
คุยกับ “คนปักตะกร้า” ธรรมดา ๆ ที่ไม่หวังจะกลายเป็น “เจนนี่สอง”

ที่มาของภาพ : รัชนก สุวรรณเกตุ
Article Files
-
- Author, ปณิศา เอมโอชา
- Role, ผู้สื่อข่าว.
นาทีนี้ไม่มีไลฟ์ติ๊กตอก (TikTok) ช่องไหนในประเทศไทยจะมีผู้ติดตามชมมากเท่ากับช่อง รัชนก สุวรรณเกตุ (@janeydm) หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” อีกแล้ว
นี่คือบัญชีติ๊กตอกที่มียอดผู้ติดตาม 19.9 ล้านบัญชี ณ วันที่ 15 ต.ค. 2568 ทว่าตัวเลขที่น่าสนใจจริง ๆ คือยอดผู้ชมไลฟ์สด และยอดขายที่มาพร้อมกัน
ข้อมูลจากเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์พบว่า เมื่อวันที่ 14 ต.ค. ที่ผ่านมา ณ ช่วงเวลา 19.07 น. รัชนกซึ่งไลฟ์สดขายของอยู่กับดาราหญิงของไทยอย่าง อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ มียอดผู้เข้าชมสดพร้อมกันถึง 1.2 ล้านคน ซึ่งตัวเลขนี้ได้รับการยืนยันจาก TikTok ประเทศไทยแล้ว
นอกจากนี้ ในไลฟ์ดังกล่าว ยังมีการจับเวลาเพื่อขายน้ำหอมแบรนด์หนึ่ง โดยในเวลา 10 นาที มียอดขายสูงถึง 108,000 คำสั่งซื้อ คิดเป็นเงินกว่า 60 ล้านบาท ไทยรัฐออนไลน์ระบุว่า รัชนก ได้ค่าจ้างจากการไลฟ์ครั้งนี้ถึง 5.4 ล้านบาท
นี่เป็นเพียงกรณีตัวอย่างแบรนด์เดียวเท่านั้น ที่ทำยอดขายได้มหาศาลจากการไลฟ์ผ่านช่องทางติ๊กตอกของช่อง รัชนก สุวรรณเกตุ
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
of ได้รับความนิยมสูงสุด
มีบทวิเคราะห์ออกมามากมายหลังเทศกาลไลฟ์ติ๊กตอกขายของของ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” กลายเป็นปรากฏการณ์ที่หลายแบรนด์และหลากคนดังต่างวิ่งเข้าหาเธอ ทั้งพื้นฐานยอดผู้ติดตามเกือบ 20 ล้านคน การเปิดไลฟ์มาราธอนทั้งวันทั้งคืน การสร้างความสัมพันธ์ที่โปร่งใสกับคนดูด้วยการคุยเรื่องราคาต้นทุนกับเจ้าของแบรนด์จริง ๆ กันต่อหน้าผู้ชม หรือแม้แต่กระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่าเธอใช้ประเด็นดราม่ากับแม่ของตัวเองก่อนหน้านี้มาต่อยอดกระแสความสนใจของผู้คน
บทความชิ้นนี้ของ.ไม่ได้จะมาไขความลับใด ๆ จากความสำเร็จของ รัชนก แต่เราจะพาผู้อ่านไปคุยกับ ‘คนปักตะกร้า' ธรรมดา ๆ ที่อยากเข้ามาหารายได้จากช่องทางเดียวกันนี้ โดยไม่หวังว่าจะกลายเป็น ‘เจนนี่สอง' แต่หวังให้มีรายได้เพิ่มเติม “มาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ แล้วก็ค่ากินข้าวเล่นจิปาถะ” รวมถึงทำความเข้าใจระบบนิเวศของการตลาดผ่านตัวแทนแนะนำสินค้า (Affiliate Advertising and marketing)
เส้นทางไลฟ์ขายของของคนธรรมดา

ที่มาของภาพ : หัทยา ภูดี
หัทยา ภูดี วัย 44 ปี เคยใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ และมีอาชีพเป็นบรรณาธิการให้กับสื่อแห่งหนึ่ง อย่างไรก็ดี เส้นทางชีวิตของเธอหักเหและพาให้เธอกลับไปอยู่ที่บ้านเกิดในจังหวัดกาฬสินธุ์
ตอนนี้เธอทำงานเป็นโปรดิวเซอร์ฟรีแลนซ์ให้กับช่องยูทูบช่องหนึ่ง พร้อม ๆ กับทำอาชีพยอดฮิตของคนยุคใหม่นี้ อย่างการเป็นนายหน้าติ๊กตอก (Affiliate) ซึ่งก็คือการทำช่องรีวิวสินค้าจากแบรนด์ของผู้อื่น จากนั้นก็เปิดให้ผู้ชมสามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านลิงก์ที่เธอแชร์ไว้ได้ หรือที่เรียกกันว่าการ “ปักตะกร้า” นั่นเอง
หัทยาเล่าว่าเธอเริ่มคิดปักตะกร้าเมื่อ 3 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับตอนที่ติ๊กตอกประกาศเริ่ม TikTok Shop ในประเทศไทย ซึ่งในตอนแรกแพลตฟอร์มแรกพุ่งเป้าไปที่ร้านค้าก่อน เธอเองด้วยความอยากลองจึงใช้อีเมลตัวเองสมัครเข้าไปเป็นร้านค้าด้วย
ต่อมา เธอพบว่าหากไม่อยากกลายไปเป็นร้านค้าขายสินค้าของตัวเอง เธอยังสามารถทำตัวเป็นเหมือนนายหน้าเพื่อขายของให้กับแบรนด์อื่น ๆ และกินเปอร์เซ็นต์จากยอดขายแทนได้
“ในยุคนั้น ติ๊กตอกการันตีว่าได้ 20% ของยอดขายซึ่งดีมาก เพราะตอนนั้นชอปปี้ให้ไม่เกิน 3% และลาซาด้าก็ไม่ถึง 10%” หัทยาเล่าให้.ฟัง
เธออธิบายต่อไปว่า นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คนจำนวนมากหันมาเล่นในตลาดนี้ เพราะได้รายได้กันจริง ๆ นอกจากนี้ “10 บาทก็ถอนได้ แล้วถอนได้ภายใน 15 วัน หมายความว่า ถ้าทำยอดได้น้อยแค่ 300 บาท แต่ว่าอยากใช้เงินไปกินข้าวก็กดถอนได้เลย”

ที่มาของภาพ : หัทยา ภูดี
ในช่วงแรกที่แพลตฟอร์มติ๊กตอกลงมาแย่งตลาดจากแพลตฟอร์มเจ้าอื่น ๆ หัทยาเล่าว่าผู้ขายหรือร้านค้าเองยังได้ประโยชน์จากนโยบายค่าส่งฟรีที่ติ๊กตอกเป็นผู้แบกค่าใช้จ่ายให้ด้วย ซึ่งปัจจุบันไม่มีนโยบายเช่นนี้อีกต่อไปแล้ว
เธอย้อนเล่าว่า ในช่วงแรก ๆ ที่เริ่มเข้ามาทำคลิปพร้อมปักตะกร้า ก็เริ่มมีผู้คนเข้ามาชมคลิปของเธอจนนำไปสู่ยอดขายจริง โดยในช่วงนั้นสินค้าประเภทน้ำยาเช็ดหน้าจอไอแพดมีค่านายหน้าอยู่ที่ 10% และเธอทำยอดขายได้ราว 30,000 บาท เธอจึงได้เงินค่าคอมมิชชัน/ค่านายหน้ามาทั้งหมด 3,000 บาท
จากจุดเริ่มต้นในวันนั้น หัทยาเริ่มเห็นความเป็นไปได้กับเส้นทางนี้ แม้เธอจะบอกว่ารายได้ของเธอในปัจจุบันยังไม่ถึง 10,000 บาทต่อเดือน
เธออธิบายว่าโดยทั่วไป สัดส่วนการเปลี่ยนจากยอดคนดูเป็นคำสั่งซื้ออยู่ตั้งแต่ 1% ลดลงไปถึง 0.1% แล้วแต่ประเภทสินค้าหรือช่วงเวลาว่า ณ ตอนนั้นมีโปรโมชันต่าง ๆ ด้วยหรือไม่
สำหรับหัทยา เพื่อพยายามรักษารายได้เอาไว้ เธอต้องทำคลิปลงช่องวันเว้นวัน ซึ่งเธอยอมรับว่าจริง ๆ แล้วสำหรับผู้ที่ทำช่องขายของแบบนายหน้าควรจะลงคลิปให้ได้ทุกวันอย่างน้อยวันละหนึ่งคลิป นอกจากนี้ เธอยังไลฟ์ราว 10 ครั้ง/เดือน โดยแต่ละครั้งเธอจะไลฟ์ประมาณ 1-2 ชั่วโมง/ครั้ง โดยการไลฟ์แต่ละครั้งเธอจะเน้นไปที่การพูดคุยเรื่องทั่วไปมากกว่าการตั้งใจขายของ
ตอนนี้หัทยามีช่องติ๊กตอกทั้งหมดสามช่อง โดยช่องแรกนั้นมีชื่อว่า “ออนนี่เอไอ ดึงดูดทรัพย์ด้วยเอไอ” ซึ่งเธอตั้งใจทำคอนเทนต์เกี่ยวกับเอไอและหนังสือพัฒนาตนเอง เธอใช้ช่องนี้เป็นประตูในการขายหนังสือพัฒนาตัวเองต่าง ๆ ช่องที่สองคือ “ติ๊กต่อก ตั้งใจรวยอยู่บ้านนอก” เน้นคอนเทนต์งานบ้าน จิปาถะ และช่องที่สามคือ “ทดลองสวยในวัย 44” ที่เธอตั้งใจเน้นไปที่คอนเทนต์ความงาม อยากจะรีวิวสินค้าจริง ๆ ไม่ใช้ฟิลเตอร์ เพื่อให้คนที่สนใจซื้อได้รู้ข้อมูลสินค้าที่ตอบโจทย์จริง ๆ
จากทั้งสามช่องข้างต้น ช่องออนนี่เอไอของเธอมียอดผู้ติดตามมากที่สุด ที่ 2,769 บัญชีผู้ใช้ แต่ช่องตั้งใจรวยอยู่บ้านนอกของเธอมีคอนเทนต์ที่ไวรัลที่สุด โดยมีผู้ชมรวมกว่า 270,000 ครั้ง และช่องสุดท้ายของเธอ เป็นช่องที่เธอเพิ่งเริ่มสร้าง ยังมียอดผู้ติดตามไม่ถึง 1,000 คน ทำให้ยังปักตะกร้าไม่ได้ แต่เธอบอกว่านี่เป็นช่องที่มีการตอบโต้กับคนดูมากที่สุดเทียบกับช่องอื่นของเธอ
สำหรับคอนเทนต์ที่ไวรัลที่สุดของหัทยานั้น เธอทำคอนเทนต์รีวิวคุชชันแบรนด์หนึ่งสำหรับคนผิวมันแบบเธอ เมื่อเธอเห็นว่าคอนเทนต์ความงามค่อนข้างไปได้ดี ในช่องใหม่ของเธอที่สร้างขึ้นมาเพื่อเนื้อหาความงามโดยเฉพาะนั้น เธอจึงลงทุนสั่งคุชชันราคาหลักร้อยไม่เกินพันมาทั้งหมด 20 แบรนด์ เพื่อทำคลิปรีวิวโดยเฉพาะ
“พี่มองว่านี่คือธุรกิจ พี่ลงเงิน 5,000 บาท 7,000 บาท ถ้าเจ๊งก็คือเจ๊งแค่นี้ เราไม่ได้ทำครีม 500,000 บาท ออกมาขาย ไม่ได้ลงทุนเยอะขนาดนั้น” หัทยากล่าว
รายได้ยังไม่หวือหวา แต่ได้ค่าน้ำ-ค่าไฟ
เมื่อ.ถามเธอว่า ปัจจุบันเธอมีรายได้จากการปักตะกร้ารวมทั้งสองช่องทั้งหมดเท่าไหร่ หัทยาตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าเธอยังได้ยอดคอมมิชชันไม่เกิน 10,000 บาท/เดือน
อย่างไรก็ดี เธอเล่าให้เราฟังว่า เธอคิดว่าตัวเองเริ่มจับทางตลาดถูกขึ้น หลังจากเริ่มต้นด้วยสินค้าเครื่องใช้ในบ้านต่าง ๆ หัทยายอมรับว่าตลาดความงามยังเป็นตลาดที่เติบโตได้ต่อเนื่อง และเมื่อเธอรีวิวสินค้าต่าง ๆ ลงไปในช่องของตัวเองก็จะมีผู้ชมเข้ามาคอยสอบถามสินค้าอย่างสนใจจริง ๆ และมองว่าการรีวิวของเธอช่วยให้พวกเขาตัดสินใจได้โดยไม่ต้องเสียเงินไปอย่างสิ้นเปลือง
เธอยังเสริมว่าสำหรับกรณีของ “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” นั้น “ถ้าถามว่าได้ทุกคนไหม ไม่ได้อยู่แล้ว มันเหมือนทุกอาชีพที่จะมีตัวท็อปและตัวรอง” และเสริมว่า ที่ผ่านมาเธอเองก็ได้เห็นนักปักตะกร้าหลาย ๆ คนที่เติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนมีรายได้หลักแสนหลักล้านเช่นเดียวกัน
สำหรับหัทยา แม้เธอจะไม่ได้มีรายได้มหาศาลแบบอินฟลูเอนเซอร์ติ๊กตอกรายอื่น ๆ แต่เธอก็ยังอยากที่จะต่อสู้ปั้นช่องของเธอต่อไป เพราะเธอบอกว่าอาชีพฟรีแลนซ์ของเธอนั้นมีความไม่แน่นอนอยู่มาก
“บางคนเขาอาจจะคิดว่า ทำปุ๊บเดือนเดียว ยอดต้องมาเลย แต่ของพี่ พี่โอเค ถ้ามองในมุมว่าเราคืนทุนแล้ว เราลงทุนไป 10,000-20,000 ต่อปี ตกเดือนละ 2,000 บาท ต้นทุนมันไม่ได้สูงขนาดนั้น แต่พี่มองว่าวันก่อนไลฟ์ขายครีมได้ยอด10,000 บาท พี่ได้ค่าคอมฯ มา 1,000 บาท โอเคแล้ว” หัทยาตอบ
TikTok Shop ใหญ่ขนาดไหนแล้ว ?

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ตามข้อมูลสถิติ TikTok Shop ในปี 2025 จากแพลตฟอร์มติดตามสินค้าออนไลน์อย่าง Aftership พบว่า เมื่อไล่เรียงจำนวนร้านค้าบนติ๊กตอก อินโดนีเซียครองตำแหน่งประเทศที่มีร้านค้าบนแพลตฟอร์มสูงที่สุด ด้วยสัดส่วน 20.52% ของร้านค้าบนแพลตฟอร์มติ๊กตอกทั่วโลก โดยมีประเทศไทยตามมาในลำดับที่สอง ด้วยสัดส่วน 18.29%
อย่างไรก็ดี หากไปดูที่มูลค่าการซื้อขายรวม (Substandard Merchandise Price: Gเอ็มวี) ในปี 2025 รายงานฉบับดังกล่าวระบุว่าประเทศไทยโดดเด่นขึ้นมาเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในด้านมูลค่าการซื้อขายบนติ๊กตอก ด้วยตัวเลขสูงถึง 2.85 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 9.23 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 25.66% ของมูลค่าการซื้อขายรวมทั่วโลก ซึ่งมีตัวเลขอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.56 แสนล้านบาท
ทั้งนี้ .พบว่าทั้งในมิติของจำนวนร้านค้าและมูลค่าการซื้อขาย ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ล้วนครองตำแหน่งในลำดับต้น ๆ ทั้งสิ้น อาทิ ตัวเลขจำนวนร้านค้าบน TikTok Shop 4 อันดับแรกเป็นชาติในอาเซียน โดยมีสหรัฐอเมริกาตามมาในลำดับที่ 5 ขณะที่สถิติยอดซื้อขายรวมบนแพลตฟอร์ม 5 อันดับแรกเป็นประเทศในอาเซียนทั้งหมดเช่นเดียวกัน
ในรายงานอีกฉบับหนึ่งโดย Market Look at Thailand ระบุว่า ในปี 2567 มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยแตะระดับ 1.1 ล้านล้านบาท เติบโตขึ้น 14% จากปีก่อนหน้า โดยรายงานดังกล่าวประเมินว่าในปีนี้ อุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซจะนำเทคโนโลยีด้านการตลาดแบบตัวแทน (Affiliate Advertising and marketing) มาใช้เพิ่มขึ้นจาก 19% เป็น 35% แซงหน้าการตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Advertising and marketing) ที่ขยายตัวช้ากว่า จาก 13% เป็น 18%
“แนวโน้มนี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนกลยุทธ์ครั้งใหญ่ของแบรนด์ ไปสู่ Efficiency-basically based fully Advertising and marketing” ที่จ่ายเฉพาะเมื่อเกิดผลลัพธ์จริง เช่น การคลิ๊ก การขาย หรือการได้ลูกค้าใหม่”
รายงานฉบับนี้ยังกล่าวอีกว่า ปัจจุบันระบบนิเวศอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยมีทั้งความกว้างขวางและการแข่งขันสูง แพลตฟอร์มอย่าง Shopee, Lazada และ TikTok Shop ปัจจุบันมีผู้ขายชาวไทยรวมกันกว่า 3 ล้านราย และมีสินค้ามากกว่า 300 ล้านรายการ
จาก KOL สู่ KOS (Key Knowing Sellers)

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ในรายงานฉบับล่าสุดจาก Cube บริษัทผู้รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ตลาดอีคอมเมิร์ซ ที่เพิ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งพูดถึงประเด็นการตลาดอินฟลูเอนเซอร์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปี 2025 พบว่า การตลาดแบบนายหน้าในภูมิภาคยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผู้บริโภคมากกว่า 83% ระบุว่าพวกเขาเคยซื้อสินค้าผ่านลิงก์นายหน้า โดยผู้บริโภคจำนวนมากให้ความสำคัญกับรีวิวและคำแนะนำจากประสบการณ์จริง มากกว่าการพิจารณาจากส่วนลดราคาเพียงอย่างเดียว
เมื่อเจาะลงมาที่สถานการณ์ในประเทศไทย รายงานดังกล่าวชี้ว่า TikTok Shop เสนออัตราค่าคอมมิชชันสูงที่สุดในตลาด โดยหมวดความงามนำมาเป็นอันดับหนึ่งที่เฉลี่ย 11% รองลงมาคือ หมวดแฟชั่นที่ 8% และหมวดอิเล็กทรอนิกส์ที่ 5%
นอกจากนี้ ในบรรดาผู้สร้างคอนเทนต์ชั้นนำของ TikTok ประเทศไทย 10 อันดับแรก มีถึง 9 คนที่เป็น “Key Knowing Sellers” หรือผู้ขายที่มีอิทธิพลทางความคิด โดยกว่าครึ่งหนึ่งเน้นคอนเทนต์ในหมวดความงามเป็นหลัก
รายงานนี้ยังชี้ถึงข้อมูลเชิงลึกที่สำคัญของ TikTok Shop ว่าโดยเฉลี่ยแล้ว ครีเอเตอร์ชั้นนำโพสต์วิดีโอสั้น 3 คลิป และไลฟ์สด 1 ครั้งต่อวัน ส่วนครีเอเตอร์ที่แอ็กทีฟที่สุดสามารถโพสต์ได้สูงสุดถึง 30 คลิปวิดีโอสั้น และไลฟ์สด 3 ครั้งต่อวัน
นอกจากนี้ ครีเอเตอร์ระดับท็อปส่วนใหญ่พึ่งพาข้อตกลงนายหน้า (Affiliate Deals) ที่ให้สิทธิพิเศษด้านอัตราค่าคอมมิชชันและส่วนลดสินค้าเฉพาะตัว นอกจากนี้ การใช้กลยุทธ์การลดราคาและแจกของบ่อย ๆ จะช่วยให้ช่องของพวกเขาดึงดูดผู้ชมที่มีความตั้งใจซื้อสูง (Excessive-Intent Audiences) และมีแนวโน้มเปลี่ยนเป็นยอดขายจริง (convert) ได้มากกว่า
ที่มา BBC.co.uk