“เราทำไมไม่ลงทุนให้กับเกษตรกรชาวไร่ชาวนาให้เขามีนวัตกรรมที่ทำให้เขาทำมาหากินได้อย่างสะดวกสบายขึ้น ทำให้เขาลดต้นทุนได้ ทำให้เขามีเงินเหลือจากการทำอ้อย ให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราทุ่มเทงบประมาณลงไปในสิ่งต่างๆ นานาเยอะแยะ แต่ลงทุนให้กับเกษตรกรชาวไร่น้อยมาก แล้วก็มีเงื่อนไขเยอะด้วย” เสียงจากชัยวัฒน์ คำแก่นคูณ นายกสมาคมชาวไร่อ้อยน้ำพอง จ.ขอนแก่น
ภายใต้ฝุ่นควันหรือ ‘หิมะดำ’ ที่ลอยคลุ้งจากการเผาอ้อยในทุกฤดูเก็บเกี่ยว ซ่อนความจริงที่ซับซ้อนกว่าที่คนทั่วไปมองเห็น ทั้งเรื่องต้นทุน แรงงาน และโครงสร้างที่บีบให้เกษตรกรไร่อ้อยต้องเลือกการเผาแทนการตัดสด รายงานนี้จะพาไปสำรวจ ‘ทางออก’ ที่มากไปกว่าแค่การสนับสนุนเงินช่วยเหลือการตัดอ้อยสด และไม่ใช่แค่สร้างความยั่งยืนให้ทุกชีวิตที่เกี่ยวพันกับไร่อ้อย แต่ยังรวมถึงคืนอากาศสะอาดให้ทุกคนในประเทศด้วย
เครื่องจักรในไร่อ้อย: ทางออกลดการเผาที่ไปไม่ถึงชาวไร่ส่วนใหญ่
ก่อนจะไปที่นวัตกรรมลดการเผาอ้อย อยากชวนมาดูเครื่องจักรที่เกี่ยวข้องกับไร่อ้อย เพื่อให้เข้าใจสถานการณ์และเห็นภาพมากยิ่งขึ้น เพราะเครื่องจักรเหล่านี้ไม่เพียงเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดว่าเกษตรกรไร่อ้อยจะเลือก ‘ตัดสด’ หรือ ‘เผา’ แต่ยังสะท้อนถึงต้นทุนที่เกษตรกรต้องตัดสินใจ
อ้อย ถือเป็นพืชที่มีการใช้เครื่องจักรมากที่สุดในบรรดาพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นๆ แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเครื่องจักรที่มีความสำคัญต่อการลดการเผาอ้อย โดยเริ่มตั้งแต่ ‘การเก็บเกี่ยวอ้อย’ ขั้นตอนการเก็บเกี่ยวก็มีหลากหลายรูปแบบ อาจตัดด้วยแรงงานคน หรือใช้เครื่องจักรขนาดเล็ก ไปจนถึงเครื่องจักรขนาดใหญ่
เกษตรกรชาวไร่อ้อยจำนวนมากในไทยเป็นเกษตรกรรายย่อย ต่างจากประเทศอย่างบราซิล หรือออสเตรเลีย การที่เกษตรกรส่วนมากในไทยจะเข้าถึงเครื่องจักรขนาดใหญ่ในการจัดการไร่ย่อมเป็นเรื่องยาก และด้วยสภาพบังคับหลายอย่าง สุดท้ายจึงมักจบด้วยการเผา
การเลือกใช้เครื่องจักรในไร่อ้อยนั้นขึ้นอยู่กับขนาดแปลงของเกษตรกร
เครื่องตัดอ้อยขนาดใหญ่ที่รู้จักกันดีในปัจจุบันมีราคาสูงถึง 13 ล้านบาท หากรวมดอกเบี้ยแล้วราคาอาจเพิ่มขึ้นไปถึง 15 ล้านบาท มีเวลาผ่อน 6 ปี ตกปีละ 2 ล้านบาทในขณะที่ระยะเวลาการใช้งานในแต่ละปีอยู่แค่ประมาณ 4 เดือนตามระยะเวลาเปิดหีบ เครื่องตัดอ้อยประเภทนี้จึงมักเหมาะกับเกษตรกรรายใหญ่ที่มีเนื้อที่ปลูกอ้อย 1,000 ไร่ขึ้นไป และมีผลผลิต 10,000-20,000 ตัน

รถตัดอ้อยขนาดใหญ่
ที่มา Thai Agency Engineering
สำหรับเกษตรกรรายเล็ก หากไม่สามารถหาแรงงานได้ ก็จะมีการนำเครื่องสางใบอ้อยมาใช้เป็นตัวเลือกเข้ามาช่วยสนับสนุนการตัดอ้อยสด ขณะนี้เครื่องสางใบกำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะใช้เงินลงทุนต่ำ ราคาอยู่ที่หลักหมื่น เครื่องสางใบอ้อยเป็นอุปกรณ์ที่ต่อพ่วงสำหรับแทรกเตอร์โดยใช้ชุดโรลเลอร์ที่หมุนด้วยความเร็วสูง เพื่อตีใบอ้อยให้หลุดออกจากลำต้นอ้อย

เครื่องสางใบอ้อย
ที่มา Mitrphol Unusual Farm
ขั้นตอนสุดท้ายหลังตัดอ้อยส่งโรงงานคือการจัดการใบอ้อย การจัดการใบอ้อยเพื่อนำไปใช้ต่อไม่ใช่เพียงต้องกวาดใบมากองรวมกันไว้รอการขนส่ง แต่ต้องมีการอัดก้อนเหมือนการอัดฟางข้าวก่อนแล้วค่อยขนไปขาย เครื่องอัดใบอ้อยจึงเป็นอีกเครื่องมือที่จำเป็นในการปลูกอ้อย เครื่องอัดในปัจจุบันเป็นเครื่องอัดขนาดใหญ่และก้อนอ้อยอัดที่ได้เป็นก้อนขนาดใหญ่มีตั้งแต่ก้อนกลมไปจนถึงก้อนขนาดสี่เหลี่ยม

เครื่องอัดใบอ้อยแบบเดิมและใบอ้อยอัดก้อนขนาดใหญ่
ที่มา Siam Kubota
แต่ในปัจจุบันเกษตรกรหลายรายสะท้อนมาว่าใบอ้อยที่สามารถเข้าเครื่องอัดแบบปกติที่มีอยู่ทั่วไปได้ต้องมาจากไร่ที่ใช้เครื่องตัดอ้อยขนาดใหญ่เท่านั้นเพราะใบอ้อยจากเครื่องตัดจะเป็นใบอ้อยที่สับมาแล้ว ดังนั้นอ้อยสดที่ใช้แรงงานคนตัดจึงไม่เหมาะที่จะเข้าเครื่องอัด เนื่องจากใบที่ยาวเกินไปจะเข้าไปติดตัวเครื่อง
ด้วยเหตุนี้แม้รัฐบาลจะออกมาตรการสนับสนุนการซื้อใบอ้อยจากเกษตรกร แต่ในทางปฏิบัติแล้วมาตรการนี้ไม่ได้ช่วยอะไรมากนักในสายตาชาวไร่อ้อยส่วนใหญ่ในประเทศ เพราะเครื่องมือที่มีอยู่ไม่ได้ช่วยตอบโจทย์หรือสร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรชาวไร่อ้อย
นวัตกรรมทางลดการเผา สร้างมูลค่าเพิ่มให้ ‘ใบอ้อย’
“ชาวไร่ส่วนมากเขายังหวังเลย ขนาดเขาเข้าใจเรื่องพีเอ็ม 2.5 เขาก็ยังมีความหวังอยู่ว่าถ้าตัดอ้อยสดให้แล้วให้เขาจุด(ไฟเผา)ได้ไหม ถ้าไม่ทำแบบนั้นก็ต้องสร้างมูลค่าให้ใบอ้อย” โสภิต อิงสา เกษตรกรชาวไร่อ้อยอำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น กล่าวถึงทางออกของใบอ้อยหลังตัดอ้อยสด หากไม่สร้างมูลค่าก็จะเกิดปัญหาการเผาต่อไปเรื่อย ๆ หรือไม่เกษตรกรก็จะไถมากองรวมกันไว้ที่หัวแปลง ซึ่งก็เสี่ยงต่อไฟไหม้ได้อีกเช่นกัน
แต่ปัจจุบันโรงงานที่รับซื้อใบอ้อยยังมีส่วนน้อย ในขณะที่โรงงานที่ไม่รับซื้อนั้นมีมากกว่า ใบอ้อยอัดก้อนแบบนี้โรงงานรับซื้ออยู่ที่ประมาณ 800-1000 บาท ขึ้นอยู่กับบริษัทหรือพื้นที่หรือคุณภาพของใบอ้อย แต่ก้อนที่อัดได้นั้นมีขนาดใหญ่ จึงต้องมีต้นทุนเรื่องค่าขนส่งเพิ่มเติมอีก ยิ่งอยู่ไกลจากโรงงาน ค่าขนส่งก็ยิ่งแพงมากขึ้น ราคาที่ได้ก็ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย อีกทั้งโรงงานยังไม่สามารถเอามาใช้ได้ทันที ต้องนำก้อนมาสับออกอีกรอบก่อนเข้ากระบวนการต่อไป โรงงานส่วนมากจึงยังไม่รับซื้อ
รศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์ จากภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ย้ำว่า หากจะลดการเผาอ้อยลงต้องสร้างมูลค่าเพิ่มให้ใบอ้อย
แทนที่จะปล่อยไว้เป็นกองพะเนินทิ้งไว้ในไร่ แต่อย่างไรก็ตามการอัดก้อนในปัจจุบันก็มีความเสี่ยง “ประเด็นคือการรับซื้อใบอ้อยก็มีค่าใช้จ่ายเยอะและมีความเสี่ยงเหมือนกัน เพราะว่าใบอ้อยที่มันไปกองไว้ ข้างล่างจะเป็นแก๊สมีเทน แล้วก็เกิดไฟลุกไหม้ได้ง่าย” รศ. ดร. ขวัญตรี กล่าว
เมื่อการอัดใบอ้อยแบบเดิมยังไม่ตอบโจทย์ ภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จึงได้เสนอทางออกโดยการอัดใบอ้อยให้มีขนาดจิ๋วเพียงแค่ 1 นิ้ว เพื่อทำให้ง่ายต่อการขนส่งและการจัดการ โรงงานเองก็สามารถนำมาใช้ได้เลยไม่ต้องนำมาสับก่อนเข้ากระบวนการ ทั้งยังช่วยลดค่าจัดเก็บและป้องกันไฟไหม้ด้วย ตัวเครื่องอัดเองก็มีขนาดเล็กลง สามารถนำไปใช้ได้กับแปลงทุกขนาด

เครื่องอัดใบอ้อยและใบอ้อยอัดก้อนขนาดเล็กจากงานวิจัยของสาขาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
“ถ้าเดิมทีใบอ้อยขายได้ประมาณ 750-1000 บาท แต่ถ้าอัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมขนาดจิ๋ว อย่างต่ำโรงงานก็รับซื้อประมาณ 1,500 บาท สามารถซื้อได้ โรงงานเขาก็ยินดี และเขาสามารถที่จะเอาไปใช้งานได้เลย” รศ.ดร. กิตติพงษ์ ลาลุน ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีหลังการเก็บเกี่ยวและผู้ทำวิจัยเครื่องอัดใบอ้อย จากภาควิชาวิศวกรรมเกษตร คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าว

รศ.ดร. กิตติพงษ์ ลาลุน
ข้อดีอีกประการของเครื่องอัดแบบนี้คือใบอ้อยที่นำมาอัดไม่จำเป็นต้องมาจากเครื่องตัดขนาดใหญ่ ใบอ้อยจากคนตัดก็สามารถเข้าเครื่องอัดประเภทนี้ได้ จึงช่วยให้เกษตรกรรายเล็กเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น รศ.ดร. กิตติพงษ์ ระบุอีกว่าการวิจัยอยู่ในจุดที่สามารถนำไปใช้ได้จริงแล้วเหลือเพียงแค่การขยายผลให้เกิดการนำไปใช้จริงในอุตสาหกรรม ขณะนี้ทางโรงงานบางโรงก็เริ่มตอบรับแนวทางนี้แล้ว และตอนนี้ก็เสร็จสิ้นกระบวนการพัฒนาแล้ว รศ.ดร. กิตติพงษ์ระบุเพิ่มเติมว่ากำลังจะนำเครื่องลงทดลองในแปลงจริงในฤดูเปิดหีบนี้
เทคโนโลยีโดรนกับจัดการแบบรวมแปลง
ทางเลือกอีกทางที่ รศ.ดร. ขวัญตรีและภาควิชากำลังพัฒนาคือการนำโดรนเข้ามาใช้ในไร่อ้อย ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงทดลองและพัฒนา โดยเฉพาะกับไร่อ้อยของเกษตรกรรายย่อยที่มีพื้นที่ไม่มากนัก และยากที่รถตัดขนาดใหญ่เข้าถึง
นวัตกรรมนี้เป็นการจัดการที่เรียกว่า การจัดการแปลงขนาดใหญ่ (virtual mega farm) แต่เปลี่ยนจากแปลงขนาดใหญ่แปลงเดียวของเจ้าสัวรายใหญ่ มาเป็นในรูปแบบการรวมแปลงเล็ก ๆ ที่อยู่ติดกันของเกษตรกรรายย่อยแล้วออกแบบและจัดการร่วมกัน
นวัตกรรมนี้สามารถช่วยวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดในไร่อ้อยแต่ละแปลง วัดค่าความหวานและปริมาณผลผลิตอ้อยที่จะได้ในแต่ละไร่ รศ.ดร. ขวัญตรีกล่าวว่า โดรนตัวนี้จะเข้ามาช่วยให้การจัดการไร่อ้อยมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
นอกจากนั้นแล้วโดรนยังสามารถระบุว่าแต่ละแปลงมีปัญหาจากสาเหตุใดได้บ้าง เช่น การขาดน้ำ หรือวัชพืช และที่สำคัญยังช่วยให้เกษตรกรรายย่อยมีทางออกมากขึ้นจนไม่ต้องหันไปพึ่งการเผาอ้อยแบบเดิม การเข้าไม่ถึงเครื่องตัดขนาดใหญ่ก็จะไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
“ถ้าเกิดเราสามารถที่จะรู้ผลผลิต แล้วก็ความหวานของแต่ละแปลง จริง ๆ แล้วเรานัดกันชาวไร่แต่ละรายเลยว่าปลูกพร้อมกัน ปลูกทีเดียวกัน แล้วเดี๋ยวพอตัดอ้อยใหญ่มาวิ่ง ก็วิ่งยาวแบบทะลุแปลงไปเลย” รศ.ดร. ขวัญตรี กล่าว
รศ.ดร. ขวัญตรี ยังระบุว่าปัจจุบันยังคงอยู่ระหว่างการทดลองในแปลงของโรงงานที่เข้าร่วมการทดลอง ซึ่งหลายโรงงานเริ่มผลักดันทางนี้มากขึ้นเพื่อสร้างความยั่งยืนให้เกษตรกรชาวไร่อ้อย
ส่วนตัวแพลตฟอร์มดังกล่าวพร้อมที่จะใช้งานแล้ว โดยข้อมูลจะอยู่บนเว็บไซต์ออนไลน์ที่เกษตรกรและโรงงานสามารถเข้าระบบเพื่อมาดูได้ แต่ในเรื่องของการส่งเสริมให้เกิดการรวมแปลงเล็กแปลงน้อยนั้น ต้องอาศัยการที่โรงงานเข้าไปพูดคุยและสร้างความเข้าใจร่วมกันกับเกษตรกร

ข้อมูลบนเว็บไซต์ที่ได้มาจากเทคโนโลยีโดรน
ที่มา รศ.ดร.ขวัญตรี แสงประชาธนารักษ์
รศ.ดร. ขวัญตรีมองว่านวัตกรรมนี้ยังเข้าไปช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรไร่อ้อยรายเล็ก สามารถที่จะรวมกลุ่มและจัดการร่วมกัน ใช้เครื่องจักรร่วมกันได้ โดยเป็นเครื่องจักรเดิมที่เกษตรกรรายใดรายหนึ่งในกลุ่มมีอยู่แล้ว แล้วนำมาใช้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันในกลุ่ม ซึ่งเป็นการทํางานร่วมกันของแปลงเล็กๆ แต่รศ.ดร. ขวัญตรีย้ำว่าคนกลางที่จะต้องสร้างความร่วมมือดังกล่าวนั้นคือโรงงาน
รัฐต้อง ‘สร้างตลาด’
นักวิชาการต่างมองว่านอกจากปัจจัยเรื่องนวัตกรรมลดการเผาแล้ว ประการที่สำคัญต่อมาคือภาครัฐต้องทำให้เกิดการรับซื้ออ้อยอย่างทั่วถึงเสียก่อน ซึ่งจะหวังพึ่งแค่โรงงานไฟฟ้าก็อาจจะไม่พอ รศ. ดร. กิตติพงษ์ ระบุว่า ปัจจุบันยังไม่มีตลาดที่สองมารองรับการขายใบอ้อย ตลาดหลักของใบอ้อยยังคงเป็นโรงไฟฟ้า ภาครัฐควรมองหาทางเพิ่มมูลค่าทางอื่นนอกจากโรงไฟฟ้า
เพราะหากการรับซื้อใบอ้อยยังไม่ทั่วถึง ปัญหาการเผาอ้อยก็จะยังคงเป็นปัญหาไปอีกระยะหนึ่ง
ใบอ้อยเป็นวัตถุที่มีคาร์บอนจำนวนมาก นอกจากการป้อนโรงไฟฟ้าในโรงงานน้ำตาลยังนำไปต่อยอดได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการทำถ่านไบโอชาร์สำหรับเป็นสารปรับปรุงดิน หรือนำไปเป็นส่วนประกอบของอุตสาหกรรมชีวมวล ไบโอพลาสติก หรือแม้แต่ใช้เป็นถ่านเชื้อเพลิงในร้านปิ้งย่างหมูกระทะ
“ต้องให้มีทางออกให้กับเกษตรกรเพราะว่าถ้าเทคโนโลยีนี้ลงไปแต่เกษตรกรไม่มีที่ขายมันก็สูญเปล่า” รศ. ดร. กิตติพงษ์ กล่าว เสียงสะท้อนจากเกษตรกรส่วนใหญ่ยังคงเป็นเรื่องของตลาด หากมีที่ทางให้เกษตรกรสร้างรายได้จากใบอ้อยได้จริง ก็คงเป็นแรงจูงใจสำคัญให้เกษตรกรหันมาเก็บใบอ้อยขายมากขึ้นแทนที่จะเลือกการเผาอ้อย
เช่นเดียวกับ รศ.ดร. ขวัญตรี ที่มองว่าการสร้างตลาดรับซื้อผลิตภัณฑ์จากใบอ้อยเป็นเรื่องสำคัญที่สุด
รัฐต้องเป็นคนผลักดันกลไกเหล่านี้ การสนับสนุนสามารถมีได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งเรื่องลดหย่อนภาษีหรือการออกคูปองสนับสนุนธุรกิจ SMEs รศ.ดร. ขวัญตรียังได้ยกตัวอย่างนโยบายที่มีอยู่ในกระทรวงดีอี นั่นคือ คูปองดิจิทัลสำหรับครัวเรือนและวิสาหกิจชุมชน
รศ. ดร. ขวัญตรีมองว่ากระทรวงอุตสาหกรรมก็น่าจะสามารถออกคูปองในลักษณะนี้เพื่อสนับสนุนการเก็บใบอ้อย เช่น การแจกคูปองดิจิทัลให้ร้านปิ้งย่าง ธุรกิจ SMEs หรือแบรนด์ต่าง ๆ ที่ใช้ผลิตภัณฑ์จากใบอ้อยหรือชานอ้อย หรือให้สิทธิประโยชน์บางอย่างที่ช่วยสนับสนุนธุรกิจในประเทศที่ใช้ผลิตภัณฑ์จากใบอ้อย เพื่อเพิ่มทางเลือกให้เกษตรกรลดการเผาอ้อยและเป็นการใช้ของเหลือทางการเกษตรให้เกิดประโยชน์
“ไม่ได้เป็นการเพิ่มหรือว่าแทรกแซงค่าอ้อยโดยตรงด้วย ไม่ใช่การแทรกแซงตลาดด้วย แล้วก็เป็นการส่งเสริมให้อุตสาหกรรมทุกอุตสาหกรรมในไทยที่ใช้ไบโอพลาสติกหรือใช้ผลิตภัณฑ์จากใบอ้อย” รศ. ดร. ขวัญตรี กล่าว
ด้านนายกสมาคมชาวไร่อ้อยน้ำพองยังได้ทิ้งท้ายไว้ว่า ภาครัฐควรเป็นส่วนสำคัญที่ลงมาช่วยสนับสนุนในส่วนของนวัตกรรม โดยการร่วมมือกับสถาบันการศึกษาที่ศึกษาหรือวิจัยนวัตกรรมการเกษตรกร เพื่อสร้างเครื่องจักรราคาไม่แพงมากระจายให้ให้ชาวไร่อ้อยได้ใช้อย่างทั่วถึง
การเข้าถึงเครื่องมือหรือกลไกอื่น ๆ ที่ง่ายขึ้นจะช่วยให้เกษตรกรอยากเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากเกษตรกรเห็นช่องทางสร้างรายได้ที่ทำได้จริงและเงินที่ได้คุ้มกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการตัดอ้อยสด เกษตรกรก็จะมีแรงจูงใจมากขึ้นที่จะไม่เผาอ้อยตามมาตรการของรัฐบาล แต่สุดท้ายแล้วรัฐบาลก็ต้องมองหาทางออกให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยด้วย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
- พีเอ็ม 2.5 กับชาวไร่อ้อย (1) ทำความเข้าใจ ‘จำเลยสังคม’ ทำไมต้องเผา อนาคตไม่เผาได้หรือไม่











