แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/6qao | ดู : 10 ครั้ง จากทั้งหมด 305 ครั้ง ในรอบ 30 วัน
อีกไม่ถึงเดือน-เทศกาลเก็บเกี่ยวอ้อยทั่วประเทศก็จะมาถึง-ช่วงเ

อีกไม่ถึงเดือน เทศกาลเก็บเกี่ยวอ้อยทั่วประเทศก็จะมาถึง

ช่วงเวลาที่ชาวไร่เรียกว่า ‘ฤดูเปิดหีบอ้อย’ ฤดูกาลที่ทั้งประเทศต้องเร่งเครื่องจักรและแรงงานให้หมุนไปพร้อมกัน โดยกินเวลา 3-4 เดือน ราวธันวาคมปีนี้ถึงมีนาคมปีหน้าก่อนโรงงานจะประกาศ ‘ปิดหีบ’ นั่นหมายความชาวไร่ที่ตัดอ้อยส่งโรงงานไม่ทันวันเวลา จะต้องแบกรับการขาดทุนและหนี้สินที่พอกพูนขึ้นไปตามระเบียบ

ในช่วงเวลาปกติ การตัดอ้อยส่งโรงงานตามระยะเวลาที่กำหนดไม่ใช่ปัญหาของชาวไร่ นั่นเพราะพวกเขาจะวางแผนไว้เนิ่นๆ ตั้งแต่ประสานหาแรงงานข้ามชาติมาช่วยเก็บเกี่ยว เตรียมเครื่องจักรและการขนส่งไว้เสร็จสรรพ ติดต่อโรงงานเพื่อขอโควต้าการขายอ้อย ไปจนถึงเตรียมพร้อมสำหรับการปลูกอ้อยในรอบถัดไป

ทว่าเรื่องราวของฤดูหีบอ้อยปีนี้ ไม่ได้เริ่มที่ไร่ แต่เริ่มจากแนวชายแดน จากเสียงปืนและการอพยพที่เปลี่ยนโครงสร้างแรงงานของทั้งประเทศ และสั่นสะเทือนอุตสาหกรรมอ้อยไทยทั้งระบบ

‘ชาวกัมพูชา’ คือแรงงานหลักในฤดูหีบอ้อยไทยมายาวนานหลายทศวรรษ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกและภาคกลางตอนล่าง รองลงมาคือแรงงานเมียนมาในภาคตะวันตกและภาคเหนือ และแรงงานลาวในภาคอีสาน พวกเขาเดินทางเข้ามาผ่านระบบ MOU หรือ Border Pass ในช่วงปลายปี และกลับประเทศหรือหางานอื่นทำหลังฤดูหีบจบลงราวเดือนมีนาคม

การทำงานแบบหมุนเวียนเช่นนี้ทำให้ไร่อ้อยไทยพึ่งพาแรงงานกัมพูชาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะพวกเขามีทักษะเฉพาะด้านตัดอ้อย รู้จังหวะการทำงานกับเครื่องจักร และสามารถทำงานเป็นทีมได้รวดเร็วภายใต้ต้นทุนที่เจ้าของไร่ยังพอรับไหว

ปัจจุบัน จากการประเมินของสมาคมชาวไร่อ้อยวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว พบว่าแรงงานกัมพูชาหายไปมากกว่า 90% จากเหตุความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เมื่อแรงงานกลุ่มนี้หายไป อาชีพของชาวไร่จึงเหมือนถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย พวกเขาจะตัดอ้อยส่งโรงงานทันหรือไม่? ผลผลิตที่หวังว่าจะสร้างกำไรเพื่อลงทุนในฤดูกาลหน้า จะกลับกลายเป็นหนี้สินที่พอกพูนจากเดิมหรือไม่? และหากความขัดแย้งยืดเยื้อ ความหวานของอ้อยปีนี้อาจถูกกลืนด้วยความขมของชีวิตคนทำไร่ ผู้ที่ต้องยืนอยู่กลางพายุโดยไม่มีใครค้ำยัน

นับแต่วันที่เสียงปืนดัง

อย่างตรงไปตรงมา นับตั้งแต่เกิดเหตุปะทะที่ชายแดนไทย-กัมพูชา จากข้อพิพาทเรื่องเขตแดนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2568 บานปลายเรื่อยมาจนสั่นสะเทือนแนวชายแดนทั้งประเทศ ส่งผลให้หลายด่านผ่านแดนมีคำสั่งปิดอย่างไม่มีกำหนดจนถึงปัจจุบัน เช่น จังหวัดสระแก้ว

สระแก้ว เป็นจังหวัดแนวหน้าที่เชื่อมระบบแรงงานข้ามพรมแดนโดยตรงกับกัมพูชา อีกทั้งยังมีพื้นที่ปลูกอ้อยมากกว่า 400,0001 ไร่ มีโรงงานน้ำตาล 3 แห่งภายใต้บริษัทน้ำตาลและอ้อยตะวันออก จำกัด (มหาชน) และบริษัท น้ำตาลนิวกว้างสุ้นหลี จำกัด สาขาวัฒนานคร (KSL Neighborhood) ซึ่งสร้างผลผลิตถึง 4 ล้านตันต่อฤดูกาลหีบอ้อย

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชาวไร่พยายามปรับตัวจากระบบเกษตรที่ใช้แรงงานคนและการเผาอ้อยเป็นหลัก มาใช้เทคโนโลยีเครื่องจักรเพื่อลดต้นทุนและลดการเผาก่อนเก็บเกี่ยว พวกเขารวมกลุ่มกันเข้าร่วมโครงการกับธนาคารและภาครัฐ เพื่อกู้ซื้อรถตัดอ้อยดอกเบี้ยต่ำ ทำให้เกษตรกรเข้าถึงเครื่องจักรราคาแพงได้ และช่วยบรรเทาปัญหาขาดแคลนแรงงานในระยะยาว

แต่รถตัดอ้อยก็ไม่ใช่คำตอบของทุกปัญหา เพราะในความเป็นจริง ยังมีไร่อ้อยอีกจำนวนมากที่ไม่สามารถใช้รถตัดอ้อยได้ รถตัดหนึ่งคันมีน้ำหนักถึง 14–20 ตัน ต้องอาศัยแปลงอ้อยที่ราบเรียบ ดินแน่นและแข็ง ไม่ชัน และมีทางกลับรถกว้างพอ ทว่าในหลายจังหวัดกลับใช้ได้จำกัดจากลักษณะภูมิประเทศแบบลูกคลื่นลอนลาด พื้นที่ที่มีทั้งที่ราบ เนิน และลาดเอียง อีกทั้งดินร่วนผสมทรายและลูกรังที่เสี่ยงต่อการทำให้รถเสียหาย ชาวไร่จึงยังต้องพึ่งพาแรงงานคนเก็บเกี่ยวอ้อย และแรงงานเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นแรงงานข้ามชาติ โดยเฉพาะแรงงานกัมพูชา

สระแก้วก็เช่นเดียวกัน เกือบ 40% ของพื้นที่ หรือราว 140,000 ไร่ ไม่สามารถใช้เครื่องจักรได้ เนื่องจากสภาพแปลงและภูมิประเทศบางส่วนมีลักษณะเป็นเนินลาดเอียง นั่นทำให้เกษตรกรในจังหวัดต้องพึ่งพาแรงงานกัมพูชามากถึง 15,000 คนต่อฤดูกาล …แต่ปัจจุบัน แรงงานที่ว่าเหลือแค่พันกว่าคนในจังหวัดเท่านั้น

คำถามคือ อ้อยกว่า 140,000 ไร่ ที่ต้องอาศัยแรงงานคนตัดให้เสร็จภายใน 3-4 เดือนช่วงเปิดหีบ จะทำอย่างไรกันดี?

อโนทัย เนียมสำโรง นายกสมาคมชาวไร่อ้อยวังน้ำเย็น, รองประธานสหพันธ์ชาวไร่อ้อยแห่งประเทศไทย และเกษตรกรเจ้าของไร่อ้อย 1,200 ไร่ เล่าให้ฟังว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของจังหวัดสระแก้วคือพื้นที่เกษตรกร โดยมีพืชหลักคืออ้อย และคละด้วยพืชอื่นๆ เช่น มันสำปะหลัง นาข้าว ปาล์มน้ำมัน ยางพารา และลำใย ซึ่งอ้อยคือพืชใช้แรงงานมากกว่าพืชอื่นๆ โดยเฉพาะช่วงเปิดหีบอ้อย

ยกตัวอย่างไร่ของอโนทัย ครึ่งหนึ่งของพื้นที่หรือราว 600 ไร่ จำเป็นต้องใช้แรงงานราว 70 คนในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว โดยในจำนวนนี้ 50 คนคือแรงงานตัดอ้อย และอีก 20 คน รับหน้าที่รดน้ำ ตัดพันธุ์อ้อย และงานอื่นๆ หลังเก็บเกี่ยวเสร็จ อโนทัยจะเหลือแรงงานไว้ราว 30 คน เพื่อทำงานอื่นๆ ในไร่ ส่วนแรงงาน 40 คนที่เหลือก็จะแยกย้ายไปทำงานอื่นๆ บ้างก็กลับภูมิลำเนาเพื่อรอฤดูกาลเก็บเกี่ยวครั้งถัดไป

อโนทัยผูกพันกับแรงงานกัมพูชามาร่วม 20 ปี ชนิดที่เคยไปร่วมงานแต่งของลูกน้องที่ประเทศบ้านเกิด  ลูกๆ ของแรงงานมักเรียกเธอว่า ‘ยาย’ และเด็กๆ หลายคนก็ผ่านมือเธอที่คอยช่วยเลี้ยงดูมาคนเเล้วคนเล่า  รวมถึงให้พวกเขาได้เข้าศึกษาในโรงเรียนรัฐบาลในชุมชนอีกด้วย

ไม่ใช่แค่ความผูกพัน แต่ในฐานะผู้ประกอบการแล้วเธอยอมรับเลยว่าคนกัมพูชาขึ้นชื่อเรื่องความ ‘อึด ถึก ทน’ กับงานในไร่อ้อยต่างจากแรงงานชาติอื่นๆ  อีกทั้งอ้อยเองก็ไม่ใช่พืชที่อ่อนโยนต่อแรงงานเท่าใดนัก ทั้งเปลือกที่แข็งราวหิน ผิวของมันมีขนแหลม ใบคมและเหนียว ยิ่งเมื่อเสียดสีกับผิวก็อาจถูกบาดได้ง่าย ทุกครั้งที่แรงงานก้มลงตัดอ้อยสดหนึ่ง พวกเขาต้องตัดไปถอยไป ก้มแล้วลุกเป็นพันครั้งในหนึ่งวัน ถูกใบอ้อยตีเข้าแขนเข้าหน้าเป็นระยะ และยิ่งเจอกับเหงื่อที่ไหลท่วมตัวและความร้อนของฤดูกาล นั่นก็ไม่ต่างกับการทำงานในดงเพลิงแผดเผาดีๆ นี่เอง

อโนทัยตระหนักดีถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมที่พึ่งพาแรงงานข้ามชาติ เธอจึงเคยจ้างทั้งแรงงานไทยและแรงงานชาติอื่นๆ แต่ประสบการณ์ที่เธอได้รับนั้นไม่น่าพอใจนัก ทั้งถูกโกงมัดจำ และการทำงานที่ไม่ได้ประสิทธิภาพและความเร็วเท่าที่ควร

“สระแก้วมีพื้นที่ที่ต้องใช้แรงงานคนตัดอ้อยสดเป็นล้านตัน โดยแรงงานกัมพูชาที่มีความชำนาญ 1 คน สามารถตัดอ้อยได้ประมาณ 2-2.5 ตันต่อคนต่อวัน และต้องตัดให้เสร็จในระยะเวลาเก็บเกี่ยวไม่เกิน 90 วัน ทำให้เราต้องใช้แรงงานข้ามชาติเหล่านี้

“ทางเราก็เคยจ้างคนไทย แต่คนไทยไม่ทำ บอกว่ามันร้อน แต่ถ้าเป็นแรงงานกัมพูชา เขาถอดเสื้อ ตัดอ้อย แดดกูก็ไม่สน” อโนทัยเล่า

ตัวเลขจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ เผยว่า  ในไตรมาสที่ 1 ปี 2568 ประเทศไทยมีผู้ว่างงานอยู่ที่ประมาณ 0.9% หรือราว 360,000 คน ทว่าในภาคการเกษตรที่มีแรงงานไทยเข้าสู่ระบบน้อยมาก ทั้งๆ ภาคเกษตรขาดแคลนแรงงานจนต้องพึ่งพาแรงงานข้ามชาติจำนวนมาก

เหตุผลเพราะว่าแรงงานไทยที่ว่างงานและแรงงานภาคการเกษตรที่ขาดแคลน ‘ไม่ใช่กลุ่มเดียวกัน’ อีกทั้งคนว่างงานจำนวนมากอยู่ในเมือง มีการศึกษาระดับมัธยมไปจนถึงอุดมศึกษา พวกเขาต้องการงานประจำ รายได้แน่นอน ขณะที่ภาคเกษตรต้องการแรงงานกายภาพเฉพาะช่วงฤดูกาล อีกทั้งสถานที่ทำงานก็อยู่ในพื้นที่ชนบทห่างไกล โครงสร้างเศรษฐกิจไทยจึงมีช่องว่างของแรงงานที่แรงงานข้ามชาติเข้ามาเติมเต็มได้ดีกว่า รวดเร็วและยืดหยุ่นกว่า

อโนทัยอธิบายเพิ่มว่า แรงงานกัมพูชาที่มาทำงานในไทยจะเข้ามาผ่านระบบ Memorandum of Thought (MOU) แรงงานข้ามชาติของไทย–กัมพูชา และระบบ Border Pass Map ตามมาตรา 64 ที่อนุญาตให้นำแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชาและเมียนมาเข้ามาทำงานในพื้นที่ชายแดนไทยเป็นไป-กลับ หรือตามฤดูกาล เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะงานภาคเกษตร

โดยแรงงานภายใต้สัญญา MOU มักเป็นแรงงานประจำหรือมีระยะเวลาทำงานยาวกว่า เช่นงานในโรงงาน ก่อสร้าง ประมง หรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่มีการจ้างงานต่อเนื่อง ส่วนแรงงานในไร่อ้อยจะใช้แรงงานจำนวนมากช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวเพียง 3-4 เดือน แรงงานส่วนมากจึงมาผ่านระบบ Border Pass  เช่นในพื้นที่สระแก้ว จันทบุรี ตาก หนองคาย เป็นต้น

กว่าจะได้แรงงานมาตัดอ้อย 1 คน อโนทัยต้องจ่ายค่าตรวจสุขภาพและบัตรสุขภาพราว 1,000 บาทต่อคน (ระยะเวลาทำงาน 3 เดือน) และราว 2,100  บาทต่อคนสำหรับแรงงานข้ามชาติแบบ 6 เดือน-1 ปี รวมถึงค่าใบคำร้องและใบขออนุญาตทำงานรวม 325 บาท (มีอายุ 3 เดือน) และหากในหนึ่งปีเธอจ้างแรงงานสัญญา 3 เดือน 50 คน ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ขั้นต่ำก็ประมาณ  50,000 บาทแล้ว (ค่าใช้จ่ายนี้แล้วแต่เจ้าของไร่จะตกลงกับนายหน้าแรงงาน บางไร่อาจรับผิดชอบเองทั้งหมด บางไร่อาจช่วยแรงงานออกครึ่งหนึ่ง และบางไร่อาจให้แรงงานจ่ายเองโดยนายจ้างให้ยืมเงินก่อนแล้วหักจากค่าแรง)

“บางฤดูกาลแรงงานเหล่านี้ไม่ได้ไปรักษาที่โรงพยาบาลเลยสักคนเดียว เพราะเวลาเจ็บปวดเล็กๆ น้อยๆ พวกแรงงานเขาก็ไม่อยากเสียเวลาไปโรงพยาบาลเป็นวันๆ ส่วนมากก็เข้าคลินิกซื้อยากินเอง ซึ่งเราก็จ่ายค่าสาธารณสุขให้โรงพยาบาลทุกปีตามระเบียบ ดังนั้นที่เราเห็นในข่าวว่าแรงงานข้ามชาติรักษาฟรี บอกเลยไม่ฟรีนะคะ”

นอกจากนั้นเธอต้องขับรถไปกลับกว่า 100 กิโลเมตร เพื่อพาแรงงานไปแสตมป์บัตรรายงานตัวทุกเดือนที่ด่านข้ามแดน อีกทั้งเธอได้สร้างบ้านพัก ห้องน้ำ พร้อมด้วยน้ำประปาและไฟฟ้าไว้พร้อมสรรพโดยที่อโนทัยออกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้พวกเขาตั้งหน้าตั้งตาทำงานเก็บเงินได้เต็มที่ ยังไม่นับค่าทำบัตร Border Pass ที่แรงงานต้องจ่ายเงินทำเองตั้งแต่ 2,000 -5,000 บาท (รัฐบาลไทย-กัมพูชากำหนดค่าใช้จ่ายไว้ที่ 825–1,325 บาท แต่ในทางปฏิบัติ แรงงานบางคนต้องจ่ายแพงเพราะนายหน้าหรือเอเยนซี่กลางเรียกเก็บค่าดำเนินการเพิ่มเติม) ซึ่งบางครั้งเธอก็ต้องช่วยออกให้แรงงานบางคนที่อยากมาทำงานแต่ไม่มีเงินติดตัว

“เช้าวันที่ 24 กรกฎาคม คนงานก็ออกไปไร่กันแต่เช้า พอเริ่มสายมันก็มีข่าวการปะทะรุนแรง ลูกน้องก็โทรมาหาเรา บอกว่าพ่อแม่โทรมาให้กลับบ้าน เราเลยบอกว่าเดี๋ยวตอนเย็นค่อยมาคุยกัน

“พอตกเย็นก็นั่งล้อมวงเลยทั้งนายจ้างทั้งลูกน้อง เราก็โทรถามที่ด่าน เขาก็บอกว่าด่านปิดครับ ใจเราไม่อยากให้เขากลับหรอก แต่ก็นึกถึงใจเขาที่กลัวกันหมด บางคนมีลูก มีเมีย มีพ่อแม่ปู่น่าเสียชีวิตายอยู่ฝั่งนู้น เราก็เลยตัดสินใจบอกพวกเขาไปว่า … ไม่เป็นไร พวกเอ็งไปอาบน้ำพักผ่อนให้สบาย เดี๋ยวพรุ่งนี้เราค่อยมาหาทางแก้ไขกัน แล้วสุดท้ายเราก็ไปส่งเขาที่ด่าน ให้พวกเขากลับบ้าน”

วันที่ 23 กรกฎาคม 2568 วันนั้นอโนทัยมีแรงงานกัมพูชาในไร่ 30 คน

24 กรกฎาคม 2568 หลังเกิดเหตุปะทะชายแแดน เธอเหลือแรงงานแค่ 12 คน

อีกไม่กี่วันหลังจากนั้น เธอเหลือแรงงานอยู่เพียง 3 คน

แรงงานกัมพูชาจำนวนมากที่ได้พูดคุยเล่าให้เราฟังว่า ใจจริงพวกเขาไม่ได้อยากกลับประเทศ เพราะการกลับไปก็ไม่ต่างกับคนตกงาน ขาดรายได้ ทุกคนพูดไปในทางเดียวกันว่า บ้านเกิดของพวกเขาไม่มีงานเพียงพอให้ทำเลี้ยงดูครอบครัว ซึ่งเหตุผลหลักที่เลือกกลับไปล้วนเป็นเพราะพ่อแม่พี่น้องโทรตามลูกหลานกลับบ้านเพื่อความปลอดภัยในสถานการณ์ความเกลียดชังแบบเหมารวมและกระแสล่าแรงงานข้ามชาติและขู่ทำร้ายในโลกโซเชียล

เปา อายุ 36 ปี เขาจากบ้านที่พระตะบองมาทำงานในไทยตั้งแต่อายุ 16 เริ่มจากงานก่อสร้าง งานในโรงงานซักผ้า ต่อมาเขาได้มารับจ้างตัดอ้อยกับอโนทัย และอยู่ยาวกับนายจ้างคนนี้มาถึง 10 ปี

ในช่วงเวลาปกติ เขาจะลุกจากที่นอนตอนตี 4 เตรียมหุงหาอาหารเพื่อห่อไปกินที่ไร่ และออกไปทำงานประมาณ 6 โมงเช้า กลับบ้านมาอีกทีก็ราว 5 โมงเย็น เตรียมอาบน้ำพักผ่อนเพื่อลุกขึ้นไปทำงานในวันถัดไป

“ตัดอ้อยเขาให้มัดละ 3 บาท ผมเคยทำได้สูงสุด 250 มัดครับ ได้ 750 บาทต่อวันครับ งานในไร่มันไม่ง่ายเลย ต้องอึด งานหนักครับ แต่มันก็อิสระดี ถ้าเราอยากได้เงินเยอะ เราก็ต้องพยายามเยอะ ขยันเยอะ”

“อย่างผมเอง จะกำหนดไว้เลยว่าจะพักกินน้ำตอนไหน เช่นกำหนดว่าตัดให้ได้ 60 มัดถึงจะได้กินน้ำ ถ้ายังตัดได้ไม่ถึงก็จะไม่กินครับ ต่อให้หิวน้ำแค่ไหนก็ตามครับ (หัวเราะ)”

ช่วงฤดูกาลตัดอ้อยถือเป็นสนามเก็บเกี่ยวรายได้ของแรงงานเช่นกัน เพราะในช่วงเวลาปกติทั่วไป รายได้พวกเขาอาจเสียชีวิตตัว เช่น รับจ้างฉีดยาวันละ 400-500 บาท รับจ้างใส่ปุ๋ยวันละ 320 บาท แต่พอถึงช่วงตัดอ้อย พวกเขาจะได้ค่าจ้างเป็นรายมัด มัดละ 3 บาท นั่นแปลว่าใครอยากได้มากก็ทำมากตามแต่ความขยันและกำลังกาย

เปามีลูก 3 คน อายุ 9 ขวบ 3 ขวบ และ 1 ขวบตามลำดับ โดยลูกชายคนโตของเขาเรียนอยู่โรงเรียนในหมู่บ้าน  เขามีนายจ้างที่ดี มีที่พักฟรี มีรายได้เพียงพอ  เขาจึงทุ่มเททำงานอย่างอดทนซื่อสัตย์มายาวนาน นานจนไม่คิดว่าวันใดวันหนึ่ง เรื่องการเมืองระหว่างประเทศจะประทุและกระทบความมั่นคงของครอบครัวที่เขาสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก

“ตอนมีเรื่องปะทะที่ชายแดนแรกๆ ก็กลัวว่าจะมีคนมาทำร้ายเรา เพราะเห็นคลิปในเฟซว่ามีคนกัมพูชาโดนทำร้าย ผมไม่ค่อยเชื่อหรอก มันมีทั้งข่าวปลอมข่าวจริง แต่ลึกๆ ก็แอบกลัวครับ แต่ตอนนี้ไม่กลัวแล้วเพราะตั้งแต่อยู่มาก็ไม่มีใครทำร้าย คนในหมู่บ้านมองผมเหมือนลูกหลาน ส่วนเพื่อนๆ ที่ทำงานด้วยกัน พี่น้องที่เขมรเขาโทรมาให้กลับ เขาก็กลับเลย พี่สาวผมก็โทรมาเหมือนกัน  เขาอยากให้กลับบ้านก่อน แต่ผมไม่กลับครับเพราะลูกก็เรียนอยู่ที่นี่”

“ที่ตัดสินใจไม่กลับเพราะลูกนั่นแหละครับ ถ้ากลับไปก็ไม่มีใครเลี้ยงลูกให้ ไม่รู้จะไปทำงานที่ไหน ลูกผมก็ได้เรียนอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก ถ้าเรากลับไปก็กลัวว่าเขาไม่ได้เรียน” เปาเล่า

เปา ถือเป็นลูกจ้างไม่กี่คนที่เลือกอยู่ช่วยงานอโนทัยต่อไปแม้สถานการณ์จะไม่สู้ดี เช่นเดียวกับ ลวด อายุ 25 ปี ที่ตามแม่มาอยู่อาศัยที่ไทยตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ศึกษาที่โรงเรียนในไทย และอยู่กับอโนทัยมาร่วม 20 ปี

ลวด ถือเป็นมือวางอันดับต้นๆ ด้านการตัดอ้อย เขาเคยทำสถิติตัดอ้อยได้ถึง 300 มัดใน 1 วัน โดยรับค่าจ้างมัดละ 3 บาท รวมเป็น 900 บาท

“ตอนเด็กผมก็เรียนแถวนี้ครับ พอถึง ป.2 ผมก็ออกมาช่วยแม่ทำงาน ช่วยป้าทัยรดน้ำ ปลูกอ้อย แรกๆ ก็อยากลองออกทำงานที่อื่นดูบ้ง อย่างก่อสร้างหรือประมง แต่ส่วนมากเท่าที่ได้ยินเขาเล่ามา เขาบอกว่าไม่ค่อยเหลือตัง ทำงานได้เงินเยอะแต่ก็มีค่าใช้จ่ายเยอะเหมือนกัน”

ลวดเล่าว่า บ้านเกิดเขาอยู่ที่จังหวัดเสียมราฐ และด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ไม่ดี แม่จึงเลือกเดินทางมาหางานทำที่ไทย และได้พบรักกับสามีคนไทยซึ่งกลายเป็นพ่อเลี้ยงของเขา

“ช่วงที่เริ่มมีการปะทะ ผมก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันนะครับ คิดไว้ว่าถ้าเขายิvกันหนักขึ้นจริงๆ แล้วคนที่นี่ไม่ให้เราอยู่เราก็ทำได้แค่กลับกัมพูชา แต่ก็เสียใจนะครับ เพราะผมไม่คุ้นเคยกับที่กัมพูชา ผมอยู่ที่ไทยตั้งแต่เล็ก เคยไปกัมพูชาอยู่คบ้างแค่ช่วงสงกรานต์ สองสามวันก็กลับ”

ในวันที่เหตุการณ์ความขัดแย้งเริ่มก่อตัวและบานปลาย สิ่งที่ลวดกลัวที่สุด คือการถูกเข้าใจผิดและเหมารวมจากคนไทยในชุมชน เพราะแม้เขาจะเติบโตและผูกพันกับชุมชนสักแค่ไหน แต่สัญชาติกัมพูชาของเขาก็อาจสร้างความขุ่นเคืองแก่คนไทยบางคนได้ไม่ยาก

“ตอนแรกกลัวครับ กลัวมีคนมาทำร้าย แต่ในหมู่บ้านนี้ไม่มีใครมาทำร้ายครับ มีแต่คนรู้จักกันทั้งนั้น ไม่มีใครเปลี่ยนไปเลย อยู่กันเหมือนเดิม ทักทายกันเหมือนเดิม ตอนแรกก็กลัวว่าคนไทยจะเข้าใจผิดว่าเราไปยุ่งกับเรื่องการเมือง” ลวดว่า

พูดถึงตรงนี้ เสียงเขาอ่อนลง “ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ผมรู้ว่ามันเป็นเรื่องการเมือง ไม่ใช่เรื่องของประชาชนเลย แต่ผมพูดไม่ได้ (หัวเราะแห้ง) มันเรื่องของผู้มีอำนาจเขา แต่มาลำบากกับประชาชนนี่แหละ”

ในวันที่เขาตัดสินใจไม่กลับไปพร้อมแรงงานคนอื่น คือวันที่ ‘ป้าทัย’ เอ่ยกับเขาว่า  “อยู่ที่นี่แหละ ไม่มีใครมาทำร้ายเอ็งหรอก ถ้าใครมาทำอันตรายแล้วป้ารับผิดชอบเอง ป้าจะคุ้มครองเอง”

ลวดทิ้งท้ายบทสนทนานี้ว่า “ผมอยากบอกว่าสงบกันได้แล้ว กัมพูชาเจอสงครามมาเยอะแล้ว มันเสียหายกันไปเยอะแล้ว อยากให้กัมพูชากลับไปพัฒนาประเทศของตัวเองให้ดีๆ แต่นี่ไม่ใช่การพัฒนาแล้ว มันคือการทำให้ประเทศจมไปเรื่อยๆ ส่วนคนกัมพูชาในไทย ถ้าเขาทำผิดก็จับใส่คุกไปเลย ว่าไปตามผิด แต่ถ้าเขาไม่ผิด มาทำมาหากิน มาแบบถูกต้อง ก็อยากให้เข้าใจเขา คนดีๆ ก็มีเยอะ คนชั่วก็มี”

จากเรื่องในไร่ของอโนทัย สะท้อนให้เราเห็นภาพเล็กของปัญหาที่ใหญ่กว่ามาก ปัญหาที่ไม่ได้อยู่แค่ในแปลงอ้อยหรือชายแดนสระแก้ว แต่สั่นสะเทือนไปถึงโครงสร้างแรงงานทั้งประเทศ เพราะเมื่อแรงงานหนึ่งกลุ่มหายไปจากระบบ ไม่เพียงแต่ชาวไร่ที่สะดุด แต่ทั้งห่วงโซ่อุตสาหกรรมตั้งแต่ไร่จนถึงโรงงานก็อาจเริ่มสั่นคลอน นี่จึงไม่ใช่เรื่องของคนไม่กี่คนที่ไร่หนึ่งไร่ใด หากแต่คือคำถามใหญ่ของประเทศที่ยังไม่เคยหาคำตอบได้เลยว่า … เราจะยืนอยู่ได้อย่างไร หากเส้นเลืoดใหญ่ของระบบเศรษฐกิจถูกตัดขาดลงในชั่วพริบตา

ทันทีที่แรงงานกัมพูชาหายไปจากชายแดน

หมู่บ้านโคกสัมพันธ์​ ต.ท่าเกษม อ.เมือง จ.สระแก้ว คืออีกหนึ่งในชุมชนที่ชาวบ้านทำไร่อ้อยรวมแล้วหลายพันไร่

สมหวัง ทันกุหลาบ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 6 หมู่บ้านโคกสัมพันธ์ ตำบลท่าเกษม อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว และเจ้าของไร่อ้อย 40 ไร่ เล่าว่า หมู่บ้านแห่งนี้มีอยู่ราว 158 ครัวเรือน และปลูกอ้อยเป็นพืชหลัก เนื่องจากอ้อยเป็นพืชที่ทนแล้ง มีตลาดรองรับ มีระบบแบ่งปันรายได้ระหว่างเกษตรกรและโรงงาน มีกฎหมายรองรับ และเป็นพืชเศรษฐกิจที่รัฐสนับสนุน  นั่นทำให้หลายปีที่ผ่านมา ไร่อ้อยจึงขยายตัวแทนพื้นที่นาข้าวหรือมันสำปะหลังในหลายจังหวัด เพราะพวกเขามั่นใจว่าราคาอ้อยจะไม่ตกต่ำถึงขั้นทำให้เกษตรกรขาดทุนเข้าเนื้อ แม้บางฤดูกาลราคาอ้อยจะไม่งามเท่าใดนัก

“ผู้ใหญ่เองก็เพิ่งมาปลูกอ้อยได้แค่ 4 ปี พอมาปลูกอ้อยก็รู้สึกว่าดีขึ้นเพราะอ้อยมันทนแล้ง คิดหักลบกลับหนี้มันก็ดีกว่าปลูกพืชอื่นๆ ราคาไม่ค่อนผันผวนมาก แต่ปีนี้เห็นเค้าว่าราคาตันละไม่ถึงพันนะ ซึ่งมันก็ยังพอจะอยู่ได้ แต่ถ้าพูดถึงข้าวหรือข้าวโพด มันไม่ยั่งยืน บางทีคิดว่าปีนี้มันจะไม่แล้ง พอลงทุนปลูกไปมันดันแล้ง เราก็ขาดทุน”

ผู้ใหญ่สมวัง พาเราเดินทางไปยังบ้านของ ‘แม่น้อย’ ศิริวรรณ ​บุญชู วัย 58 ปี และ ‘พ่อดุล’ โอภาส บุญชู วัย 55 ปี สองสามีภรรยาเจ้าของไร่อ้อยกว่า 600 ไร่ ที่ต้องใช้แรงงานคนตัดอ้อย 100% เนื่องจากลักษณะไร่ที่เต็มไปด้วยกรวดหินและเนินเขา ทำให้รถตัดไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ นั่นทำให้พวกเขาได้รับผลกระทบเต็มๆ จากเหตุการณ์ความขัดแย้งและแรงงานกัมพูชาที่หายไป

“ช่วงฤดูกาลตัดอ้อย เราก็จะจ้างคนเขมรมาช่วยทำไร่เยอะนะ ปีที่แล้วจ้าง 40 กว่าคน พอหมดฤดูตัดอ้อยก็จะเหลือไว้ 10 คนสำหรับปลูกอ้อย ดูแลไร่ ใส่ปุ๋ย แต่ตอนนี้พ่อเหลืออยู่ 3 คน เครียดอยู่ว่าจะได้แรงงานมาจากไหน”

“เครียดมากช่วงนี้ เราทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าไม่มีแรงงานเราก็จบเห่ จะทำอะไรได้ล่ะสองเสียชีวิตาย ตั้ง 600 ไร่”  พ่อดุลเล่า

ด้านแม่น้อยเล่าเสริมว่า “พอเริ่มยิvกัน พ่อแม่ของแรงงานเขาก็โทรตามลูกกลับบ้าน เขากลัว เพราะฮุนเซนขู่ยึดที่ดินทำกิน ยึดสัญชาติ ชาวบ้านเขาก็กลัว แต่พอตัดสินใจกลับไปแล้วก็อยากกลับมาที่ไทยกันแทบทุกคน โทรมาหาเราตลอดว่า… เมื่อไหร่ด่านจะเปิด เพราะเขาไม่มีงานจะทำกัน บางคนได้ไปเย็บผ้าในโรงงานวันละ 320 บาท แต่โรงงานก็ไม่ได้จ้างทุกวัน บางคนได้ทำ 10 วัน แต่ต้องหยุด 5 วัน รายได้ไม่ต่อเนื่อง”

“อย่างวันก่อนเราโทรถามคนงานเขมรคนนึง ชื่อเขื่อน เขาก็ว่าตอนนี้นอนอยู่เฉยๆ ไม่มีงานเลย เขาให้หยุดไปก่อน อีกคนก็ชื่อบักชน เขากลับไปทำงานก่อสร้างอยู่ปอยเปต ได้วันละ 420 ก็เยอะนะ แต่บ้านก็ต้องไปเช่า ทั้งค่าน้ำค่าไฟค่ากินอยู่ก็แพง แถมงานก็ไม่ได้ทำทุกวัน เช่น วันนี้จ้างแค่ครึ่งวันนะ หรือไม่พอใจก็ไม่จ้าง ถัวเฉลี่ยแล้วได้แค่ค่ากินไปวันๆ เท่านั้น”

ต่างจากทำงานที่ไทย นายจ้างเจ้าของไร่ส่วนมากจะสร้างที่ห้องแถวให้คนงานพักฟรี ทำระบบน้ำประปาหรือน้ำบาดาลไว้โดยคิดค่าใช้จ่ายไม่แพง และบางไร่ก็ไม่คิดค่าใช้จ่าย นั่นทำให้แรงงานจ่ายเฉพาะค่ากินอยู่ส่วนตัว ส่วนเงินที่ทำงานได้ก็เข้ากระเป๋าเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ความหวังของชาวไร่ในตอนนี้ คือการได้แรงงานมาทดแทนคนกัมพูชาก่อนที่ฤดูกาลหีบอ้อยจะมาถึง เพื่ออย่างน้อยๆ จะได้ทุนคืนมาต่อชีวิต ต่ออาชีพ และสะสางหนี้สินที่กู้มาลงทุนหลักล้าน

‘กานต์’  สงกรานต์ ดวงดี เจ้าของร้านขายของชำท้ายหมู่บ้านโคกสัมพันธ์เล่าว่า ด้วยทำเลร้านที่อยู่ใกล้ไร่อ้อยและคนงาน ทำให้ 80% ของลูกค้า คือแรงงานกัมพูชาที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอยแทบทุกวัน

“ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นมันกระทบเราตรงๆ ร้านเรามันเป็นโซนที่เขมรเข้า เราไม่มีลูกค้าเลย เงียบไปหมด ตอนนี้ขอให้ขายได้พอค่าน้ำค่าไฟก็พอแล้ว เราก็ต้องอยู่ต่อไป อดทนให้ได้” กานต์เล่า

เช่นเดียวกับ ‘เอ๋’ และ ‘นิด’ แม่ค้าแผงผักในตลาดชุมชนบ้านโคกสัมพันธ์ โดยหลังจากที่แรงงานกัมพูชากลับบ้าน รายได้จากเดิมก็ลดลง 50% ทันที

“ขายไม่ดีเลย ไม่รู้เมื่อไหร่เขาจะเปิดด่าน ช่วงตัดอ้อยเป็นช่วงที่แม่ค้าขายของได้เยอะมาก เพราะตกเย็นมาคนเขมรก็จะมาซื้อของไปทำกับข้าวทุกวัน” นิดเล่า

“คนงานกลับไปหมดแล้ว เหลืออยู่แค่ 10% เองมั้ง ปกติช่วงตัดอ้อยเข้ามาจ่ายตลาดกันเยอะมาก ที่เคยได้ขายได้ก็หายไปครึ่งนึงเลย แต่เห็นว่าอีกสองเดือนเขาจะเอาคนงานจากค่ายพักพิงมา เราก็ไม่รู้ว่าเขาจะอึดเหมือนเขมรไหม” เอ๋กล่าว

เสียงของร้านค้าปลีกเล็ก ๆ อย่างกานต์ เอ๋ และนิด สะท้อนให้เห็นผลกระทบที่ลึกกว่าไร่อ้อย นั่นคือการชะงักงันของเศรษฐกิจชุมชน เพราะเมื่อแรงงานข้ามชาติหายไป เงินที่เคยหมุนเวียนในตลาดท้องถิ่นก็หายตามไปด้วย ทั้งร้านขายของชำ ร้านอาหาร ร้านซ่อมเครื่องมือเกษตร และตลาดนัดที่เคยคึกคัก ต่างเงียบงันราวหมู่บ้านที่ถูกหยุดเวลาไว้

ทุกคนรู้ดีว่าชะตาของหมู่บ้านไม่ได้ผูกอยู่กับอ้อยเพียงอย่างเดียว แต่มันผูกอยู่กับแรงงานที่ไม่มีใครรู้ว่าจะกลับมาเมื่อไหร่ และจะหายไปอีกเมื่อไหร่

‘แรงงานผู้หนีภัยการสู้รบ’ ความหวังและกังวล

26 สิงหาคม 2568 รัฐบาลไทยผ่านมติคณะรัฐมนตรี อนุมัติแนวทางให้ผู้ลี้ภัยจากเมียนมา ที่พักอาศัยในค่ายผู้ลี้ภัย 9 แห่งตามแนวชายแดนไทย-เมียนมา ได้รับสิทธิขอใบอนุญาตทำงาน และสิทธิออกนอกค่าย โดยผู้ลี้ภัยที่เข้าเงื่อนไขมีจำนวน กว่า 77,0002 คน

นักวิชาการบางส่วนมองว่า มติดังกล่าวเป็นการตอบสนองต่อนโยบายระงับเงินช่วยเหลือด้านการพัฒนาต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ซึ่งกระทบต่อค่ายผู้ลี้ภัยชายแดนไทย-เมียนมา ทว่าอีกด้านมตินี้ก็สะท้อนถึงกรอบคิดที่เปลี่ยนแปลงไปของรัฐไทย

จากเดิมที่รัฐบาลมักพยายามส่งผู้ลี้ภัยสงครามกลับภูมิลำเนาหรือผลักดันไปยังประเทศที่ 3 เปลี่ยนเป็นการยอมรับให้พวกเขาสามารถปรับตัวและกลมกลืนเข้าสู่สังคมและตลาดแรงงานไทยได้ ซึ่งเป็นแนวทางที่จะลดภาระการดูแลจากรัฐในระยะยาวและทำให้ผู้ลี้ภัยพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น อีกทั้งสามารถตอบสนองต่อปัญหาขาดแคลนแรงงานจากเหตุการณ์ที่แรงงานกัมพูชาเดินทางกลับประเทศได้อีกด้วย

อโนทัยเล่าว่า ช่วงที่ชาวไร่สระแก้วยังไม่ได้รับความชัดเจนว่าจะหาแรงงานมาจากที่ไหน ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจึงได้หารือและแบ่งงานเท่าที่จะได้ นั่นคือ ด้านโรงงานน้ำตาลรับหน้าที่เข้าไปสำรวจแปลงอ้อยและส่งเสริมให้เจ้าของไร่ปรับปรุงแปลงให้พอที่จะใช้รถตัดอ้อยเข้าไปทำงานได้ เพื่อลดพื้นที่ที่ต้องใช้กำลังคนให้สอดคล้องกับสถานการณ์​

“โรงงานน้ำตาลเขาจะมีเจ้าหน้าที่ประจำทุกเขต โดยหนึ่งเขตจะดูแลชาวไร่ประมาณ 3-4 หมื่นไร่ โดยเขาจะให้บุคลากรเข้ามาสำรวจแปลงเพื่อดูว่า หิน ตอ จอมปลวกอยู่ตรงไหนเพื่อวางแผนร่วมกับชาวไร่เพื่อปรับปรุงแปลง แล้วเขาก็อาจจะดีลกับเอกชนภายนอกเพื่อหาเครื่องจักรเข้ามาเพิ่มในจังหวัด อย่างตอนนั้นโรงงานมีเครื่องจักรอยู่ 40 คัน ชาวไร่มีรวมกัน 100 คัน และต้องหารถนอกมาอีก 20-30 คันเพื่อให้เพียงพอ” อโนทัยอธิบาย

ถัดมาคือในส่วนของชาวไร่ ซึ่งมีอยู่ 2 สมาคมหลักคอยดูแลเกษตรกร นั่นคือ สมาคมชาวไร่อ้อยวังน้ำเย็น และสมาคมเกษตรกรชายแดนบูรพา โดยทั้งสองสมาคมได้ร่วมมือกันยื่นหนังสือต่อหน่วยงานราชการหลายแห่ง รวมถึงคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย เพื่อหาแนวทางเรื่องแรงงานทดแทนต่อไป

หลัง ครม. ผ่านมติอนุมัติวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ให้ผู้ลี้ภัยจากเมียนมาได้รับสิทธิขอใบอนุญาตทำงาน ต่อมาช่วงปลายเดือนเดียวกัน กรมการจัดหางานเริ่มวางกรอบปฏิบัติสำหรับการขออนุญาตทำงาน ก่อนประกาศ ‘วันดีเดย์’ 1 ตุลาคม 2568 เพื่อเริ่มทดลองโครงการ (Pilot share) เปิดโอกาสให้ผู้หนีภัยการสู้รบในค่ายผู้ลี้ภัย สามารถสมัครเพื่อออกจากค่าย และเข้าสู่ตลาดแรงงานในไทยได้อย่างถูกกฎหมาย

โดยจากข้อมูลล่าสุด ขณะนี้ชาวไร่อยู่ระหว่างกระบวนการคัดเลือกแรงงาน ลงทะเบียนแรงงาน ตรวจสุขภาพ ทำบัตรประกันสุขภาพ และทำบัตรอนุญาตทำงานตามลำดับ

แม่น้อยเล่าว่า ตอนนี้เธอได้ประสานงานกับทางสมาคมเกษตรกรชายแดนบูรพา และได้โควต้าแรงงาน 30 คน โดยเธอต้องจ่ายค่ามัดจำคนละ 500 บาท และต้องจ่ายอีกคนละ 2,000 บาท เป็นค่าใบอนุญาตทำงาน ค่าบริหารจัดการและค่าเดินทางของแรงงาน รวมทั้งสิ้น 75,000 บาท

โดยค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ยังไม่รวมค่าตรวจโรคตามที่กฎหมายแรงงานต่างด้าวกำหนด และค่าทำใบประกันสุขภาพแรงงานอีกราว 1,000 บาท ต่อคน รวม 30,000 บาท  และยังไม่รวมถึงค่าจ้างที่ชาวไร่ต้องรับผิดชอบหลังคนงานเริ่มงาน

“ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นมาก เพราะปกติแรงงานเขมรเขาจ่ายเอง เช่น บอเดอร์พาสทำงาน ค่าตรวจโรค ค่าบัตรสุขภาพ ค่าบัตรทำงานต่างๆ เราไม่ต้องออกให้  แต่ส่วนมากแม่จะช่วยเขาออกครึ่งนึง หรือถ้าใครไม่มีเงินเลยก็จะออกให้ก่อน พอทำงานได้เงินเขาก็จะเอามาคืน แต่รอบนี้เราต้องจ่ายเองทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็น แล้วก็ไม่รู้ว่าเขาจะทำงานได้ไหม” แม่น้อยเล่า

นอกจากนั้น ชาวไร่แทบทุกรายต่างกังวลเรื่องเดียวกัน คือแรงงานผู้หนีภัยจะรับสภาพงานในไร่อ้อยไหวหรือไม่ เนื่องจากการทำไร่อ้อยเป็นงานที่หนักมาก ต้องอาศัยความคุ้นเคยและความชำนาญ อีกทั้งต้องทำงานแข่งกับเวลาท่ามกลางอากาศร้อนจัด หากพวกเขาทำไม่ไหวแล้ว ประสงค์ยกเลิกการทำงาน ชาวไร่จะทำอย่างไร จะหาแรงงานจากไหน แล้วเงินที่ลงทุนไปล่วงหน้าจะได้คืนหรือไม่? … เรื่องนี้ยังไม่มีคำตอบ

“มีคนถามไปทางสมาคมฯ เหมือนกันว่ามีแนวทางอย่างไร หากแรงงานผู้หนีภัยการสู้รบทำงานไม่ได้ หรือสู้งานไม่ไหว แล้วนายจ้างก็จ่ายค่าดำเนินการไปเยอะแล้ว ตอนนี้ก็ยังไม่มีคำตอบ” แม่น้อยกล่าว

ในอีกด้าน การก้าวออกจากค่ายผู้ลี้ภัยของแรงงานเอง ถือเป็นโลกใบใหม่ของพวกเขาที่เต็มไปด้วยความท้าทายและความไม่คุ้นชิน หลายคนอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยมากว่าครึ่งชีวิต หลายคนมีศักยภาพและทักษะทางภาษาอังกฤษ ทักษะล่าม ครู หรือกระทั่งทักษะทางการแพทย์ นั่นหมายความว่าพวกเขาฝึกทักษะที่มากกว่าการใช้แรงงานเพียงอย่างเดียว และหลายคนไม่คุ้นเคยกับการทำไร่อ้อยแต่อย่างใด

“ทางสมาคมก็รับปากว่าจะหาแรงงานที่เคยทำไร่มาให้ เราไม่ได้ไปคัดเลือกเอง ทางสมาคมเขาจัดการให้หมด เราจ่ายเงินอย่างเดียว คราวนี้ก็ต้องมารอลุ้นกันว่ามาจริงๆ แล้วจะเป็นยังไง” แม่น้อยว่า

โดยแรงงานผู้หนีภัยการสู้รบจะเดินทางมาถึงไร่ของแม่น้อยวันที่ 27 พฤศจิกายน 2568 และมีกำหนดการเริ่มงานประมาณวันที่ 12 ธันวาคม 2568 เพื่อตัดอ้อยส่งโรงงานน้ำตาลในวันที่ 15 ธันวาคม 2568

“ถึงแม้เราจะได้แรงงานผู้หนีภัยการสู้รบมา แต่เราไม่เบาใจเลยค่ะ เราไม่รู้ว่าเขามีทักษะแค่ไหน อดทนไหมเพราะตัดอ้อยมันไม่ง่ายเลย ใบมันก็คม ต้นมันก็เหนียว แล้ววันนึงเขาจะตัดได้ถึง 300 มัดไหม ต้องใช้ความอดทนแค่ไหนคิดดู อีกทั้งอุปนิสัยใจคอเราก็ไม่รู้ เราจะปกครองเขาได้ไหม แล้วถ้าตัดอ้อยเสร็จไม่ทัน ความเสียหายของชาวไร่จะมากมายแค่ไหน”

“พี่นอนไม่หลับเลยนะ เป็นห่วงตัวเอง เป็นห่วงชาวไร่ เป็นห่วงผลผลิตที่จะเข้าสู่โรงงานน้ำตาล แต่เราจะไปเรียกร้องให้เปิดด่านก็ไม่ได้ เพราะเราก็ห่วงความมั่นคง เราต้องเอาประเทศชาติ เป็นหลัก อันนี้ด้วยจิตสำนึกความเป็นคนไทยของเรา” อโนทัยกล่าว

พรสุข เกิดสว่าง ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนไร้พรมแดน (Borders for Friendship Foundation) เล่าว่า ในช่วงเริ่มต้นของการดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี มีนายจ้างจำนวนมาติดต่อผู้ลี้ภัยไปทำงาน โดยเฉพาะงานภาคเการเกษตรในไร่อ้อยและสวนลำใย เนื่องจากมติ ครม. ได้ประกาศออกมาประจวบเหมาะกับสถากนการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลให้แรงงานกัมพูชากลับประเทศ และชาวไร่อ้อยขาดแคลนแรงงานจำนวนมากทั้งที่ใกล้เริ่มฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้ว ทำให้ปัญหาที่พบคือ ความเร่งรีบของกระบวนการจัดหาคนงานทดแทนทำให้เกิดช่องโหว่และปัญหาตามมาหลายประการ

“ด้วยความที่กระบวนการมันเร่งมาก เลยมีจุดอ่อนตรงที่ไม่ได้ผ่านกลไกบริหารจัดการของชุมชนผู้ลี้ภัยเอง นายจ้างมารับสมัคร คนไหนสนใจก็ไปเลย ชุมชนแทบไม่ได้มีส่วนร่วม ทั้งที่จริงควรมีการให้ข้อมูลภายในกันก่อน ทำบันทึกให้เรียบร้อย อย่างน้อยกรรมการชุมชนจะได้เป็นตัวกลางระหว่างครอบครัวในแคมป์กับคนที่ออกไปทำงาน ถ้ามีปัญหาอะไรก็ยังติดต่อกันได้ อีกอย่างคือจะได้ช่วยกันคัดกรอง เพราะบางคนมีปัญหาสุขภาพจิตหรือดื่มเหล้ามาก่อน ถ้ามีขั้นตอนคัดกรองในชุมชนก่อน อาจมีคนทักท้วงได้ว่าเขายังไม่พร้อมออกไปทำงาน แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า ผู้ลี้ภัยหลายคนออกไปเลยโดยไม่มีการเตรียมการ มันก็เลยเกิดเรื่องแบบที่เห็น” พรสุข เล่า

วันที่ 28 ตุลาคม 2568 ศูนย์ข้อมูลกะเหรี่ยง (Karen Info Center – KIC) รายงานว่า ชายผู้ลี้ภัยชาวกะเหรี่ยงวัย 40 ปี จากพื้นที่พักพิงชั่วคราวผู้หนีภัยการสู้รบ บ้านแม่หละ จังหวัดตาก ซึ่งมีประวัติติดสุราและภาวะทางจิต ตัดสินใจผูกคอเสียชีวิตในห้องน้ำของที่พักคนงานในไร่อ้อย อำเภอเมือง จังหวัดสระแก้ว หลังออกจากค่ายมาทำงานได้เพียงหนึ่งสัปดาห์ โดยภรรยาของผู้เสียชีวิตให้ข้อมูลว่าเขามักโทรศัพท์มาหาในขณะเมาและพูดว่าจะฆ่-าตัวเสียชีวิตอยู่บ่อยครั้ง เหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลไทยเพิ่งอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยบางส่วนออกจากค่ายไปทำงานอย่างถูกกฎหมาย โดยแรงงานชุดแรกที่ออกจากค่ายเริ่มทำงานในไร่อ้อยตั้งแต่วันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมา

“จากการสอบถามพบว่า ผู้ลี้ภัยคนนี้ค่อนข้างมีปัญหาสุขภาพจิต และมีปัญหาเรื่องการกินเหล้าอยู่ก่อนแล้ว เหมือนมีสภาพที่ไม่พร้อมไปทำงานแบบนั้น และถ้าไปแล้วมันมีความกดดันใดๆ เพิ่มขึ้น มันก็ง่ายที่จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ซึ่งเจ้าของไร่ก็ไม่ได้ทำอะไรผิด แต่มันเป็นเรื่องการบริหารจัดการที่ไม่ได้คัดกรองคนที่ไม่พร้อม แถมจะกลับก็ไม่ใช่ง่ายๆ ด้วยเพราะมันไกล” พรสุข กล่าว

นอกจากนี้ พรสุข ยังพบว่า ผู้ลี้ภัยบางคนที่เดินทางไปถึงจังหวัดปลายทางแล้วกลับตรวจสุขภาพไม่ผ่าน ซึ่งสร้างความสับสนให้กับทั้งเจ้าหน้าที่ นายจ้าง รวมถึงผู้ลี้ภัยเอง เพราะโดยหลักแล้ว การตรวจสุขภาพควรดำเนินการตั้งแต่จังหวัดต้นทาง หากไปตรวจที่ปลายทางแล้วยังไม่ผ่านก็ไม่ชัดเจนว่าจะต้องถูกส่งกลับหรือไม่ และใครจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงความไม่พร้อมของระบบที่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นทดลอง ซึ่งส่งผลให้เกิดความยุ่งยากในทางปฏิบัติไม่น้อย

ในกรณีแรงงานไร่อ้อย พรสุขยังได้รับทราบข้อมูลจากผู้ลี้ภัยคนหนึ่งที่เพิ่งเดินทางไปทำงาน เขาเล่าว่าต้องสร้างเพิงพักเองอยู่กลางไร่อ้อยที่เวิ้งว้างราวกับอยู่ในป่า นายจ้างให้เงินล่วงหน้าไว้ 1,000 บาทเพื่อส่งกลับไปให้ครอบครัว ซึ่งเขาก็รู้สึกดีใจแต่ในขณะเดียวกันกลับไม่รู้จะใช้เงินอย่างไร เพราะพื้นที่นั้นห่างไกล ไม่มีร้านค้าหรือทางออกไปไหนได้ง่าย เขาบอกเพียงว่าจะพยายามอดทนอยู่ต่อ แม้จะรู้สึกโดดเดี่ยวและเครียดกับสภาพแวดล้อมใหม่ก็ตาม.

พรสุขยังชี้ให้เห็นถึง ความซับซ้อนของกระบวนการส่งผู้ลี้ภัยออกไปทำงาน โดยช่วงแรกนายจ้างจะประสานผ่าน NGO ในค่าย ซึ่งจะพาไปพบคณะกรรมการค่ายและดูสถานที่ทำงานร่วมกัน จากนั้นนายจ้างต้องลงชื่อกับสำนักงานจัดหางานจังหวัดตาก เพื่อให้จัดหางานส่งข้อมูลไปยังค่ายประกาศรับสมัครผู้ลี้ภัยที่สนใจก็จะมาสมัครและคัดเลือกทันที

นอกจากนี้กระบวนการในแต่ละค่ายยังต่างกัน บางแห่งประกาศรับสมัครกระชั้นชิดจนผู้ลี้ภัยหลายคนไม่มีเวลาเตรียมตัว บางคนเข้าใจผิดว่าได้ไปเก็บลำไยแต่กลับถูกส่งไปไร่อ้อย ซึ่งอาจเกิดจากการแปลภาษาคลาดเคลื่อนและระบบจัดหาคนงานที่ไม่เป็นระเบียบ

พรสุขระบุด้วยว่า หลังมติ ครม. ที่เปิดทางให้ผู้ลี้ภัยทำงานอย่างถูกกฎหมาย กระบวนการทั้งหมดดำเนินอย่างเร่งรีบ เพราะชาวไร่ต้องการแรงงานทันช่วงเก็บเกี่ยว ส่งผลให้เกิดปัญหาการประสานงานหลายด้าน รวมถึงคำถามสำคัญที่ยังไม่มีคำตอบว่า หากผู้ลี้ภัยต้องการลาออก หรือกลับบ้านชั่วคราวในกรณีฉุกเฉิน จะสามารถเดินทางกลับได้อย่างไรในเมื่ออยู่ห่างไกลและไม่มีระบบรองรับ

“ก่อนหน้านี้มีการประชุมร่วมกัน ภาคประชาสังคมตั้งคำถามว่า ถ้าผู้ลี้ภัยออกไปทำงานแล้วอยากลาออกหรือกลับบ้านเพราะลูกป่วยจะทำอย่างไร ในเมื่อสถานที่ทำงานอยู่ไกล บางคนอยู่ในค่ายมาครึ่งชีวิตไม่เคยเดินทางไปไหน ใครจะออกค่าใช้จ่ายให้ แม้หน่วยงานรัฐจะตอบว่า ‘ลาออกได้ กลับได้’ แต่คำถามคือ แล้วจะกลับอย่างไร ซึ่งสะท้อนว่ากระบวนการทั้งหมดเดินหน้าอย่างเร่งรีบโดยยังไม่มีระบบรองรับที่รอบด้าน” พรสุขทิ้งท้าย

ด้าน โรยทราย วงศ์สุบรรณ ที่ปรึกษาการรณรงค์นโยบายเพื่อเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติแห่งประเทศไทย (Migrant Working Neighborhood – MWG) ชี้ให้เห็นว่า ยังมีข้อจำกัดเชิงนโยบายหลายประการในกระบวนการจ้างงานผู้หนีภัยการสู้รบ เช่น ผู้ลี้ภัยที่ได้รับอนุญาตให้ออกมาทำงานสามารถอยู่ได้เพียงจังหวัดเดียว หากนายจ้างจ้างไปทำงานที่ต้องเดินทางข้ามจังหวัด เช่น จากสระแก้วไปโคราช ก็ถือว่าทำไม่ได้ อีกทั้งใบอนุญาตทำงานมีอายุไม่เกินหนึ่งปี ซึ่งสั้นเกินไปสำหรับนายจ้างที่ต้องการแรงงานระยะยาวเพื่อลดต้นทุนการบริหารจัดการ

โรยทรายยังระบุว่า ผู้หนีภัยจำนวนมากไม่มีหมายเลขประจำตัว 13 หลัก ทำให้ธนาคารไม่สามารถยืนยันสิทธิ์ในการเปิดบัญชีได้ ขณะที่ระบบห่วงโซ่อุปทานระดับโลก (Global Offer Chain) ในปัจจุบันบังคับให้สถานประกอบการต้องจ่ายค่าจ้างผ่านบัญชีธนาคารเพื่อความโปร่งใส เมื่อลูกจ้างเปิดบัญชีไม่ได้ นายจ้างจึงไม่สามารถดำเนินการจ่ายเงินได้ตามระบบ ส่งผลต่อเนื่องไปถึงการลงทะเบียนและเปิดใช้งานโทรศัพท์มือถือ ซึ่งต้องใช้เอกสารยืนยันตัวตนเช่นเดียวกัน

“ตอนนี้ผู้ลี้ภัยที่ออกไปทำงานจริง ๆ ยังมีไม่มาก หลายคนยังลังเล รอดูเพื่อนที่ออกไปก่อนว่าจะเป็นยังไง งานไหนเหมาะ งานไหนไม่เวิร์ก เพราะแต่ละคนมีรสนิยมการทำงานต่างกัน บางคนชอบเกษตร บางคนชอบโรงงาน และส่วนใหญ่ก็อยากไปกับกลุ่มเพื่อนหรือครอบครัวมากกว่าจะไปคนเดียว ขณะที่ภาครัฐเองก็อยากให้คนออกมาทำงานมากขึ้น แต่ยังไม่เห็นโมเดลที่สร้างแรงจูงใจได้ชัดเจน”

โรยทราย ชวนมองภาพใหญ่ของปัญหา ว่าเกษตรกรไร่อ้อยต้องอยู่ภายใต้การควบคุมราคาของ พ.ร.บ. อ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. 2527  ซึ่งมีความผันผวนทุกปี บางปีราคาอ้อยสูง บางปีต่ำ อีกทั้งอำนาจต่อรองของเกษตรกรต่อโรงงานน้ำตาลมีจำกัด ขณะที่โรงงานเองก็ต้องแข่งขันในตลาดโลกที่ผลิตน้ำตาลและพลังงานชีวภาพ (Bioenergy)  ประเทศไทยจึงต้องลดราคาส่งออกเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน ผลที่ตามมาคือแรงกดดันถูกถ่ายลงมาถึงเกษตรกรซึ่งอยู่ปลายสุดของห่วงโซ่อุปทาน พวกเขาต้องบีบต้นทุนทุกทางเพื่อความอยู่รอด เพราะขณะที่ราคารับซื้ออ้อยลดลง แต่เกษตรกรกลับขาดแรงงานตัดอ้อย หรือต้องแบกรับค่าแรงที่สูงขึ้น ซึ่งเท่ากับขาดทุนทันที

โรยทรายมองว่า ปัญหาแรงงานในไร่อ้อยต่างจากอุตสาหกรรมอื่น เพราะงานนี้ทั้งหนักและจำกัดช่วงเวลาเพียงไม่กี่เดือนต่อปี บางไร่ต้องตัดอ้อยต่อเนื่องทุกวันภายใต้แดดร้อนจัด แรงงานกัมพูชาที่ชำนาญและกำยำอาจทำได้วันละราว 900 บาท แต่คนที่ไม่คุ้นเคยมักล้มป่วยภายในไม่กี่วัน นี่คือข้อจำกัดสำคัญที่ทำให้งานในไร่อ้อยไม่ดึงดูดแรงงานใหม่ และหาคนมาทดแทนได้ยาก

เธอย้ำว่า หากประเทศไทยต้องการให้ระบบการผลิตนี้ยั่งยืน จำเป็นต้อง ‘สร้างการเปลี่ยนแปลงที่มีคุณค่า (produce rate switch)’ เพื่อทำให้งานในไร่อ้อยไม่ใช่เพียงงานใช้แรง แต่เป็นอาชีพที่มีศักดิ์ศรี รายได้เป็นธรรม และเปิดโอกาสให้คนอยากอยู่ในระบบนี้ต่อไป

“เราอย่ามองโลกแค่ในเชิงบวกว่า ‘ดีใจจังเลย ผู้ลี้ภัยได้ออกมาทำงาน มีคนมาทดแทนแรงงานที่หายไปแล้ว' เพราะสุดท้ายแล้ว อุตสาหกรรมอ้อยมันจะอยู่แบบนี้หรือ หาแรงงานราคาถูกไปเรื่อยๆ มันก็อาจจะไม่ใช่ทางออกอย่างยั่งยืน” โรยทรายทิ้งท้าย

เมื่อนโยบายปลดล็อกแรงงานในค่ายผู้ลี้ภัยมาบรรจบกับวิกฤตแรงงานกัมพูชาในไร่อ้อย ดูเผินๆ เหมือนทุกฝ่ายต่างได้ประโยชน์ ชาวไร่มีแรงงาน ผู้หนีภัยได้โอกาสทำงานเลี้ยงชีพ แต่ในความเป็นจริง ทั้งคู่ยังต้องเผชิญความไม่แน่นอน ตั้งแต่สภาพอากาศ เวลาทำงานที่จำกัด ไปจนถึงค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นและระบบสนับสนุนที่ยังไม่พร้อม ความเสี่ยงไม่ได้อยู่แค่ที่ชาวไร่ แต่ยังอยู่ที่แรงงานผู้ลี้ภัยซึ่งต้องปรับตัวในโลกใหม่โดยแทบไม่มีหลักประกันใดๆ รองรับ และเมื่อความไม่มั่นคงเหล่านี้ขยายวง มันก็ย้อนสะเทือนกลับสู่ภาคการผลิตโดยตรง

ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจึงไม่เพียงกระทบไร่อ้อยหรือแรงงานเท่านั้น แต่สะเทือนไปถึงโรงงานน้ำตาลและห่วงโซ่อาหารของประเทศ เครื่องจักรอาจหยุดชะงัก รายได้มหาศาลหดหาย ต้นทุนพุ่งสูงขึ้นในทุกภาคส่วน ปัญหาแรงงานจึงไม่ใช่เรื่องของใครคนหนึ่ง แต่คือภาพสะท้อนของโครงสร้างเศรษฐกิจที่พึ่งพาแรงงานราคาถูกโดยไม่มีระบบคุ้มครองที่มั่นคง

สิ่งที่ไทยต้องทำจึงไม่ใช่เพียง ‘หาคนมาทำงานแทน’  แต่คือการสร้างระบบแรงงานที่เท่าเทียมพอที่จะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยยังรักษาความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไปพร้อมกัน นั่นหมายถึงการออกแบบกติกาที่ให้ผู้ลี้ภัย แรงงานข้ามชาติ และแรงงานไทยทำงานได้ภายใต้มาตรฐานที่ปลอดภัย เป็นธรรม และยั่งยืนในระยะยาว เพราะในท้ายที่สุด ระบบที่มั่นคงไม่ใช่ระบบที่ต้นทุนต่ำที่สุด แต่คือระบบที่ทุกฝ่ายอยู่รอดได้พร้อมกัน

…แต่ตราบใดที่สังคมยังมองแรงงานเหล่านี้ผ่านกรอบความกลัว ความไม่เข้าใจ หรืออคติทางชาติพันธุ์และการเหมารวม ที่สุดแล้วผลกระทบไม่ได้ตกอยู่กับ ‘เขา’ เพียงฝ่ายเดียว แต่มันย้อนกลับมาหาผู้ประกอบการตัวเล็กๆ ที่ต้องก้มหน้าขมขื่นอยู่ในอุตสาหกรรมแสนหวานที่ส่องแสงระยิบระยับอยู่บนเวทีโลก


1 สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2566

2 ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ระบุว่ามีผู้หนีภัยจากเมียนมาอาศัยอยู่ในพื้นที่พักพิง 77,718 คน โดยในจำนวนนี้มีวัยแรงงานประมาณ 42,000 คน ขณะที่สถิติจาก UNHCR ระบุว่าผู้ลี้ภัยในค่ายมีประมาณ 81,000 คน ส่วนข้อมูลจากคณะกรรมการชายแดนท้องถิ่น (Township Border Committee: TBC) เผยว่ามีผู้ลี้ภัยในค่ายถึงแสนคน

ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )

เรื่องที่เกี่ยวข้อง:

ผู้เรียบเรียง

ให้คะแนนความพอใจของคุณ :

0 / 5 คะแนน 0

คุณให้คะแนน:

แชร์ลิ้งค์นี้ : https://ด่วน.com/6qao | ดู : 10 ครั้ง จากทั้งหมด 305 ครั้ง ในรอบ 30 วัน
  1. 55-ล้าน-ทรัพย์สิน-‘สุรโชค-ต่างวิวัฒน์’-อดีตเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา-รายได้-24-ล./ปี 55 ล้าน ทรัพย์สิน ‘สุรโชค ต่างวิวัฒน์’ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา รายได้ 2.4 ล./ปี
  2. 29-พย68-เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงาน-ม4-ตบ่อวิน-อศรีราชา-จ.ช-|-2025-11-29-05:00:00 29 พ.ย.68 เกิดเหตุเพลิงไหม้โรงงาน ม.4 ต.บ่อวิน อ.ศรีราชา จ.ช 2025-11-29 05:00:00
  3. น้ำท่วมกระทบท่องเที่ยว โรงแรมหาดใหญ่ขอรัฐเร่งเยียวยา | มหาอุทกภัยภาคใต้ 2568 30 พ.ย. 68 น้ำท่วมกระทบท่องเที่ยว โรงแรมหาดใหญ่ขอรัฐเร่งเยียวยา | มหาอุทกภัยภาคใต้ 2568 30 พ.ย. 68
  4. คนที่คิดจะเปิดบัญชีม้าต้องดูคลิปนี้.-เพราะล่าสุดศาลอาญาพิพา คนที่คิดจะเปิดบัญชีม้าต้องดูคลิปนี้ . เพราะล่าสุดศาลอาญาพิพา
  5. สด…อ.เมืองปัตตานี-เขตเศรษฐกิจอำเภอเมืองปัตตานี-น้ำเริ่มลดล สด…อ.เมืองปัตตานี เขตเศรษฐกิจอำเภอเมืองปัตตานี น้ำเริ่มลดล
  6. ‘นิด้าโพล’เผย-ปชชภาคใต้-32.35%-ยังหาคนเหมาะเป็นนายกฯไม่ได้-‘อภิสิทธิ์’-เหนือ-‘อนุทิน’ ‘นิด้าโพล’เผย ประชาชนภาคใต้ 32.35% ยังหาคนเหมาะเป็นนายกฯไม่ได้ -‘อภิสิทธิ์’ เหนือ ‘อนุทิน’
  7. ด่วน อนุทินเคาะประตูแจกถุงยังชีพ แนะประชาชนรีบรับเงิน 9 พัน ด่วน อนุทินเคาะประตูแจกถุงยังชีพ แนะประชาชนรีบรับเงิน 9 พัน
  8. ครอบครัวเปิดใจ ขอบคุณทีมเจ็ตสกี ช่วยยายป่วยติดเตียงนอนแช่น้ำ รอความช่วยเหลือ 2 วัน อัพเดทข่าว ครอบครัวเปิดใจ ขอบคุณทีมเจ็ตสกี ช่วยยายป่วยติดเตียงนอนแช่น้ำ รอความช่วยเหลือ 2 วัน อัพเดทข่าว
  9. ผ้าปาเต๊ะจมโคลน ต้องเทขายขาดทุนยกร้าน | สำนักข่าววันนิวส์ ผ้าปาเต๊ะจมโคลน ต้องเทขายขาดทุนยกร้าน | สำนักข่าววันนิวส์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *


Share via
Click to Hide Advanced Floating Content
Send this to a friend