม่ลดน้อยถอยลงเมื่อเรายุ่งหรืออยู่ในช่วงเวลาที่ท้าทาย
ส่วนการพบปะนัดเจอ แคลร์กล่าวว่าให้เป็นการพบปะชนิดที่มีแต่ความสนุกสนาน เช่น การนัดเจอในบุ๊คคลับ หรือคลาสปั้นถ้วยเซรามิก กิจกรรมลักษณะนี้สามารถช่วยลดความเครียดจากการเป็นเจ้าภาพและทำให้เป็นกิจกรรมที่ทำร่วมกันได้
ท้ายที่สุดแล้ว เราจำเป็นต้องเชื่อใจว่าเพื่อนจะอยู่ตรงนั้นเพื่อเราจริง ๆ หรือที่ซามูเอลส์กล่าวว่า
“จงเชื่อว่าคุณเป็นที่ชื่นชอบมากกว่าที่คุณคิด และลองเสี่ยงดูบ้าง”
ที่มา BBC.co.uk