
สภาผู้บริโภค-สหภาพฯกทพ. ย้ำจุดยืนค้านทางด่วน 2 ชั้น ชี้สารพัดข้อเสียทั้งการเสนอโครงการไม่โปร่งใส ปิดลับ รู้ไม่กี่คน ขัดพ.ร.บ.ร่วมทุน
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า วันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (สรส.กทพ.) เข้าหารือกับสภาผู้บริโภค นำโดย นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสำนักงานสภาผู้บริโภค และนางสาวรสนา โตสิตระกูล ประธานอนุกรรมการบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม รับฟังผลกระทบจากผู้แทนเครือข่ายชุมชนใต้ทางด่วนกว่า 1,000 ครอบครัว ได้แก่ พญาไท จตุจักร ราชเวที จากโครงการก่อสร้างทางด่วน 2 ชั้น (Double Deck) งามวงศ์วาน – พระราม 9 ซึ่งขณะนี้ผ่านคณะกรรมการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (บอร์ด PPP) และอยู่ระหว่างเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณา
นางทิวาลักษณ์ พุ่มวารี เลขาเครือข่ายชุมชนราชเทวี เปิดเผยว่า หากโครงการนี้เกิดขึ้นจริง ถนนในพื้นที่ชุมชนจะถูกปิดเป็นช่วง ๆ ทำให้ชุมชนตกอยู่ในความเสี่ยงสูงจากการเกิดกรณีฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ หรือมีผู้ป่วย รถพยาบาลไม่สามารถเข้าพื้นที่ได้ และปัญหาการเดินทางในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ ชุมชนได้ทำหนังสือขอรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการนี้ แต่ไม่เคยได้รับรายงานฉบับเต็ม แม้เคยทำหนังสือขอข้อมูลตั้งแต่ ธันวาคม 2567 จนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับเอกสาร
“ประชาชนควรได้รับข้อมูลครบ ทำไม EIA ถึงไม่เปิดเผยให้สาธารณะเข้าถึงได้ วันนั้นท่านบอกว่าจะปิดถนน มีแนวทางเยียวยาอย่างไร ชาวบ้านจะเดินทางอย่างไร ถ้าเกิดเพลิงไหม้ เจ็บป่วย จะทำอย่างไร ให้สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างปกติ วันนี้มาที่สภาผู้บริโภค ขอวิงวอนไปถึงผู้ที่ทำโครงการ ให้หันมามองประชาชนที่ได้รับผลกระทบด้วยค่ะ” นางทิวาลักษณ์กล่าว
@โครงการปิดลับ รู้กันไม่กี่คน
ด้านนายบัณฑิต พรึงลำภู ประธานสหภาพฯกทพ. กล่าวว่า โครงการทางด่วน 2 ชั้นนี้ถูกดำเนินการในลักษณะโครงการลับ เพราะเจ้าหน้าที่ กทพ. ส่วนใหญ่ไม่ทราบรายละเอียด มีเพียงทีมเล็ก 5–6 คนที่ผลักดัน ทั้งที่เป็นโครงการระดับหมื่นล้านและมีผลต่อประชาชนและสาธารณะอย่างมาก เช่นเดียวกับโครงการก่อสร้างทางยกระดับพระราม 2 โดยโครงการทางด่วน 2 ชั้นจะใช้เวลาก่อสร้าง 4 ปี รวมระยะทาง 17 กิโลเมตร ซึ่งอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน มีความเสี่ยงมหาศาลทั้งประชาชน และรถที่จะติดเพิ่มชึ้นอย่างมาก
“สัญญานี้มีเงื่อนไขพิเศษที่อาจทำให้ประชาชนเดือดร้อน ทั้งการขึ้นค่าทางด่วน การผูกพันทางกฎหมาย และความเสี่ยงต่อการต่อสัญญาไม่รู้จบ เราขอให้เปิดเผยสัญญา เพื่อให้ประชาชนและนักวิชาการร่วมตรวจสอบ ถ้าสัญญาไม่เป็นประโยชน์ต่อรัฐก็ควรหยุดทันที” นายบัณฑิตกล่าว
นายบัณฑิตกล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เดิมสัมปทานทางด่วนขั้นที่ 1 และ 2 จะสิ้นสุดปี 2578 แต่โครงการนี้ทำให้สัญญาลากยาวไปถึง ปี 2601 รวมกว่า 22 ปี 5 เดือน โดยรัฐจะสูญเสียรายได้กว่า 170,000 ล้านบาท จากการแบ่งรายได้ที่ปรับจาก 60:40 เป็น 50:50 เพื่อแลกกับ “ลดค่าทางด่วน 50 บาท” ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะค่าทางด่วนจะกลับมาปรับขึ้นอีกในปี 2571 และ 2580 นอกจากนี้ การก่อสร้างโครงการในระยะ 4 ปี จะทำให้รถติดเพิ่มขึ้นในช่วงขั่วโมงเร่งด่วนอย่างน้อย 20 นาที และข้อมูลปริมาณรถช่วงปี 2562–2568 กลับพบว่าปริมาณรถที่ีใช้ทางด่วนในเขตดังกล่าว ไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ลดลง สวนทางกับเหตุผลของฝ่ายผลักดันโครงการที่ยืนยันว่าจะช่วยแก้ไขการจราจรที่ติดขัด
“ที่สำคัญ การก่อสร้างขนาดใหญ่จะกระทบความปลอดภัยชุมชน เช่น อุบัติเหตุคานตก หรือปิดช่องจราจรคล้ายกรณีถนนพระราม 2 “พื้นที่กรุงเทพมหานครแบกรับการก่อสร้างใหญ่แบบนี้ไม่ไหวแล้ว โดยเฉพาะตลอดแนวชุมชนกว่า 17 กิโลเมตร” นายบัณฑิตระบุ
ประธานสหภาพฯ เสนอว่า หากรัฐนำรายได้ปีละ 7,500 ล้านบาท (หลังหมดสัมปทาน) มาใช้ประโยชน์ สามารถลดค่าทางด่วนได้อย่างยั่งยืน ลงทุนระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถเมล์ไฟฟ้า หรือพัฒนาเส้นทางช่วยลดรถติดจริง เช่น N1–N3 เกษตร–นวมินทร์ ซึ่งมีความจำเป็นมากกว่าโครงการทางด่วน 2 ชั้น
@สภาผู้บริโภค ขอให้ถอนโครงการนี้ออกไป
นายอดิศักดิ์ สายประเสริฐ อนุกรรมการด้านขนส่งและยานพาหนะ กล่าวว่า โครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน ที่มีมูลค่ามหาศาลเช่นนี้ ต้องเปิดเผยข้อมูล เช่น รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) รายงานการประชุมคณะกรรมการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) และร่างสัญญาสัมปทาน ต้องเปิดเผยเพื่อให้ประชาชนตรวจสอบได้
“กระบวนการจัดทำโครงการ ต้องยึดหลักเปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้ ประชาชนได้ประโดยชน์แค่ไหน กระบวนการเยียวยาเป็นอย่างไร ทั้งทางบวกและลบ ตาม พ.ร.บ.ร่วมทุนระหว่างรัฐกับเอกชน มาตรา 6 (5) ระบุไว้ชัดเจน การเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องและเป็นเรื่องสำคัญ เมื่อข้อมูลไม่โปร่งใส อาจขัดต่อกฎหมาย และประชาชนไม่ได้รับรู้ผลกระทบตามสิทธิ โครงการควรหยุดพิจารณา และทบทวนใหม่ทั้งหมด” นายอดิศักดิ์กล่าว
ด้านนางสาวรสนา โตสิตระกูล ประธานอนุกรรมการบริการสาธารณะ พลังงาน และสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า โครงการนี้มีลักษณะใช้อำนาจรัฐผ่องถ่ายผลประโยชน์ให้กลุ่มทุน และต่อสัญญาข้ามศตวรรษ ทั้งที่ปี 2563 สัญญาทางด่วนควรกลับคืนสู่ประชาชนแล้ว แต่กลับมีความพยายามฟ้องร้อง และยอมความกัน ต่อสัญญาไปอีก 15 ปี ยังไม่พอจะขอทำโครงทางด่วน 2 ชั้น อ้างว่าเอกชนออกเงินให้ 3.4 หมื่นล้าน และต่อสัญญาไปอีก 22 ปี 5 เดือน จนถึงปี 2601
“รัฐอ้างว่าเอกชนออกเงิน 3.4 หมื่นล้าน แต่รัฐกลับเสียรายได้ 1.7 แสนล้าน นี่คือความไม่เป็นธรรมต่อประชาชนอย่างร้ายแรง และการต่อสัญญาข้ามศตวรรษ บอกว่าประชาชนจะได้ส่วนลดค่าทางด่วน 50 บาท แต่ในปี 2571 จะขึ้นค่าทางด่วนเป็น 60 บาท ปี 2580 ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ที่ลดเหลือ 50 บาทก็เป็นเงินกทพ. จากการแก้ไขส่วนแบ่ง 60:40 เป็น 50:50 จะทำให้รัฐต้องสูญเสียเงินถึง 1.7 แสนล้านบาท แทนที่จะนำเงินมาลดราคาให้ประชาชนได้ วิ่งฟรีช่วงกลางคืนได้ ลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนได้ ซื้อรถเมลไฟฟ้าให้บริการได้ ทำประโยชน์มาก” นางสาวรสนากล่าว
ขณะที่นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการสภาผู้บริโภค กล่าวปิดท้ายว่า งบประมาณแผ่นดินควรใช้สร้างระบบขนส่งสาธารณะที่ทุกคนขึ้นได้ทุกวัน ในราคาไม่เกิน 10% ของค่าแรงขั้นต่ำ ไม่ใช่นำมาใช้ก่อสร้างโครงการทางด่วน 2 ชั้น ผูกพันประชาชนให้จ่ายค่าผ่านทางอีก 22 ปี
สภาผู้บริโภคขอเรียกร้องให้รัฐบาลถอนโครงการนี้ และเชิญชวนเครือข่าย 50 เขต ร่วมเวทีคัดค้านในวันที่ 29 พฤศจิกายนนี้ ที่ชุมชนพญาไท และอยากให้พรรคการเมืองทุกพรรคเข้ามาร่วมและประกาศเจตนารมณ์ว่าไม่เอาทางด่วน 2 ชั้น













