
เบื้องหลังการบริหารจัดการน้ำปี 68 เหตุใดลุ่มภาคกลางท่วมหนัก-นาน

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
- Creator, นงนภัส พัฒน์แช่ม
- Role, ผู้สื่อข่าว.
แม้ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูหนาวมาได้สามสัปดาห์แล้ว ตามการประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา แต่หลายจังหวัดลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยายังเผชิญกับน้ำท่วมสูง
ข้อมูลดาวเทียมจากสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA เมื่อ 12 พ.ย. ที่ผ่านมา พบพื้นที่น้ำท่วมขังในพื้นที่ลุ่มและที่อยู่อาศัยบริเวณบางส่วนของ 10 จังหวัดภาคกลาง ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา สุพรรณบุรี ลพบุรี นครปฐม ชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี สระบุรี นนทบุรี และปทุมธานี รวมพื้นที่ประมาณ 1,293,745 ไร่
ท่ามกลางสถานการณ์น้ำในหลายพื้นที่ที่ยังไม่คลี่คลาย .พูดคุยกับ ผศ.ดร.สิตางศุ์ พิลัยหล้า อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเป็นผู้ที่อยู่ในวงประชุมของคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ที่เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธาน ถึงเบื้องหลังการบริการจัดการน้ำในปีนี้
เตรียมการก่อนหน้าฝน
“จริง ๆ ก็มีการประชุมเตรียมสถานการณ์กันมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ก่อนเข้าหน้าฝน” ผศ.ดร.สิตางศุ์ เปิดเผยกับ. “ประมาณช่วง เม.ย. ก่อน พ.ค. ด้วยซ้ำ ก็เอาตัวเลขน้ำในเขื่อนมาดูกันว่า มีน้ำอยู่เท่าไหร่”
อาจารย์มหาวิทยาลัยผู้นี้ที่อีกด้านหนึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่ให้ความเห็นต่อคณะอนุกรรมการอำนวยการน้ำตาม พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ เปิดเผยว่าในขณะนั้นผู้แทนจากกรมอุตุนิยมวิทยาประเมินว่าน้ำปีนี้จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ 7-10% แต่อาจเกิดปรากฏการณ์ลานีญาในช่วงปลายปี ขณะนั้นก็มีนโยบายจากการประชุมในคณะอนุฯ ให้เขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ที่อยู่ภายใต้กรมชลประทานกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) พร่องน้ำลง ให้เหลือระดับกักเก็บที่ 80% ของความจุ เพื่อรองรับน้ำที่จะเติมเข้ามา และในขณะเดียวกันก็ต้องมีพอใช้สำหรับหน้าแล้ง
“วันที่เริ่มเข้าหน้าแล้งเราจะนับวันที่ 1 พ.ย. ของทุกปี ก็ให้คำนวณไปว่า ณ วันที่ 1 พ.ย. จะต้องมีน้ำเพียงพอที่จะใช้ในหน้าแล้ง หมายถึงตั้งแต่ พ.ย. ปีนี้ไปจนถึงปีหน้ากว่าฝนจะมา ให้มีน้ำเพียงพอที่จะใช้สำหรับทุกวัตถุประสงค์ แล้วก็นับย้อนมาว่าด้วยน้ำที่มีจะต้องระบายออกเท่าไหร่” ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมการจัดการน้ำ อธิบายถึงที่มาของวิธีการคิดคำนวณในการพร่องน้ำในเขื่อน
“มันอาจจะทำได้บ้าง ทำไม่ได้บ้าง อย่าง เขื่อน สิริกิติ์ก็อาจจะมีแข่งเรือในบางเดือน พร่องน้ำไม่ลง หรือบางพื้นที่เขาก็มีความหวงแหนน้ำ ไม่อยากให้พร่องเยอะเพราะว่ากลัวน้ำไม่พอ มันก็จะพร่องได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ว่าโดยทั่วไป โดยหลักการก็คือให้มีการพร่องน้ำรออยู่แล้ว” ผศ.ดร.สิตางศุ์ ระบุ

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
ผศ.ดร.สิตางศุ์ เล่าต่อว่า จากนั้นก็มีการประชุมติดตามผลแทบจะทุกสองสัปดาห์ โดยในการประชุมแต่ละครั้งจะมีผู้แทนจากกรมอุตุนิยมวิทยามาให้ข้อมูลสภาพอากาศ ซึ่งในช่วงแรกฝ่ายบริหารจัดการน้ำก็พยายาม “เค้น” ให้ได้ตัวเลขว่า เมื่อมีพายุเข้ามาในแต่ละลูก จะมีน้ำเข้ามาเติมในอ่างเก็บน้ำต่าง ๆ ประมาณกี่ลูกบาศก์เมตร โดยในขณะนั้นสิ่งที่มีการคาดการณ์และเตรียมรับมือกันก่อนคือ “พายุวิภา” ซึ่งมีอิทธิพลต่อไทยในช่วงเดือน ก.ค. แต่ปริมาณน้ำที่เกิดขึ้นจริงก็คลาดเคลื่อนกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุดได้รับความนิยมสูงสุด
ไม่ทันตั้งรับพายุฤดูหนาว
20 ก.ค. 2568 กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศเตือนอิทธิพลของพายุ “วิภา” และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ จะส่งผลทำให้ในช่วงวันที่ 20-24 ก.ค. บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ด้านตะวันตกของภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่
“แค่วิภาลูกเดียวทำให้น้ำในเขื่อนสิริกิติ์ขึ้นไปแตะ ระดับ น้ำของปี 54” ผศ.ดร.สิตางศุ์ เล่า “ซึ่งปี 54 ถ้าจำได้คือ เขื่อน ภูมิพล เขื่อน สิริกิติ์เต็มหมด ลูกเดียวคือน้ำขึ้นไปเกือบแตะระดับของปี 54 เลย หลังจากนั้นก็ต้องพยายามพร่องออกมา เราก็จะจำได้ว่าระหว่างนั้น หลังจากวิภาคือปีนี้ก็มีพายุมาเรื่อย ๆ”
ผศ.ดร.สิตางศุ์ บอกว่าเมื่อถึงหน้าพายุ เขื่อนต่าง ๆ ก็พยายามระบายน้ำออก แต่ไม่สามารถระบายออกได้เยอะมาก เพราะปริมาณน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยาสูงตลอดปี และมีช่วงฤดูฝนที่ยาวนานมาก โดยในช่วงปลายเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้ประกาศว่าประเทศไทยเข้าสู่ฤดูหนาว ฝ่ายบริหารจัดการน้ำก็เริ่มคิดถึงการคืนพื้นที่ให้เกษตรกร และกักเก็บน้ำในเขื่อนสำหรับการเพาะปลูกในหน้าแล้งแล้ว แต่ปรากฏว่าผ่านมาหนึ่งสัปดาห์เพิ่งทราบข้อมูลจากกรม ว่าจะมีพายุ “คัลแมกี” เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งลูก ทำให้เตรียมการระบายน้ำไม่ทัน
“สถานการณ์ตอนนั้นคือ นึกออกไหมคะว่าเขื่อนภูมิพลน้ำเยอะ สิริกิติ์น้ำเยอะ สิริกิติ์นี่คือ 90 กว่า เปอร์เซ็นต์ มาตั้งนานแล้ว แล้วเราพยายามพร่องออกไม่ได้ เพราะเจ้าพระยาก็น้ำเยอะ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนของลุ่มน้ำน่านก็น้ำเยอะ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ป่าสักก็น้ำเยอะจากฝนคราวก่อน ๆ น้ำเยอะกันหมด ซึ่งพร่องออกได้น้อยมาก” ผศ.ดร.สิตางศุ์ ระบุ
หนึ่งในคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ กล่าวต่อไปว่าเมื่อพายุคัลแมกีจะมาจึงมีความพยายามคาดการณ์ตัวเลขและทิศทางว่าฝนจะไปทางใด ในช่วงนั้นฝ่ายบริหารจัดการระวังอย่างมากว่าฝนจะไปทางลุ่มน้ำน่าน หรือทางเขื่อนสิริกิติ์ จึงพยายามพร่องน้ำออก แต่ปรากฏว่าทิศทางพายุฝนลูกนี้ไปเข้าที่เขื่อนภูมิพลเยอะ จนกระทั่งทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บเพิ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ 90% ไปจนถึง 96-97% ดังนั้นจึง “มีความหวาดเสียวในการบริหารจัดการเขื่อนภูมิพลพอสมควร”
“ถามว่ามันเป็นความผิดพลาดหรือเปล่า ก็ต้องบอกว่าเป็นการคาดการณ์ฝนที่ระยะที่สั้นเกินไปจนเตรียมการไม่ทัน” ผศ.ดร.สิตางศุ์ กล่าว “คือพายุลูกก่อน ๆ ก็พอจะรู้ จนกระทั่งมาถึงคัลแมกี ซึ่งน้ำเยอะไปหมดทุกเขื่อนแล้ว แต่ว่าการที่เราจะรู้ว่าคัลแมกีจะมาแล้วจะให้น้ำตรงไหน มีความไม่ชัดเจน แล้วรู้ก่อนที่มันจะมาแค่อาทิตย์เดียว”
อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ ย้ำว่าปริมาณฝนจากพายุคัลแมกีที่เข้ามาเติมเขื่อนภูมิพลมีมากกว่าพายุลูกก่อนหน้าของปีนี้ จึงยากแก่การบริหารจัดการเพื่อดึงน้ำออกจากเขื่อน
“ฝนที่จากคัลแมกีที่จะมาเติมเขื่อนภูมิพล เยอะกว่าทุกลูกที่ผ่านมาด้วยซ้ำ ก็เลยดึงน้ำไม่ออก แล้วเจ้าพระยาก็น้ำเยอะ เพราะฉะนั้นพอมันมากอง ๆ อยู่ที่เขื่อนเจ้าพระยาปุ๊บ ก็มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มการระบาย” ผศ.ดร.สิตางศุ์ อธิบาย

ที่มาของภาพ : Thai News Pix
กรม รับการพยากรณ์คาดเคลื่อนได้ ยากจะที่ประเมิน
ด้านเจ้าหน้าที่กรมอุตุนิยมวิทยาซึ่งอยู่ในส่วนของการพยากรณ์สภาพอากาศในช่วงที่ต้องติดตามพายุ ระบุว่าเขาได้ร่วมประชุมกับหน่วยงานบริหารจัดการน้ำ ทั้ง สทนช. และกรมชลประทาน เป็นประจำ และได้ให้ข้อมูลสภาพอากาศทั้งระยะยาว 3-6 เดือนในการประชุม ตลอดจนอัปเดตข้อมูลการพยากรณ์ระยะสั้น 3-7 วัน กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องอยู่เรื่อย ๆ ยอมรับว่าการคาดพยากรณ์อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ โดยเฉพาะเมื่อประเมินล่วงหน้าในระยะยาว กรม จึงต้องอัปเดตข้อมูลอยู่ตลอดเวลา
“มันก็อาจจะมีค่าความคลาดเคลื่อนในการพยากรณ์” เจ้าหน้าที่กรมอุตุนิยมวิทยาผู้ซึ่งให้ข้อมูลโดยไม่ขอออกนาม บอกกับ.
“ในการพยากรณ์มันก็จะมีตั้งแต่ระยะสั้น ระยะกลาง ระยะยาวซึ่งเราก็บอกไว้ตั้งแต่ต้น ตอนที่จะเข้าสู่ฤดูหนาว ช่วงเดือนที่จะเปลี่ยนฤดูกาลมันอาจจะล่าช้าไปสัก 1-2 สัปดาห์ แล้วก็ช่วงที่เข้าสู่ฤดูหนาวใหม่ ๆ ฝนมันก็ยังมีความคลาดเคลื่อนอยู่ มันก็อาจจะมีฝน อันนี้ก็คือเป็นแนวทางที่เราไกด์ไลน์ไปก่อน แต่เวลาที่มันเกิดขึ้นจริง ๆ บางครั้งมันอาจจะต้องมีการปรับเรื่องของข้อมูล”
เขายอมรับว่าด้วยศักยภาพของเครื่องมือที่กรมอุตุนิยมวิทยามีในตอนนี้ เป็นการยากที่จะประเมินได้ว่า เมื่อพายุมาในแต่ละลูกจะมีปริมาณน้ำลงในเขื่อนไหนเท่าใด
“อันนี้ยากเลยครับ เราก็พยายาม หลายคนก็พยายามจะหาปริมาณฝนสอดคล้องกับปริมาณน้ำท่าให้ได้ แต่ว่าเนื่องจากว่า หนึ่ง น้ำบนฟ้า ต้องเข้าใจว่าบางทีมันมีแนวโน้มในการคาดการณ์บรรยากาศ แต่พอลงที่เป็นพื้นดินจริง ๆ มันอาจจะไม่ตกก็ได้เพราะว่าปริมาณความชื้นมันสูง โมเดลอาจจะมองว่าน่าจะเป็นฝนแล้วมันก็ให้ฝนซะเยอะเลย แต่เอาจริง ๆ ฝนดันไม่ตกเพราะว่าเกิดลมแรงขึ้นมา เกิดลมปั่นพัดพากลุ่มเมฆฝนออกไปก็ได้” เขาอธิบาย
“ข้อมูลที่เราตรวจวัดมันอาจจะยังครอบคลุมไม่ถ้วนถี่ สถานีเราอาจจะไม่ได้ชิดกันมาก อันนี้ก็อาจจะเป็นข้อหนึ่ง เราก็พยายามเพิ่มประสิทธิภาพในการพยากรณ์ จริง ๆ ก็อยากทำได้ เพราะว่าการพยากรณ์ทุกวันนี้มันจะมีเครื่องมือเยอะ รวมทั้งระบบต่าง ๆ ที่มาช่วยสนับสนุน แต่ว่าในบ้านเรา การคำนวณปริมาณน้ำฝนกับ ปริมาณน้ำท่าที่มันจะไหลมา ปรากฏว่ามันยังไม่ตรงกันเท่าไหร่ครับ” เขาระบุ
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่กรม รายนี้ ยืนยันว่าประมาณฝนในปี 2568 ในภาพรวมไม่ได้สูงเหมือนกับปีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่นัก โดยแม้จะปีปริมาณฝนมากกว่าปกติราว 8-9 % แต่ถ้าเทียบกับปี 2554 ก็ถือว่ามีปริมาณน้ำน้อยกว่าเกือบเท่าตัว โดยเขายกตัวอย่างเปรียบเทียบสถานการณ์ปีนี้กับในปี 2560 และปี 2565 ที่มีปริมาณมากกว่าปกติ 21-24 %
“ถ้าเปรียบเทียบฝนกับปี 54 ปี 68 ปริมาณฝนค่อนข้างต่างกันอย่างอย่างสิ้นเชิงเลยครับ เกือบครึ่ง เกือบเท่าตัวเลย ปริมาณฝนอย่างปี 68 มันก็ถือว่าไม่ได้มากเกินที่จะเกิดช่วงปลายฤดูกาล ปลาย พ.ย. – ธ.ค.” เขาระบุ
“ถ้ามองจากข้อมูลกับฝนที่เราตรวจวัดจริง ๆ มันก็กระจายดี ปริมาณมันไม่ได้ถึงขนาดท่วมระเนระนาดขนาดนี้ จริง ๆ ก็ยังมองหาสาเหตุอยู่เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เจ้าหน้าที่จากกรมอุตุนิยมวิทยา ทิ้งท้าย
ข้อจำกัดและเรื่องที่ต้อง “ถอดบทเรียน” ในการจัดการน้ำ

ที่มาของภาพ : Nongnapat Patcham/BBC Thai
- ผันลงทุ่งไม่ได้ทั้งหมด
จากที่.ลงพื้นที่ อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อต้นเดือน ต.ค. ชาวบ้านหลายรายสะท้อนปัญหาการผันน้ำลงทุ่ง ที่ไม่สามารถทำได้จริงตามนโยบาย ทำให้พื้นที่ต้องรับน้ำ เป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัยที่ถูกน้ำท่วมสูง จนบางหลังไม่สามารถอยู่อาศัยได้
“ปีนี้ก็ต้องยอมรับว่ามันมีปัญหาในการเอาน้ำเข้าทุ่งจริง ๆ” ผศ.ดร.สิตางศุ์ ซึ่งอยู่ในวงประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการน้ำกล่าว
เธอเปิดเผยว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะปีที่ผ่าน ๆ มามีเจ้าหน้าที่ชลประทานถูกฟ้องร้องหลังจากผันน้ำเข้าทุ่ง ในช่วง 2-3 ปีให้หลังจึงมีการปรับนโยบายให้เจ้าหน้าที่เข้าไปทำประชาคมกับเกษตรกรในแต่ละพื้นที่ก่อนจะปล่อยน้ำเข้าทุ่ง ซึ่งก็มีทั้งพื้นที่ที่ยอมรับน้ำไปบางส่วนและพื้นที่ที่ไม่ยอมรับน้ำ
“บางพื้นที่ที่ไม่รับน้ำ เขาบอกว่าเหตุผลก็คือพื้นที่เขาอยู่ต่ำสุด กว่าที่เขาจะแห้งเขาเป็นพื้นที่สุดท้ายซึ่งได้รับผลกระทบเยอะและยาวนานมาก เพราะฉะนั้นปีนี้เขาขอไม่รับน้ำ แล้วก็มีบางพื้นที่ที่ขอรับน้ำบางส่วน ก็คือ น้ำที่รับ รับได้ แต่ต้องไม่ให้ท่วมถนนซึ่งเขาใช้ถนนในการสัญจร” เธอเปิดเผย พร้อมบอกด้วยว่าอาจมีอีกปัจจัยที่ทำให้เห็นว่าบางพื้นที่น้ำท่วมไม่เท่ากัน เนื่องจากแม้อาจจะอยู่ในพื้นที่ลุ่มต่ำเหมือนกัน แต่ก็จะมีบางจุดเป็น “ที่ดอน” คือจุดที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำท่วมถึงด้วย
“จะเห็นได้ว่าบางพื้นที่ทำไมตรงนี้มันท่วมเยอะ ทำไมน้ำมันยังไปไม่ถึงตรงนู้น แล้วก็ไม่ได้สามารถที่จะเก็บน้ำได้เต็มพื้นที่ลุ่มต่ำตามแผนที่เคยมีในทุกปี ปีนี้ก็ไม่ได้เก็บได้เยอะขนาดนั้น พอเก็บหน่วงไม่ได้เยอะขนาดนั้น มันก็มีพื้นที่ชุมชนที่ได้รับผลกระทบไปด้วย”
นักวิชาการวิศวกรรมบริหารจัดการน้ำ ผู้เป็นที่ปรึกษาของ รมว.เกษตรฯ ประเมินว่าพื้นที่ทุ่งรับน้ำต่าง ๆ ในลุ่มน้ำเจ้าพระยานี้ จะกลับสู่ภาวะปกติคือน้ำลดจนแห้งหมดในช่วงประมาณกลางเดือน ม.ค. โดยลำดับในการระบายน้ำนั้นจะต้องให้น้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาลดระดับลงก่อน จึงจะสามารถระบายน้ำออกจากทุ่งต่าง ๆ ได้
- ขาดระบบ Single Advise (การบัญชาการเหตุการณ์เดี่ยวหรือเบ็ดเสร็จ)
ผศ.ดร.สิตางศุ์ สะท้อนด้วยว่า ปัญหาอีกประการของการบริหารจัดการน้ำในปีนี้คือ “โครงสร้างการสั่งงาน” หรือ “โครงสร้างการรับภัยพิบัติ” ซึ่งเธอมองว่าอุทกภัยในระดับนี้ควรมีระบบการบัญชาการเดี่ยว หรือ “Single Advise” ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย 2 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ และ พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งจะมีผู้บัญชาการเหตุการณ์เป็นรองนายกรัฐมนตรีที่ได้รับมอบหมายหน้าที่ เป็นผู้กำกับเจ้าหน้าที่ภายใต้ พ.ร.บ. ทั้งสองฉบับอีกที
“ถ้าหากว่าระดับการบริหารของรัฐบาลเข้าใจโครงสร้างตรงนี้ จะสามารถทำให้การสั่งการภายใต้วิกฤตน้ำแบบนี้มันมีเอกภาพ” เธอให้ความเห็น “ปีนี้เราเปลี่ยนรัฐบาลมาหลายรอบ แล้วในช่วงน้ำ มันเป็นช่วงรอยต่อของรัฐบาล”
ผศ.ดร.สิตางศุ์ อธิบายต่อว่า ในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาชุดหนึ่งขึ้นมา “ครอบทุกอย่าง” และรัฐบาลนายอนุทิน ชาญวีรกูล ก็ทำแบบเดียวกัน คือตั้งคณะทำงานชุดใหม่ขึ้นมาแทน โดยที่ไม่ได้เข้าใจโครงสร้างการสั่งการ หรือการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเท่าใดนัก
“พอถึงเวลา สส. รัฐมนตรี รองนายกฯ ต่าง ๆ ก็ตกใจ ก็ลงไปดูพื้นที่ ก็พยายามจะคลี่คลายสถานการณ์ในพื้นที่ให้ได้อย่างรวดเร็ว ในขณะที่โครงสร้างของการบริหารจัดการมี สทนช. มี กนช. (กองอำนวยการน้ำแห่งชาต) จริง ๆ ตาม พ.ร.บ.น้ำ ต้องตั้ง กนช. ขึ้นมา ปีนี้ก็ไม่มีการตั้ง แต่ตั้งอะไรก็ไม่รู้มาครอบทุกอย่าง พอไปลงพื้นที่ ทุกคนใหญ่หมด ทุกคนก็อยากจะสั่งเปิด-ปิดบานระบาย มันทำให้การสั่งการปีนี้ ในช่วงที่มีการเปลี่ยนผ่านรัฐบาล และเปลี่ยนผ่านในช่วงของการเกษียณอายุราชการ มันดูชุลมุนมาก” ผศ.ดร.สิตางศุ์ สะท้อน
- การคาดการณ์ไม่แม่นยำ
อีกปัญหาที่นักวิชาการด้านการจัดการน้ำสะท้อน คือ จุดอ่อนจากการคาดการณ์ฝนที่ไม่แม่นยำ ทำให้กระทบต่อการบริหารจัดการน้ำตามมาด้วย
“ไม่ใช่แค่จะบอกว่าเฝ้าระวังฝนตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ภาคเหนือ ภาคกลาง แล้วเวลาเตือนภัยที เตือนสีแดงไปครึ่งประเทศอย่างนี้ การบริหารจัดการเราต้องการข้อมูลที่มันดีเทล ลงรายละเอียด กว่านั้น ยกตัวอย่างเช่น คัลแมกีมา คัลแมกีจะผ่านจังหวัดไหน ฝนจะไปตกที่เหนือเขื่อนสิริกิติ์หรือเหนือเขื่อนภูมิพล ฝนประมาณกี่มิลฯ แล้วก็ต้องคาดการณ์ต่อว่าจะได้น้ำลงอ่างประมาณเท่าไหร่ หรือฝนจะมาลงที่ท้ายเขื่อน” ผศ.ดร.สิตางศุ์ กล่าว
เธอเน้นย้ำว่าข้อมูลส่วนนี้มีความสำคัญมากต่อการบริหารจัดการน้ำว่าจะพร่องน้ำที่ไหนหรือจะบริหารจัดการอย่างไร ซึ่งข้อมูลควรมาล่วงหน้าก่อนเข้าฤดูกาล เพื่อบริหารจัดการน้ำได้อย่างเหมาะสมทั้งในหน้าฝนและหน้าแล้ง
- ขาดแผนจัดการน้ำระยะยาว – “9 แผนหลักเจ้าพระยา” ไม่อัปเดต
ผศ.ดร.สิตางศุ์ กล่าวต่ออีกว่า อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญคือ แผนที่ชื่อว่า “9 แผนหลักเจ้าพระยา” ซึ่งเป็นแผนงาน 9 แผน ในการแก้วิกฤตน้ำท่วมลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างเบ็ดเสร็จ โดยหนึ่งในแผนหลัก คือ ทุ่งหน่วงน้ำ แต่กลับพบว่าปีนี้เป็นแผนที่ใช้แล้วมีปัญหา
“ทุกวันนี้เรื่องของ ‘ทุ่งหน่วงน้ำ' เป็นหนึ่งใน 9 แผนหลัก แต่ในเมื่อมันมีปัญหาก็ต้องย้อนกลับมาทบทวนว่า การที่จะใช้ทุ่งภาคกลางเป็นพื้นที่รับน้ำมันมีปัญหายังไงบ้าง โดยเฉพาะปัญหาประชาสังคมและทำให้ประชาชนเดือดร้อนเป็นเวลานาน… ก็ต้องมาคุยกันว่ารับได้นานสุดเท่าไหร่ คือใช้เขาหน่วงน้ำก็จริง แต่ต้องมีแผนที่ชัดเจนว่ากี่วัน กี่เดือน แล้วหลังจากนั้นจะทำยังไง” ผศ.ดร.สิตางศุ์ ตั้งประเด็น
เธอเปิดเผยว่า ปัจจุบันอาจถึงเวลาที่ต้องทบทวนแผนการบริหารจัดการน้ำที่เรียกว่า “9 แผนหลักเจ้าพระยา” ซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 2554 แล้ว ว่าส่วนไหนที่ทำสำเร็จไปแล้วบ้าง และส่วนไหนที่ยังทำไม่สำเร็จ รวมถึงส่วนไหนที่ควรจะตัดทิ้งเพราะบริบทปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
สำหรับ “9 แผนหลักเจ้าพระยา” ซึ่งระบุไว้บนเว็บไซต์ของ สทนช. ประกอบด้วย
- สร้างคลองระบายน้ำควบคู่กับคลองส่งน้ำชัยนาท-ป่าสัก
- ปรับปรุงโครงสร้างระบบชลประทานเดิมที่มีอยู่ ที่ระบายน้ำผ่านทางคลองระพีพัฒน์และคลองสาขาต่าง ๆ
- ก่อสร้างคลองระบายน้ำสายใหม่ จากแม่น้ำป่าสักลงสู่ทะเลโดยตรง
- เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำของแม่น้ำท่าจีน
- ปรับปรุงโครงสร้างระบบนำน้ำของโครงการชลประทานเดิมที่มีอยู่
- ขุดคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร
- ขุดลอกลำน้ำเจ้าพระยา
- สร้างทำนบ ในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกันน้ำ
- สร้างคลองระบายน้ำควบคู่กับถนนวงแหวนรอบ 3 ฝั่งตะวันออก
ที่ปรึกษา รมว.เกษตรฯ ยกตัวอย่างบางโครงการที่ควรนำมาดำเนินการต่อให้สำเร็จอย่างรวดเร็ว เช่น โครงการสร้างคลองระบายน้ำควบคู่กับคลองส่งน้ำชัยนาท-ป่าสัก และโครงการก่อสร้างคลองระบายน้ำสายใหม่จากแม่น้ำป่าสักลงสู่ทะเลโดยตรง ที่จะเพิ่มการระบายน้ำไปทางฝั่งตะวันออกได้หลายร้อยลูกบาศก์เมตรต่อวินาที
ส่วนโครงการคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ซึ่งกำลังจะเกิดนั้น ผศ.ดร.สิตางศุ์ มองว่าอาจส่งผลกับพื้นที่กรุงเทพฯ ในอนาคตได้ ซึ่งต้องนำข้อเท็จจริงมาพูดคุยกันทั้งหมดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา
“หลังจาก น้ำท่วม ปี 54 เราก็มี JICA (องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น) มาช่วยศึกษา ออกมาเป็น 9 แผนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเราก็มีแค่นั้น” เธอกล่าวถึงแผนบริหารจัดการน้ำระยะยาวของไทยที่ปัจจุบันยังคงยึดโยงอยู่กับแผนเก่าตั้งแต่ปี 2554 และไม่เคยมีการทบทวน “พอเราไม่มีแผนใน long-term (ระยะยาว) ที่ชัดเจน เราก็ต้องแก้ปัญหาแบบทุกวันนี้ไปเรื่อย ๆ ชดเชยกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งสูญเปล่ามาก” ผศ.ดร.สิตางศุ์ สรุป













