
‘กกร.’ แถลงจุดยืนคัดค้าน ‘ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน-ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ-ร่าง พ.ร.บ.โรงงาน’ ชี้เพิ่มภาระต้นทุนให้ ‘เอกชน’ โดยไม่จำเป็น กระทบความเชื่อมั่น ‘นักลงทุน' แนะเปิดทำ ‘ประชาพิจารณ์’ ใหม่ให้รอบด้าน
……………………………….
เมื่อวันที่ 12 พ.ย. คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย แถลงจุดยืนต่อร่างกฎหมายสำคัญ 3 ฉบับ ได้แก่ 1.ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … 2.ร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … และ 3.ร่าง พ.ร.บ.โรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร) กล่าวว่า ตามที่ สภาผู้แทนราษฎร ได้เห็นชอบรับหลักการ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ทั้ง 2 ฉบับ เมื่อวันที่ 24 ก.ย.2568 และอยู่ระหว่างเสนอสภาผู้แทนราษฎร 1 ฉบับ โดยมีการแก้ไขกฎหมาย อาทิ การกำหนดชั่วโมงการทำงานไม่เกินสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง
การกำหนดวันหยุดประจำสัปดาห์ไม่น้อยกว่า 2 วัน และการเพิ่มสิทธิวันลาพักผ่อนประจำปี , การปรับปรุงสิทธิการลาหยุดเนื่องจากมีประจำเดือน การลาเพื่อดูแลบุคคล ในครอบครัว การจัดสถานที่และเวลาสำหรับการให้นมบุตรหรือน้ำนมบีบเก็บในสถานประกอบการ และการกำหนดให้เพิ่มบทนิยามคำว่า “การจ้างงานรายเดือน” เป็นการจ้างงานที่มีลักษณะ เป็นงานประจำและเต็มเวลา โดยลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน และกำหนดให้คณะกรรมการค่าจ้างต้องปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มทุกปี นั้น
กกร. ได้รับข้อร้องเรียนและความกังวลจากสมาชิกทั่วประเทศ ทั้งจากหอการค้าจังหวัดมากกว่า 70 จังหวัดทั่วประเทศ สภาอุตสาหกรรมจังหวัด กลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ สมาคมการค้ามากกว่า 90 สมาคม และ หอการค้าต่างประเทศอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยและคัดค้านกับร่างกฎหมายดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกฎหมายที่ขาดการประเมินผลกระทบกฎหมาย (Regulatory Impression Evaluation RIA) อย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการพิจารณาความเหมาะสมและผลกระทบต่อภาคส่วนต่าง ๆ
ทั้งนี้ ร่างกฎหมายดังกล่าวมีหลายมาตราที่อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม และเพิ่มภาระต้นทุนการจ้างงานให้กับนายจ้างในภาวะเศรษฐกิจที่ยังผันผวน โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ที่ต้องเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้นจากการปรับข้อกำหนดของกฎหมายใหม่ นอกจากนี้ ยังอาจส่งผลให้เกิดการลดลงของความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งจะกระทบต่อความสามารถในดูดการลงทุนของประเทศไทยในภาพรวมอีกด้วย
สำหรับผลกระทบของ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของ สส.จรัส คุ้มไข่น้ำ และคณะ มีดังนี้
-ความยืดหยุ่นทางการเงินของแรงงานไทยลดลง (Profits Shock)
หากพิจารณาประเด็นการปรับกฎหมายคุ้มครองแรงงานใหม่ในส่วนการกำหนดชั่วโมงการทำงานไม่เกินสัปดาห์ละ 40 ชั่วโมง จาก 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จะผลักดันให้แรงงานที่พึ่งพาการทำงาน 48 ชั่วโมงบวก OT ในการใช้ชีวิตประจำวัน จับจ่ายใช้สอย และชำระหนี้ ต้องหันไปพึ่งสินเชื่อนอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้กฎหมายที่เข้มงวดดังกล่าว จะนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในการบังคับใช้
โดยเฉพาะสถานประกอบการขนาดเล็ก หรือ SMEs รวมทั้งแรงงานในภาคเกษตร ภาคบริการ ร้านค้าปลีกและค้าส่ง ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่จะลดการจ้างงาน จนไปสู่การจ้างงานนอกระบบหรือการจ้างงานผิดกฎหมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
-กำลังการผลิตของชาติลดลง
นโยบายลดชั่วโมงการทำงานที่ไม่มีกลไกที่ชัดเจนในการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน จะทำให้เกิดความเสี่ยงที่ผลิตภาพมวลรวมของประเทศลดลงหรือเลวร้ายลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยจะพบว่าผลิตภาพแรงงานไทยหดตัวเฉลี่ย -0.6% ต่อปี ในขณะที่แรงงานกว่า 60% ขาดทักษะพื้นฐานที่จะทำงานเสริมในด้านอื่นๆ เนื่องจากรายได้ที่หายไปจากการลดเวลาทำงาน 16.7% ทั้งนี้ การลดชั่วโมงเวลาทำงานดังกล่าวไม่ได้เพิ่มผลิตภาพการผลิต แต่ทำให้ต้นทุนแรงงานต่อหน่วยสูงขึ้น กระทบต่อภาคการผลิตและการส่งออกโดยรวมของประเทศ
-ระบบการจ้างงานซึ่งไม่เกิดผลดีต่อลูกจ้าง
กล่าวคือ จะเกิดการจ้างงานนอกระบบ หรือการจ้างงานแบบกำหนดระยะเวลาหรือการจ้างงานแบบจ้างทำของ โดยจะส่งผลกระทบต่อโครงสร้างกำลังแรงงานในระบบ อาทิ แรงงานจะถูกผลักเข้าสู่ GIG Financial system (การทำงานแบบอิสระ) ซึ่งแรงงานกลุ่มนี้มักขาดหลักประกัน และผลประโยชน์ของพนักงาน ซึ่งแรงงานจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดำเนินการทั้งหมด สะท้อนแรงงานจำนวนมากจะเข้าสู่วงจรหนี้และการกู้ยืมเพื่อเข้าสู่อาชีพ ได้แก่ ซื้อยานพาหนะ อุปกรณ์ หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ถือว่าเป็นการก่อหนี้เพื่อการผลิต (Debt of Production) ที่เปราะบางมากที่สุด
ส่วนร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของ สส.วรรณวิภา ไม้สน และคณะ นั้น
กกร. เห็นว่าการออกกฎหมายฉบับนี้เป็นการออกกฎหมายเกินความจำเป็น เนื่องจากกฎหมายคุ้มครองแรงงานในปัจจุบันเป็นกฎหมายที่ครอบคลุมและดูแลลูกจ้างดีแล้ว ทั้งในส่วนของพันธกรณีระหว่างประเทศของประเทศไทย การบัญญัติสิทธิลาพิเศษที่สำคัญสำหรับสตรีอาจจะถือเป็นการเลือกปฏิบัติภายใต้อนุสัญญาฉบับที่ 111 โดยถือเป็นเอกสิทธิ์ที่เกินกว่ามาตรการพิเศษเพื่อการคุ้มครองหรือความช่วยเหลือที่อนุสัญญาอนุญาตกำหนดไว้
และยังอาจถือว่าไม่สอดคล้องกับอนุสัญญาฉบับที่ 100 เนื่องจากส่งผลให้เกิดความไม่เท่าเทียม ความเสมอภาคและเป็นธรรมระหว่างลูกจ้างชายและหญิง ดังนั้นควรให้เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้างตามหลักของกฎหมายแรงงานสัมพันธ์แนะนำเป็นกรณีไป
ทั้งนี้ ในส่วนการให้ลูกจ้างมีสิทธิลาไปดูแลบุคคลในครอบครัว หรือบุคคลอื่นใดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ที่พำนักอยู่ในโรงพยาบาลในฐานะผู้ป่วยใน หรือผู้ป่วยที่มีความต้องการการดูแลทางร่างกายและจิตใจปีละไม่เกิน 15 วันทำงานนั้น กกร. เห็นควรระบุให้ชัดเจนว่าเป็นใครบ้าง เพราะบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลอื่นใดที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด เป็นถ้อยคำที่กว้างเกินไปทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติได้ ถ้อยคำที่สมควรใช้ต้องชัดเจนและแน่นอน เช่น บิดา มารดา บุตร สามี หรือภริยา เช่นเดียวกับถ้อยคำที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 193
อีกทั้งการกำหนดให้มีรายละเอียดให้นายจ้างจัดพื้นที่ให้นมบุตรหรือบีบเก็บน้ำนม และกำหนดให้ลูกจ้างพักให้นมบุตรหรือบีบเก็บน้ำนมไม่น้อยกว่าสองครั้ง ครั้งละสามสิบนาที ในช่วงเวลาแปดชั่วโมงของการทำงาน ตลอดระยะเวลาอย่างน้อยหนึ่งปีหลังคลอด โดย กกร. เห็นว่าปัจจุบันผู้ประกอบการได้เข้าร่วมโครงการจัดตั้งมุมนมแม่ ของกระทรวงสาธารณสุขเป็นจำนวนมาก
ดังนั้น ควรส่งเสริมความร่วมมือมากกว่า การออกกฎหมายบังคับและการออกกฎหมายเกินจำเป็น โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ในกลุ่มแรงงานในภาคเกษตร ภาคบริการ ร้านค้าปลีกและค้าส่ง ไม่สามารถปฏิบัติได้ เป็นต้น
ขณะที่ ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ของ สส.เซีย จำปาทอง และคณะ นั้น
กกร. เห็นว่า การกำหนดให้เพิ่มบทนิยามคำว่า “การจ้างงานรายเดือน” เป็นการจ้างงานที่มีลักษณะเป็นงานประจำและเต็มเวลา โดยลูกจ้างได้รับค่าจ้างเป็นรายเดือน เป็นการกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของบุคคลในการทำสัญญาเกินความจำเป็น และขัดต่อหลักเสรีภาพในการทำสัญญา
อีกทั้งการกำหนดให้คณะกรรมการค่าจ้างต้องปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มทุกปี โดย กกร. เห็นว่าการปรับอัตราจ้างขั้นต่ำย่อมขึ้นอยู่กับตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สะท้อนให้เห็นถึง ความสามารถในการจ่ายของนายจ้างและค่าครองชีพของลูกจ้างตามที่บัญญัติไว้แล้วในกฎหมายปัจจุบันโดยให้ความสำคัญกับคณะกรรมการค่าจ้างฯ คณะกรรมการไตรภาคีจังหวัดและมาตรา 87 แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 เป็นต้น
นายพจน์ กล่าวว่า กกร. สนับสนุนการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานตามหลักสากลหรือองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ทั้งในด้านชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสม สิทธิการลา การคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสนับสนุนการกลไกแรงงานสัมพันธ์ภายในองค์กรในการกำหนดแนวทางที่เหมาะสม เพื่อประเมินผลกระทบเชิงปริมาณและจัดทำมาตรการรองรับอย่างรอบคอบ
อย่างไรก็ดี กกร. ขอคัดค้านร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่ ทั้ง 3 ฉบับ ที่ไม่สอดรับกับข้อกำหนดองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง ขาดการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน และเห็นควรให้มีการทำประชาพิจารณ์ใหม่อย่างรอบด้านทั้งให้มีตัวแทน สภาอุตสาหกรรมจังหวัด หอการค้าจังหวัด องค์กรนายจ้าง องค์กรลูกจ้าง (ไตรภาคี) ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้กระทรวงแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นตัวกลางในการดำเนินการดังกล่าว
“กระบวนการจัดทำร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก หรือกฎหมายมหาชน ควรมีการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างรอบด้าน ซึ่งในกรณีนี้ ยังขาดข้อมูลที่เพียงพอและอาจส่งผลต่อกลุ่มที่เกี่ยวข้องโดยตรง” นายพจน์ ระบุ
ด้าน นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในส่วนของร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … นั้น กกร. เห็นด้วยในหลักการและบางมาตรการ แต่ควรปรับให้ชัดเจนและไม่ซ้ำซ้อนกฎหมายเดิม โดย กกร. ขอเสนอประเด็นสำคัญที่ควรทบทวน เพื่อให้กฎหมายฉบับนี้เกิดผลในทางปฏิบัติได้จริง ดังนี้
1.โครงสร้างคณะกรรมการและการมีส่วนร่วมของภาคเอกชน
กกร. เสนอให้มีผู้แทนภาคเอกชน โดยเฉพาะผู้แทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของคณะกรรมการและองค์กรที่กำกับนโยบายบริหารจัดการอากาศสะอาด ทั้งในระดับชาติและระดับจังหวัด ตามหลัก “การมีส่วนร่วมของผู้ถูกบังคับใช้กฎหมาย” เพื่อสะท้อนข้อมูลจากภาคการผลิต บริการ การเงิน และภาคเศรษฐกิจจริง ซึ่งช่วยให้การกำหนดนโยบายมีความสมดุล รอบด้าน และนำไปสู่มาตรการที่สามารถปฏิบัติได้จริง
2.เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์
กกร. เห็นว่า “เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์” ในร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ…. อาจทับซ้อนกับกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน อาทิ เชื้อเพลิงส่งเงินส่งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง 1-5 บาท/ลิตร ภาษีสรรพสามิต 5-6 บาท/ลิตร และส่งผลต่อต้นทุนทุกภาคส่วน การแก้ปัญหามลพิษ จึงควรมุ่งเน้นมาตรการสนับสนุนและจูงใจทางภาษีหรือการเงินในการปรับปรุงคุณภาพการผลิตที่ลดมลพิษ เพื่อช่วยให้ทุกภาคส่วนปรับตัว แทนที่จะเก็บค่าธรรมเนียมอากาศสะอาดตั้งแต่หน่วยแรกที่ปล่อย หรือออกมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ทันที
3.การจัดตั้งกองทุนอากาศสะอาด
กองทุนมีวัตถุประสงค์ครอบคลุมถึง 17 ข้อ แต่ยังไม่มีลำดับความสำคัญหรือสัดส่วนการใช้เงินอย่างชัดเจนในการแก้ปัญหามลพิษ และไม่ได้ผ่านขั้นตอนพิจารณาจากคณะกรรมการนโยบายการบริหารทุนหมุนเวียนตามที่ควรจะเป็น จึงมีความกังวลว่าอาจไม่สามารถจัดตั้งกองทุนได้จริงในทางปฏิบัติ
4.อัตราโทษและบทกำหนดโทษ
กกร.สนับสนุนการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังต่อผู้ฝ่าฝืน แต่ร่างกฎหมายฯ ฉบับนี้มีการกำหนดอัตราโทษสูงกว่าฉบับอื่น ๆ ที่สภาผู้แทนราษฎรเคยรับหลักการทั้งโทษแพ่งและโทษอาญา อาทิ การกำหนดโทษทางอาญา แม้ว่าจะเกิดจากความประมาท จำคุกไม่เกิน 2 ปีหรือปรับไม่เกิน 50 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงานอากาศสะอาดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกินร้อยล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุน
โดยเฉพาะในกรณีการกระทำโดยประมาท ซึ่งอาจไม่สอดคล้องกับหลักรัฐธรรมนูญมาตรา 77 ที่ให้กำหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง กกร. จึงเสนอให้ทบทวนระดับโทษให้สมดุลกับมาตรฐานสากล และควรมีระยะเวลาการปรับตัวสำหรับภาคธุรกิจ ภาคอุตสาหกรรมเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามกฎหมายได้จริง
“กกร. ตระหนักกับปัญหามลพิษทางอากาศเป็นอย่างยิ่งและเห็นด้วยกับเจตนารมณ์ของร่างกฎหมายที่มุ่งยกระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมและลดปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 แต่มีข้อกังวลเรื่องความซ้ำซ้อนกับกฎหมายเดิม เช่น พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 และ พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535 รวมถึงกฎหมายเฉพาะของหน่วยงานที่มีอำนาจกำกับดูแลมลพิษทางอากาศอยู่แล้ว ซึ่งอาจสร้างความซ้ำซ้อนด้านอำนาจหน้าที่ และเพิ่มต้นทุนต่อภาคธุรกิจโดยไม่จำเป็น” นายเกรียงไกร ระบุ
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ในส่วน ร่าง พ.ร.บ.โรงงาน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … นั้น กกร. เข้าใจถึงข้อกังวลเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายโรงงานในประเด็นปัญหาต่างๆ เช่น โรงงานที่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมตามที่เป็นข่าวในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้ง กกร. ยังสนับสนุนให้มีการยกระดับมาตรฐานโรงงานอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม กกร. มีความกังวลเป็นอย่างยิ่งต่อร่างพระราชบัญญัติโรงงาน (ฉบับที่ …) พ.ศ. …. ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของรัฐสภาขณะนี้
ทั้งนี้ เนื่องจากประเด็นที่มีการเสนอแก้ไขในหลายประเด็น ส่งผลกระทบรุนแรงต่อภาคอุตสาหกรรมไทย ลดขีดความสามารถในการแข่งขัน กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน โดยมีข้อกังวลหลายประการ ดังนี้
1.การรื้อฟื้นระบบใบอนุญาตโรงงานแบบมีอายุ ขัดกับหลัก Ease of Doing Trade
กกร. ไม่เห็นด้วยต่อแนวทางการนำระบบใบอนุญาตแบบมีอายุกลับมาใช้ เนื่องจากระบบดังกล่าวเคยสร้างปัญหาในอดีต ทั้งขั้นตอนการขออนุญาตที่ซับซ้อน ความล่าช้า ภาระด้านเอกสารเกินจำเป็น และเปิดช่องให้เกิดการทุจริตซึ่งขัดต่อหลักการบริหารภาครัฐสมัยใหม่และแนวนโยบาย B-Ready (Ease of Doing Trade) ที่รัฐบาลจะไม่สร้างอุปสรรคในการเข้าสู่ตลาดของผู้ประกอบธุรกิจโดยไม่จำเป็น และเป็นหลักการที่รัฐประกาศส่งเสริมมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังส่งผลต่อคะแนนการประเมินด้านการเข้าสู่ธุรกิจ (Trade Entry) ในปี 2569
การนำระบบใบอนุญาตกลับมาใช้ โดยมุ่งหวังว่าจะช่วยในการตรวจสอบคัดกรองโรงงานที่มีปัญหา เป็นการแก้ไขที่ไม่ถูกจุด เนื่องจากตามกฎหมายปัจจุบัน ภาครัฐมีอำนาจในการเข้าตรวจโรงงานได้อยู่แล้ว ในกรณีที่มีข้อสงสัยว่าโรงงานไม่ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การรื้อฟื้นระบบการขออนุญาต จึงไม่จำเป็น และในทางกลับกันจะสร้าง “ความไม่แน่นอนทางธุรกิจ” อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะเมื่อใบอนุญาตใกล้หมดอายุ อาจทำให้สถาบันการเงินและคู่ค้าอาจชะลอการพิจารณาเครดิตหรือการลงทุน อีกทั้งยังอาจเป็นช่องทางให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นได้ง่าย
2.การเพิ่มประเภท “โรงงานควบคุมพิเศษ” ควรจำกัดเฉพาะโรงงานที่มีความเสี่ยงสูงเท่านั้น
กกร. ไม่ขัดข้องต่อแนวความคิดในการกำหนดมาตรการพิเศษที่เข้มงวดขึ้น เพื่อใช้บังคับกับโรงงานที่มีความเสี่ยงสูง แต่การใช้มาตรการดังกล่าว จะต้องจำกัดขอบเขตเฉพาะกับโรงงานควบคุมพิเศษประเภทที่เกี่ยวข้องกับของเสียอันตราย หรือที่มีความเสี่ยงเฉพาะด้านเท่านั้น หากเปิดกว้างให้เป็นดุลยพินิจของผู้บังคับใช้กฎหมายในการออกกฎกระทรวงหรือประกาศเพิ่มเติมตามความจำเป็น อาจจะส่งผลให้ในอนาคต โรงงานทั่วไปที่ไม่ได้สร้างปัญหา อาจจะต้องตกอยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวดจนเกินความจำเป็น ซึ่งเป็นอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ
3.การเพิ่มโทษอาญาต้องเป็นไปตามหลักการที่ชัดเจน
กกร. เห็นว่า การเพิ่มอัตราโทษหรือเปลี่ยนประเภทของโทษ โดยเฉพาะการเปลี่ยนโทษปรับเป็นโทษจำคุก ต้องมีข้อมูลเชิงประจักษ์รองรับว่าการบังคับโทษในปัจจุบันไม่สามารถแก้ปัญหาในปัจจุบันได้ และต้องอยู่บนหลักความได้สัดส่วน (Proportionality) และต้องใช้อย่างจำกัด เพื่อไม่ให้เป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ประกอบการ การเพิ่มโทษโดยไม่มีข้อมูลรองรับ นอกจากจะละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้ประกอบการ ยังทำลายความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ
4.การเปิดให้ประชาชนเข้าสังเกตการณ์โรงงาน มีข้อกังวลด้านความขัดแย้งและการละเมิดความลับทางการค้า
กกร. สนับสนุนหลักการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่การเปิดให้ประชาชนเข้าสังเกตการณ์ภายในโรงงานโดยตรงนั้นไม่เหมาะสมในทางปฏิบัติ เพราะอาจกระทบต่อความลับทางการค้าและข้อมูลทางธุรกิจ รวมถึงอาจเกิดความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับผู้ประกอบการโดยไม่จำเป็น
กกร. เห็นว่า ควรให้ภาครัฐทำหน้าที่เป็นคนกลางในการตรวจสอบ และสื่อสารให้ข้อมูลกับประชาชนอย่างโปร่งใส อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม ควรกำหนดคุณสมบัติผู้เข้าสังเกตการณ์และมาตรการคุ้มครองข้อมูลความลับทางการค้าและข้อมูลทางธุรกิจอย่างรัดกุมและชัดเจน
5.การให้โรงงานควบคุมพิเศษทำประกันภัย มีข้อกังวลด้านความพร้อมของตลาดประกันภัยในประเทศ
กกร. เห็นว่าตลาดประกันภัยในประเทศยังไม่พร้อมสำหรับการทำประกันในลักษณะนี้ ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญโดยเฉพาะกับ SMEs ที่ต้องซื้อประกันภัยจากต่างประเทศในราคาสูง ซึ่งจะเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายและลดความสามารถในการแข่งขัน ภาครัฐจึงควรเร่งพัฒนาตลาดประกันภัยภายในประเทศให้มีความพร้อมก่อนเริ่มบังคับใช้
6.การแก้ปัญหาควรมุ่งที่การบังคับใช้กฎหมาย ไม่ใช่เพิ่มภาระใหม่ให้ภาคธุรกิจ
กกร. ขอเรียนว่าโรงงานส่วนใหญ่ในประเทศเป็นโรงงานที่มีมาตรฐานการดำเนินงานและปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด กกร. เห็นด้วยกับการดำเนินมาตรการกับโรงงานที่ฝ่าฝืนกฎหมายหรือก่อปัญหา แต่เห็นว่าไม่ควรกำหนดมาตรการใหม่ที่เป็นการเพิ่มภาระหรือสร้างอุปสรรคต่อโรงงานที่ปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว
ทั้งนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นจากโรงงาน ส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากข้อบกพร่องของกฎหมาย แต่เกิดจากการบังคับกฎหมาย และการดำเนินการตามกลไกที่มีอยู่ยังไม่ครบถ้วน เช่น ระบบ Self-Thunder ที่ยังไม่ถูกนำมาใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบ ภาครัฐจึงควรมุ่งเน้นการพัฒนาระบบ Self-Thunder ควบคู่กับการเพิ่มศักยภาพเจ้าหน้าที่ตรวจโรงงาน แทนที่จะเพิ่มขั้นตอนและภาระให้ภาคอุตสาหกรรม
“กกร. ขอยืนยันว่าการปรับปรุงกฎหมายโรงงานควรยึดหลักความสมดุลระหว่างการกำกับดูแลกับการส่งเสริมความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ไม่ใช่เพิ่มภาระให้ผู้ประกอบการภาครัฐและประชาชนโดยไม่จำเป็น และขอให้มีการจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างรอบด้าน และจัดทำการประเมินผลกระทบของกฎหมาย (RIA) โดยเฉพาะการวิเคราะห์ผลกระทบทางด้านเศรษฐศาสตร์
โดยการคำนวณต้นทุนและผลประโยชน์ (Stamp and Profit) อย่างจริงจัง เพื่อให้แน่ใจว่ากฎหมายใหม่นี้จะสามารถแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด ไม่สร้างภาระเกินสมควร และไม่บั่นทอนความเชื่อมั่นในการลงทุนของประเทศเพื่อให้ประเทศไทยเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจ และความเชื่อมั่นของนักลงทุน” นายเกรียงไกร ระบุ
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )













