แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/65a1 | ดู : 10 ครั้ง จากทั้งหมด 305 ครั้ง ในรอบ 30 วัน
การลงนามในข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา-โดยที่มีสหรัฐอเม

การลงนามในข้อตกลงสันติภาพระหว่างไทย-กัมพูชา โดยที่มีสหรัฐอเมริกาและมาเลเซียเป็นสักขีพยานเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม ที่ผ่านมา ถูกมองว่าเป็นหมุดหมายอันดีต่อความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาหลังผ่านมรสุมครั้งใหญ่ในรอบหลายสิบปี  แต่ความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศกลับมาอยู่ในจุดที่เปราะบางอีกครั้ง หลังผ่านไปเพียง 2 สัปดาห์ เมื่อทางการไทยสั่งระงับข้อตกลงสันติภาพด้วยเหตุที่ทหารไทย 2 นาย บาดเจ็บจากการเหยียบทุ่นsะเบิด

ตามมาด้วยการประกาศชะลอส่งเชลยศึกกลับกัมพูชา รวมถึงชะลอการอนุญาตให้แรงงานกัมพูชาอยู่ในไทย สถานการณ์ยิ่งตึงเครียดขึ้นอีกเมื่อเกิดเหตุยิvใส่กันระหว่างกองทัพ 2 ฝ่ายในช่วงบ่ายวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมาที่บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว ด้านรัฐบาลกัมพูชาอ้างว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต 1 ราย ต่างฝ่ายต่างชี้นิ้วกล่าวหาว่าอีกฝ่ายเริ่มก่อน นับเป็นความตึงเครียดที่สุ่มเสี่ยงจะนำไปสู่สงครามอีกระลอกตั้งแต่ประเทศไทยเปลี่ยนเป็นรัฐบาลอนุทิน

ด้านอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ต่อสายหาผู้นำ 2 ประเทศกลางดึกคืนวันที่ 13 พ.ย. แสดงตัวเป็นกลางในการเจรจาเพื่อสันติภาพอีกครั้ง พร้อมเน้นย้ำว่าผู้นำ 2 ประเทศให้สัญญาณบวก และมุ่งมั่นหาทางออกวิกฤตด้วยแนวทางสันติวิธี ซึ่งก็ต้องจับตาดูต่อไปว่าการเจรจาที่จะเกิดขึ้นอีกครั้งจะยั่งยืนหรือเปราะบางเหมือนหลายรอบที่ผ่านมา

ประชาไทจึงชวน ‘สุภลักษณ์ กาญจนขุนดี’ อดีตนักข่าวที่ติดตามประเด็นชายแดนมายาวนาน และมีความเชี่ยวชาญในด้านความมั่นคง และการเมืองระหว่างประเทศในภูมิภาคอาเซียน มาช่วยวิเคราะห์สถานการณ์และตอบคำถามที่อาจจะยังค้างคาในหลายประเด็น

เรื่องนี้หากย้อนกลับไปดูตอนแรกที่รัฐบาลอนุทินได้ขึ้นมาแทนรัฐบาลเพื่อไทย จะได้รับสารแสดงความยินดีของฮุน มาเนต ที่ดูเหมือนจะหาทางลงด้วยการ “ยื่นช่อมะกอก” ให้ แต่กลับเป็นหมันเพราะไม่ได้รับการตอบสนองจากไทยนัก เพราะภาวะ “อารมณ์ค้าง” ของผู้รักชาติทั้งหลาย

สังเกตได้จากการประชุมทวิภาคีระดับคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (Fashioned Border Committee – GBC) ที่เกาะกง ตอนที่นายกฯ อนุทินขึ้นมาตำแหน่งใหม่ ๆ ไทย-กัมพูชาได้บรรลุข้อตกลงที่สร้างสรรค์อย่างมาก ทั้งแผนการถอนอาวุธ การเก็บกู้ทุ่นsะเบิด รวมทั้งจัดการพื้นที่พิพาทบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้ว แต่วันรุ่งขึ้นบรรดาขุนทหารนำโดยเสนาธิการทหารในเวลานั้นตามด้วยแม่ทัพภาคที่ 2 กลับออกมาบอกว่าเป็นเรื่องรับไม่ได้กับข้อเสนอนี้ จนณัฐพล นาคพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้ไปเจรจาก็ออกมาบอกว่าไม่ได้มีการตกลงอะไรมากมายขนาดนั้น

ระงับข้อตกลงสันติภาพแล้วจะเหลืออะไร?

สุภลักษณ์มองว่า การระงับข้อตกลงสันติภาพเป็นการปิดช่องทางทางการทูต ซึ่งปกติแล้วไทยจะใช้วิธีที่ดีกว่านี้ในการจัดการกับกัมพูชา ถ้าสังเกตฮุน มาเนต ย้ำในแถลงการณ์ว่า กัมพูชาเชื่อมั่นในสันติวิธีและสปิริตของข้อตกลงสันติภาพที่ลงนามไปเมื่อวันที่ 26 ต.ค.

หากพูดกันในทางการทูต ท่าทีของไทยแบบนี้ทำให้กัมพูชากำลังนำเราอยู่ โดยการแสดงให้เห็นว่าเขายังยึดมั่นในแนวทางสันติและต้องการที่จะทำให้สัญญาสงบศึกนี้เกิดผลอย่างจริงจัง ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นจากทุ่นsะเบิดไม่ควรทำให้ภาพใหญ่เสียไป นี่คือจุดยืนที่กัมพูชาพยายามจะนำเสนอต่อโลก

ในขณะที่ไทยที่เป็นประเทศที่ใหญ่กว่า มีกำลังทางทหารเหนือกว่าและอำนาจทางเศรษฐกิจมากกว่ากลับไม่เชื่อมั่นแม้กระทั่งสัญญาที่เราไปเซ็น เป็นการบอกให้โลกรู้ว่าประเทศไทยไม่ศรัทธา ไม่เคารพสัญญาที่ตัวเองไปทำไว้ และกำลังทำให้ไทยสูญเสียอำนาจต่อรองทางการทูตไป

แม้ว่าระหว่างไทย-กัมพูชา มีกลไกทวิภาคีอยู่จำนวนมาก แต่ดูเหมือนว่ากลไกลเหล่านั้นแทบจะไม่ถูกหยิบมาใช้เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อการปะทะ จนเกิดวิพากษ์วิจารณ์ไปจนถึงการเรียกร้องให้ระงับกลไกเหล่านี้ไปเสีย เพราะฝ่ายกัมพูชาไม่มีความจริงใจ แต่คำถามก็คือ กลไกลเหล่านี้ใช้ไม่ได้เพราะกัมพูชาจริงหรือ?

สุภลักษณ์ชี้ว่า กลไกเหล่านี้ขับเคลื่อนด้วยเจตจำนงทางการเมือง (Political will) และความเป็นผู้นำของทั้งสองฝ่าย ดังนั้น กลไกลต่างๆ จึงไม่สามารถทำงานได้ด้วยตัวมันเอง ถ้านับตั้งแต่วันที่ 28 ก.ค.2568 กลไกคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (Fashioned Border Committee – GBC) คณะกรรมการชายแดนภูมิภาค (Regional Border Committee – RBC) หรือคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย – กัมพูชา (Joint Boundary Commission – JBC) ก็ดี ทำงานมาตลอด แต่พอตกลงกันเสร็จแล้วกลับไปต่อไม่ได้

เขายกตัวอย่างเช่น กรณีที่ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกันใน JBC ว่าจะใช้ LiDAR (เทคโนโลยีวัดระยะและความสูงด้วยแสง) หาสันปันน้ำ ผลคือถูกคนในประเทศคัดค้านด้วยเหตุผลว่าเราจะเสียดินแดน หรือที่ พล.อ.ณัฐพลไปเจรจามาแล้วว่าจะเปิดด่านในจุดที่มีความตึงเครียดต่ำก็ถูกประท้วง

อีกตัวอย่างที่ชัดเจนคือวันแรกของการเซ็นสัญญาสันติภาพ ในวันนั้นมีการตกลงกันว่าจะถอนทหารเป็นเชิงสัญลักษณ์ทันที กัมพูชาดำเนินการทันทีในคืนนั้น แต่ฝ่ายไทยรอให้ผ่านไป 2 วันแล้วจึงดำเนินการและถ้าไม่ถูกทวงถามก็อาจจะไม่ทำ ลักษณะนี้จึงไม่ใช่ข้อตกลงของสองประเทศที่อยู่ในฐานะที่สมบูรณ์แล้ว

เวลาฟังข้อมูลจากฝ่ายไทย เราก็บอกว่ากัมพูชาไม่จริงใจ ไม่ปฏิบัติตาม แต่พอเราจะให้มีบุคคลที่สามก็คือทีมสังเกตการณ์ของอาเซียน (Asean Observer Personnel – AOT) เข้ามาตรวจสอบ เราก็ไม่ให้มันทำงานได้เต็มที่ ตามจริงเหตุการณ์ทุ่นsะเบิดก็ดี บ้านหนองจานก็ดี คนรายงานจะต้องเป็น AOT ไทยต้องเอาบุคคลที่สามมาเข้ามาตรวจสอบsะเบิดอย่างโปร่งใส เพราะหากไม่ให้เอาบุคคลที่สามเข้ามา ฝั่งไทยก็บอกว่ากัมพูชาเป็นคนวาง แล้วกัมพูชาก็ปฏิเสธ แล้วจะประชาชนจะเชื่อใคร ทำให้เรื่องไม่มีทางออก

อย่างไรก็ตาม สุภลักษณ์ชี้ปัญหาด้วยว่า ปัญหาที่กลไกอย่าง AOT ทำงานไม่ได้เกิดจากข้อจำกัดที่มีอยู่มาก เพราะเมื่อไปดู TOR ที่ไทยกำหนด ให้ทำงานแยกกัน 2 ฝั่ง ไม่ข้ามแดนกัน แล้วก็อนุญาตให้ไปลงพื้นที่เท่าที่รัฐบาลสองฝั่งให้ไปเท่านั้น แล้วในกรณีของไทยก็จำกัดมากไปจนถึงเรื่องชุดของทีมสังเกตการณ์ว่าจะต้องไม่ใส่ชุดทหารลงไป ซึ่งเจตนาเดิมของไทยไม่ต้องการให้กลไกเหล่านี้ทำงานได้หรือต้องทำอยู่ภายใต้การควบคุมของทหาร

หากไทยจะจัดการเรื่องทุ่นsะเบิดรอบล่าสุดนี้  สุภลักษณ์มองว่ามีเหตุการณ์หลายอย่างที่ถือว่าเป็นคุณต่อฝ่ายไทยเป็นอย่างมาก หากไทยยืนยันว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายที่เข้ามาวางทุ่นsะเบิด สิ่งแรกที่ต้องทำคือแจ้งไปที่กัมพูชาเพื่อขอคำอธิบายอย่างเป็นทางการ หากไม่พอใจกับคำอธิบาย ไทยจะต้องส่งคำขอไปที่เลขาธิการสหประชาชาติเพื่อขอจัดประชุมกับรัฐภาคีของอนุสัญญาออตตาวา ซึ่งกระบวนการกระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการอยู่แล้ว

แต่ถ้าจะให้ดีไปกว่านั้น ไทยต้องร้องขอคณะกรรมการค้นหาข้อเท็จจริง (Fact-finding mission) แต่ไทยก็ต้องเดินหน้าทางการทูตให้มากขึ้น เพื่อขอเสียงสนับสนุนอย่างน้อย 2 ใน 3 จากรัฐสมาชิกในอนุสัญญาออตตาวา

อย่างไรก็ตาม สุภลักษณ์มองว่า เป็นจังหวะที่ไทยอาจจะลำบากแล้ว เนื่องจากรัฐบาลประกาศแล้วว่าจะระงับข้อตกลงสันติภาพ ซึ่งแปลว่าไทยจะไม่ใช้เครื่องมือที่อยู่ภายใต้คำแถลงร่วม-ข้อตกลงสันติภาพ และในเมื่อมีกลไกทวิภาคีหรืออาเซียนอยู่ก็บอกว่าจะไม่ใช้แล้ว จะไปที่สหประชาชาติแทน ยิ่งเข้าทางกัมพูชาเพราะทางกัมพูชาพยายามเรียกร้องให้เรื่องนี้เป็นเรื่องระดับสากลมาโดยตลอดและสามารถย้อนกลับไทยได้ว่ากลไกทวิภาคีใช้ไม่ได้แล้ว ทำให้ไทยตกเป็นฝ่ายตั้งรับแทนที่จะได้เป็นฝ่ายรุกในทางการทูต

“ถ้าเราไม่รีบประกาศ (ระงับข้อตกลงสันติภาพ) เราจะเป็นฝ่ายรุก ในแง่ทางการทูต เราก็จะมีแนวทางในการจัดการปัญหานี้ได้อย่างสันติ แต่เรากลับเลือกวิธีที่แข็งกร้าว และส่อเจตนาจะใช้กำลังทหารอยู่ตลอดเวลา อันนี้มันไม่เป็นผลดีต่อสันติภาพแน่ๆ” สุภลักษณ์กล่าว

ข้อตกลงสันติภาพจากความเต็มใจหรือแค่มัดมือชก?

สุภลักษณ์ตั้งข้อสังเกตว่า โดยทั่วไปปัจจัยภายนอกจากมหาอำนาจถือเป็นแรงกดดันที่มีนัยยะสำคัญโดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ใช้แรงกดดันทางภาษี ซึ่งไทยปฏิเสธลำบาก หากยังรบกันอยู่เขาก็จะไม่ลดภาษีให้ จึงกลายเป็นแรงจูงใจสำคัญที่ทำให้กลับมาเจรจากันอีกครั้ง แม้ว่าสัญญาที่ทำกันขึ้นมาจะค่อนข้างเปราะบางก็ตามที

ในขณะที่กัมพูชาเองที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของจีน โดยเฉพาะยิ่งทางการทหารซึ่งเป็นเรื่องที่ทราบกันดีว่าจีนเป็นคนสร้างฐานทัพที่เรียม และสิ่งนี้ก็สร้างความกังวลให้สหรัฐฯ ที่ติดตามความเคลื่อนไหวทางทหารของจีนอย่างใกล้ชิด แต่ไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจนนักจนกระทั่งรอบนี้ ขณะเดียวกันกัมพูชาเองก็รู้สึกว่าตัวเองอยู่ภายใต้อิทธิพลจีนมานานเกินไปแล้ว จึงถึงเวลาที่จะมหาอำนาจอื่นเข้ามา แต่สหรัฐฯ เองก็ขึ้นบัญชีดำคนในเครือข่ายใกล้ชิดตระกูลฮุนด้วยข้อหาต่างๆ เช่น ค้ามนุษย์ ฟอกเงิน การแซงชั่นของสหรัฐฯ จึงส่งผลต่อการตัดสินใจของรัฐบาลในพนมเปญอย่างมาก เพราะไม่มีทางเลือกทำให้ต้องดึงสหรัฐฯ เข้ามา

ส่วนไทยกับจีน สุภลักษณ์ก็มองว่าไทยเองก็ระแวงจีนที่จะส่งอาวุธให้กัมพูชาเพิ่มเพื่อมาเล่นงานไทย มีการตรวจสอบข่าวกันอยู่ แล้วพอนิวยอร์คไทม์ปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกมาช่วงเดือนต้นเดือนมิถุนายนว่า จีนส่งอาวุธให้กัมพูชา แม้ทางรัฐบาลจีนจะปฏิเสธกันเสียงแข็ง แต่เมื่อข่าวออกมาเช่นนี้ก็ทำให้รัฐบาลจีนต้องระมัดระวังท่าทีมากขึ้น เป็นการเปิดโอกาสให้ทรัมป์ได้ชิงจังหวะใช้มาตรการกับทั้งไทยและกัมพูชาได้อย่างเต็มที่โดยที่กัมพูชาและไทยไม่เหลือทางเลือกที่จะไปเข้าหาจีนได้ จนผลสุดท้ายสามารถบังคับให้ทั้งหมดต้องกลับมานั่งโต๊ะเจรจากัน แม้ว่าจะไม่ค่อยเต็มใจมากเท่าใดนัก

รัฐบาลอนุทินขี่กระแสชาตินิยม

สุภลักษณ์ตั้งข้อสังเกตอีกว่า ในขณะที่กระแสชาตินิยมกำลังกลับมาหลังจากลดระดับไปช่วงหนึ่ง หลังแต่ละฝ่ายเริ่มเดินไปที่โต๊ะเจรจา (และแน่นอนว่าเกี่ยวกับการเปลี่ยนนายกฯ ด้วย) แต่พอเสียงsะเบิดดังขึ้น กระแสก็กลับมาอีกครั้ง รัฐบาลอนุทินก็ดูเหมือนจะขี่กระแสด้วยการชิงประกาศระงับข้อตกลงที่ทำกันแทบจะทันที จนบางคนก็ประเมินว่ารัฐบาลภูมิใจไทยกำลังอาศัยกระแสเรียกความนิยมให้ตัวเองเผื่อการเลือกตั้งครั้งหน้าไปด้วยเลยหรือไม่

“ความตั้งใจของคุณอนุทินคงใช่ แต่ในทางความเป็นจริงจะทำได้หรือเปล่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะว่าประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของการเลือกตั้ง มันไม่ค่อยสัมพันธ์อะไรกับเรื่องชาตินิยม” สุภลักษณ์ระบุ

สุภลักษณ์ย้อนกลับไปเมื่อครั้งกรณีปัญหาประสาทเขาพระวิหาร ตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอยู่พยายามเล่นกับกระแสชาตินิยมหวังได้คะแนนนิยม แต่เมื่อเรื่องไปถึงศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) หรือที่เรียกกันว่าศาลโลกแล้วสุดท้ายก็แพ้การเลือกตั้งอยู่ดี

แม้ประวัติศาสตร์กำลังบอกเราว่า การเลี้ยงกระแสชาตินิยมไม่ได้ผลกับการได้คะแนนเสียงท่วมท้นในเลือกตั้ง แต่เที่ยวนี้สุภลักษณ์มองว่านายกฯ อนุทินอาจจะมองว่าพอมีความหวัง เพราะประเมินว่ากระแสคราวนี้แรงกว่าคราวก่อนมาก คนไทยรู้สึกเจ็บแค้นจากการรบครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นจนมีความสูญเสียมาก ทำให้คนไทยอยากเห็นรัฐบาลแสดงท่าทีที่แข็งกร้าว

แต่ในทางกลับกัน การเลี้ยงกระแสชาตินิยมเช่นนี้มีปัญหาอยู่ด้วยเช่นกัน เพราะไม่สามารถแปรเปลี่ยนออกมาเป็นนโยบายที่เป็นรูปธรรมได้ นโยบายแบบไหนที่จะบอกได้ว่ารัฐบาลรักชาติ และจะทำอย่างไรกับความรักชาติอันนี้ เพื่อแปลออกมาเป็นโครงการที่เป็นรูปธรรมเพื่อดึงให้คนมาลงคะแนนให้

“กล้าประกาศไหมว่าเราจะยึดคืนปราสาทพระวิหาร เราจะยึดปราสาทตาควาย เราจะส่งกองกำลังไปยึดพระตะบอง เสียมเรียบ ศรีโสภณเอากลับมาให้เป็นของไทยอีกครั้งหนึ่ง จะมีพรรคการเมืองไหนกล้า คุณอนุทินจะกล้าพูดถึงขนาดนั้นหรือเปล่า ผมก็คิดว่าเขาไม่กล้าพูดขนาดนั้นหรอก” สุภลักษณ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม เขามองว่า ในขณะที่พรรคภูมิใจไทยอาจจะคาดหวังคะแนนจากเรื่องนี้พอสมควร แต่การเลี้ยงกระแสอย่างเดียวอาจรับประกันไม่ได้ขนาดนั้น อาจจะต้องเลี้ยงกระแสไปพร้อมกับการโจมตีพรรคเพื่อไทยว่าทำผิด เป็นเรื่องของทักษิณ ชินวัตร มีปัญหาขัดแย้งกับฮุน เซน ทำให้ประชาชนเดือดร้อนซึ่งอาจได้ผลบางพื้นที่เช่น อีสานใต้ ซึ่งเป็นที่มั่นของพรรคภูมิใจไทย

ทั้งนี้สุภลักษณ์ประเมินว่า ไม่ว่าประชาชนส่วนอื่นในประเทศที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจะคิดอย่างไร แต่ประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงกำลังคาดหวังว่าเรื่องนี้ควรจะจบได้แล้ว เพราะถ้ารัฐบาลยังทำให้เรื่องไม่จบต่อไปประชาชนก็จะยังอยู่ในความหวาดวิตก ทำมาหากินไม่สะดวกรายได้หดหาย ความขัดแย้งทำให้ชีวิตของพวกเขาไม่ราบรื่น แม้ว่ารอบก่อนอาจจะยังไม่มีใครกล้าออกมาพูดนัก แต่ตอนนี้ก็เริ่มมีคนออกมาพูดว่ายังไม่ได้รับเงินชดเชยเป็นเรื่องเป็นราว ทหารก็ห้ามชาวบ้านขึ้นไปกรีดยาง

ต่อคำถามว่า การปะทะกันจะเป็นเหตุให้รัฐบาลอนุทินใช้ในการอยู่ยาวต่อหรือไม่

เรื่องนี้สุภลักษณ์มองว่าถึงจะเป็นไปได้ แต่หากดูความพร้อมทั้งด้านเศรษฐกิจของไทยและความสามารถของกองทัพเองล้วนมีปัญหาทั้งคู่หากสถานการณ์สงครามจะยืดยาวออกไปเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับรัฐบาลอยู่ต่อ เพราะไทยเองพึ่งพาแรงงานกัมพูชามากและตอนนี้ 90% ก็กลับไปแล้ว อีกทั้งการค้าชายแดนชะงักมาหลายเดือน และคนกัมพูชาก็ต่อต้านสินค้าไทย ความรู้สึกของคนในพื้นที่ก็เริ่มสะท้อนให้เห็นผ่านข่าวที่ว่าขอเก็บเกี่ยวข้าวก่อนอย่าเพิ่งเปิดฉากยิv ส่วนกองทัพไทยเองก็มีปัญหาเรื่องส่งกำลังบำรุงอยู่

จะสันติได้กี่โมง ถ้ากองทัพยังขี่หลังรัฐบาลอยู่

หากย้อนดูบทบาทของกองทัพไทยในความขัดแย้งไทย-กัมพูชา จะเห็นว่าเป็นตัวแปรสำคัญมากต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระลอกนี้มาตั้งแต่ต้นปี และบทบาทที่ว่านี้ไม่ใช่แค่การรบในสนาม แต่เป็นบทบาททางการเมืองที่ปรากฏให้เห็นในหน้าสื่อ ตั้งแต่ก่อนปะทะกันรอบแรกที่ออกมาตีเส้นเขตแดนไทย-กัมพูชาเรียบร้อยแล้วว่าจะใช้แผนที่ใดในการแบ่งดินแดน ทั้งที่กลไกทวิภาคีของ 2 ประเทศซึ่งตั้งมาตามกลไกใน MOU43 ยังปักหมุดเขตแดนกันไม่เสร็จ และกองทัพยังเล่นบทปลุกกระแสพร้อมรบนำหน้ารัฐบาลไปก่อนแล้วด้วยแคมเปญ ‘ส่งด่วนsะเบิด’ ไปให้กัมพูชา ลงท้ายยังปิดปราสาทตาควาย-ตาเมือนธมก่อนนำไปสู่การปะทะในวันรุ่งขึ้น

จนรอบหลังสงคราม พล.ท.บุญสิน พาดกลาง อดีตแม่ทัพภาคที่ 2 ไม่เพียงแต่เดินสายพูดตั้งแต่ก่อนเกษียณ หลังเกษียณยังทิ้งsะเบิดลูกใหญ่ไว้ว่ามีคนสั่งให้หยุดรบหลังเปิดฉากยิvกันไป 6 ชั่วโมง จนพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในปัจจุบันที่ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีช่วย รวมถึงภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองนายกฯ และ รมว.กลาโหมในเวลานั้นต้องออกมาแก้ข่าวกันพัลวัน ก่อนที่sะเบิดลูกนี้จะกลายเป็นsะเบิดด้าน เพราะสุดท้ายพล.ท.บุญสินออกมาแก้ข่าวเองว่าไม่ได้มีใครสั่งให้หยุดรบแค่ปรึกษากันด้วยความเป็นห่วง

ล่าสุดเมื่อเสียงsะเบิดดังขึ้นที่ชายแดนอีกระลอกจากทุ่นsะเบิดที่ไทยระบุว่ากัมพูชาฝังไว้ ซึ่งยังไม่ทันได้คำตอบที่ชัดเจน กองทัพอากาศก็ชิงออกมาประกาศแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยว่าข้อตกลงใดๆ ที่ทำกันไว้กับกัมพูชาเป็นอันระงับไป ซึ่งน่าสนใจว่าตกลงแล้วคนที่ไปเจรจาเป็นรัฐบาลหรือกองทัพกันแน่

เมื่อให้สุภลักษณ์ประเมินบทบาทของกองทัพในรัฐบาลอนุทินว่ามีอิทธิพลมากน้อยแค่ไหนในปมขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่ลากต่อเนื่องมา เขามองว่า กองทัพกำหนดได้เกือบจะ 100% ว่าจะให้ความขัดแย้งยืดเยื้อต่อหรือพอแค่นี้ โดยเฉพาะเมื่อไม่มีการนำที่เข้มแข็งจากรัฐบาลพลเรือน แต่ในรัฐบาลอนุทินแตกต่างออกไปจากรัฐบาลที่แล้ว เพราะกองทัพกุมอำนาจเบ็ดเสร็จได้มากกว่า

“สมัยคุณแพทองธารยังมีความไม่ไว้วางใจ เนื่องจากรัฐบาลของตระกูลชินวัตรถูกยึดอำนาจ 2 ครั้ง 2 ครา ความไม่ไว้วางใจระหว่างกองทัพกับพรรคเพื่อไทยมันมีอยู่สูงมาก เขาจะมีอาการที่เรียกว่าจ้องมองซึ่งกันและกัน แต่กับคุณอนุทินไม่เลย กองทัพสามารถขี่หลังได้ 100% ถ้าคุณไม่มีกองทัพหนุนอยู่ รัฐบาลคุณไม่รอด” สุภลักษณ์กล่าว

นอกจากนั้นเขาเห็นว่า การเคลื่อนไหวและการตอบสนองของฝ่ายไทยล่าสุดในการระงับข้อตกลงสันติภาพก็ชี้ว่าฝ่ายอนุรักษนิยมและทหารสายเหยี่ยวของไทยยังไม่อยากหยุดความขัดแย้ง อีกทั้งการโยกย้ายตำแหน่งในกองทัพเพิ่งผ่านไปเดือนกันยายน-ตุลาคม สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือแสดงว่าพวกเขาเข้มแข็งไม่ยอมอ่อนข้อให้กัมพูชาเพื่อที่จะสร้างความชอบธรรมให้สถานะทางการเมืองของกองทัพให้อยู่เหนือรัฐบาลต่อไป

สุภลักษณ์กล่าวว่า เหนือสิ่งอื่นใด พลเรือนกับกองทัพมีแนวคิดที่แตกต่างกัน กองทัพคิดแค่ว่าจะเอาชนะในสมรภูมิให้ได้ ไม่ว่าจะจ่ายเท่าไหร่ และสังคมไทยตกอยู่ภายใต้แนวคิดทางทหารแบบนี้นานเกินไปจนถอนตัวไม่ขึ้น นั่นทำให้เหล่าอินฟลูเอนเซอร์ นักวิชาการทั้งหลายพลอยคิดไปด้วยว่าเกียรติภูมิของชาติคือการยึดประสาทตาควายแล้วก็ไล่ ชาวกัมพูชาออกไปจากบ้านหนองจาน-หนองหญ้าแก้วเพื่อให้ได้พื้นที่ไม่กี่ไร่ตามแนวตะเข็บชายแดนมา แล้วนักวิชาการก็มาอธิบายให้กลายเป็นเรื่องของเกียรติภูมิของชาติและอธิปไตยที่เป็นเรื่องนามธรรม

“คอมเมนเตเตอร์ทั้งหลายแหล่ที่ออกทีวีเป็น narrative ทางทหาร เขาไม่คำนึงเลยว่าเศรษฐกิจของเรากำลังกำลังจะมีปัญหา การค้ามันหยุดชะงักมา 3 เดือนแล้ว ความเดือดร้อนของประชาชนที่อยู่ตามแนวชายแดนมันจะขนาดไหน เขาไม่คำนึงเลยว่าความจริงแล้ว เศรษฐกิจไทยพึ่งพิงแรงงานกัมพูชาเป็นล้านหายไปเกือบหมดแล้ว จะอยู่ยังไง เขาไม่คำนึงเลยว่ากัมพูชาต่อต้านสินค้าไทยจะสร้างความเสียหายในทางเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของไทย เพราะฉะนั้นเมื่อเรื่องเล่าทางทหารครอบงำสังคมจนกระทั่งเราก็ถอนตัวไม่ขึ้น และเมื่อมีใครพูดถึงความเสียหายในทางเศรษฐกิจ คนนั้นๆ ก็จะโดนสังคมประณาม”

ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )

เรื่องที่เกี่ยวข้อง:

ผู้เรียบเรียง

ให้คะแนนความพอใจของคุณ :

0 / 5 คะแนน 0

คุณให้คะแนน:

แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/65a1 | ดู : 10 ครั้ง จากทั้งหมด 305 ครั้ง ในรอบ 30 วัน
  1. 55-ล้าน-ทรัพย์สิน-‘สุรโชค-ต่างวิวัฒน์’-อดีตเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา-รายได้-24-ล./ปี 55 ล้าน ทรัพย์สิน ‘สุรโชค ต่างวิวัฒน์’ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา รายได้ 2.4 ล./ปี
  2. 29-พย68-เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงาน-ม4-ตบ่อวิน-อศรีราชา-จ.ช-|-2025-11-29-05:00:00 29 พ.ย.68 เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงาน ม.4 ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ช 2025-11-29 05:00:00
  3. น้ำท่วมกระทบท่องเที่ยว โรงแรมหาดใหญ่ขอรัฐเร่งเยียวยา | มหาอุทกภัยภาคใต้ 2568 30 พ.ย. 68 น้ำท่วมกระทบท่องเที่ยว โรงแรมหาดใหญ่ขอรัฐเร่งเยียวยา | มหาอุทกภัยภาคใต้ 2568 30 พ.ย. 68
  4. คนที่คิดจะเปิดบัญชีม้าต้องดูคลิปนี้.-เพราะล่าสุดศาลอาญาพิพา คนที่คิดจะเปิดบัญชีม้าต้องดูคลิปนี้ . เพราะล่าสุดศาลอาญาพิพา
  5. สด…อ.เมืองปัตตานี-เขตเศรษฐกิจอำเภอเมืองปัตตานี-น้ำเริ่มลดล สด…อ.เมืองปัตตานี เขตเศรษฐกิจอำเภอเมืองปัตตานี น้ำเริ่มลดล
  6. ‘นิด้าโพล’เผย-ปชชภาคใต้-32.35%-ยังหาคนเหมาะเป็นนายกฯไม่ได้-‘อภิสิทธิ์’-เหนือ-‘อนุทิน’ ‘นิด้าโพล’เผย ประชาชนภาคใต้ 32.35% ยังหาคนเหมาะเป็นนายกฯไม่ได้ -‘อภิสิทธิ์’ เหนือ ‘อนุทิน’
  7. ด่วน อนุทินเคาะประตูแจกถุงยังชีพ แนะประชาชนรีบรับเงิน 9 พัน ด่วน อนุทินเคาะประตูแจกถุงยังชีพ แนะประชาชนรีบรับเงิน 9 พัน
  8. ครอบครัวเปิดใจ ขอบคุณทีมเจ็ตสกี ช่วยยายป่วยติดเตียงนอนแช่น้ำ รอความช่วยเหลือ 2 วัน อัพเดทข่าว ครอบครัวเปิดใจ ขอบคุณทีมเจ็ตสกี ช่วยยายป่วยติดเตียงนอนแช่น้ำ รอความช่วยเหลือ 2 วัน อัพเดทข่าว
  9. ผ้าปาเต๊ะจมโคลน ต้องเทขายขาดทุนยกร้าน | สำนักข่าววันนิวส์ ผ้าปาเต๊ะจมโคลน ต้องเทขายขาดทุนยกร้าน | สำนักข่าววันนิวส์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *


Share via
Click to Hide Advanced Floating Content
Send this to a friend