
สู้รบชายแดนลาม 6 จังหวัด กองทัพไทยระบุพบกัมพูชาใช้ “โดรนพลีชีพ”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
เข้าสู่วันที่สองของการเปิด “ปฏิบัติการทางทหาร” ระหว่างไทยกับกัมพูชา มีการปะทะหนักทั้งชายแดนภาคอีสานและภาคตะวันออก โดยมี 6 จังหวัดได้รับผลกระทบ โดยต่างฝ่ายต่างกล่าวอ้างว่ามีการใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ทิ้งsะเบิดใส่เป้าหมาย
นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงกรณีกัมพูชาใช้ “โดรนพลีชีพ” โจมตีไทย โดยบอกว่า กองทัพรับทราบและมีแผนเผชิญอยู่แล้ว
นายกฯ กล่าวย้ำว่า “ไม่มี” การติดต่อเจรจากับกัมพูชา ขณะนี้ไทยดำเนินการในสิ่งที่ควรทำ “ประเทศไทยเราได้แสดงความเป็นประเทศไทยให้กับผู้ที่คิดไม่ดีกับประเทศเราให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว ฉะนั้นตอนนี้ให้กำลังใจผู้ที่กำลังปกป้องอธิปไตยของเราดีกว่า”
ผู้สื่อข่าวถามว่า จะไม่มีเหตุการณ์เหมือนในอดีตที่ทหารกำลังปกป้องอธิปไตยแล้วมีการสั่งให้ทหารหยุดใช่หรือไม่ นายอนุทินตอบว่า ไม่มี ตอนนี้หยุดไม่ได้แล้ว
“ให้คำมั่นสัญญากับกองทัพแล้วว่าให้กองทัพดำเนินการตามแผนการที่ได้คิดกันไว้อย่างเต็มที่ รัฐบาลให้การสนับสนุนทุกรูปแบบ” นายกฯ อนุทินกล่าว
เมื่อถามว่า จนกว่ากองทัพจะสิ้นสภาพไปใช่หรือไม่ นายอนุทิตอบทันทีว่า “กองทัพเขา ไม่ใช่กองทัพเรา กองทัพเราไม่มีวันสิ้นสภาพ”
คำว่า “ทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพ” มาจากคำกล่าวของ พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก เมื่อ 8 ธ.ค. ว่า “เป้าหมายคือกองทัพบกจะทำให้กัมพูชาสิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหารไปอีกยาวนาน เพื่อความปลอดภัยของลูกหลานของเรา” ซึ่งทีมสื่อสารของทุกเหล่าทัพได้นำคำนี้มาเน้นย้ำต่อสาธารณะ
ไทยปฏิเสธ “เฟคนิวส์” ใช้อาวุธเคมี

ที่มาของภาพ : ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
ในระหว่างการแถลงข่าวครั้งแรกช่วงเช้าวันนี้ (9 ธ.ค.) ของศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อบูรณาการข้อมูลข่าวสาร โดยมีผู้แทนเหล่าทัพ กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศร่วมด้วย พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวย้ำว่า ชนวนเหตุของปฏิบัติการทางทหาร เกิดจากการเปิดฉากยิvของกัมพูชาที่ภูผาเหล็ก-พลาญหินแปดก้อน อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ เมื่อ 7 ธ.ค. ส่งผลให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บ 2 นาย จากนั้นการปะทะได้ขยายวงกว้างไปตลอดตามแนวชายแดน โดยยอดล่าสุดยืนยันว่าทหารเสียชีวิต 1 นาย และได้รับบาดเจ็บ 29 นาย
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue discovering outได้รับความนิยมสูงสุดConclude of ได้รับความนิยมสูงสุด
ต่อมาในเวลา 17.00 น. ของวันนี้ กองทัพภาคที่ 2 ได้เผยแพร่แถลงการณ์รายงานสถานการณ์การปะทะล่าสุดว่า ทหารกัมพูชาได้ยิvจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ประมาณ 125 ครั้ง กระสุนลูกจรวด 5,000 นัด โดรนพลีชีพหรือโดรน FPV จำนวน 33 พื้นที่ ใส่ฐานและที่มั่นของฝ่ายไทยในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ ช่องอานม้า และช่องบก จ.อุบลราชธานี, เถียงตาม็อก จังหวัดศรีสะเกษ และช่องคนา ปราสาทตาควาย จ.สุรินทร์ โดยยืนยันว่าฝ่ายไทยตอบโต้ด้วยอาวุธอย่างได้สัดส่วน
ขณะที่ทหารไทยเสียชีวิตเพิ่มเป็น 4 นาย บาดเจ็บรวม 68 นาย ขณะที่กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า ฝ่ายกัมพูชาเสียชีวิต 61 นาย บาดเจ็บยังประเมินไม่ได้
โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า การปฏิบัติการของฝ่ายไทยเน้นเป้าหมายทางทหารเป็นหลัก ขณะที่กัมพูชาเน้นโจมตีสถานที่พลเรือน เพื่อสร้างความตื่นตระหนกและปั่นป่วน
“ไทยต้องการสันติภาพ แต่สันติภาพต้องมาพร้อมความปลอดภัยและความมั่นคงของประชาชนเป็นสำคัญ”
นอกจากนี้ฝ่ายความมั่นคงไทยขอ “ปฏิเสธโดยสิ้นเชิง” ต่อกรณีที่กัมพูชาผลิตเฟคนิวส์ หรือข่าวปลอมกล่าวอ้างว่ามีการใช้อาวุธเคมี และขอให้ประชาชนเพิ่มความระมัดระวังในการเสพสื่อต่าง ๆ และติดตามข่าวสารผ่านช่องทางทางการเท่านั้น
ส่วนที่มีคำถามว่าเป็นการโจมตีก่อนเพื่อป้องกันหรือไม่นั้น โฆษกกระทรวงกลาโหมกล่าวว่า เป็นการปฏิบัติต่อเนื่องตามสิทธิในการปกป้องตนเอง ซึ่งต้องมีองค์ประกอบครบ 4 เงื่อนไขเพื่อสร้างความชอบธรรม ได้แก่ 1. สังเกตว่ามีภัยคุกคามชัดเจน ใกล้จะเกิดขึ้น 2. ไม่มีทางเลือกอื่น การเจรเจาและเตือนไม่ได้ผล 3. ตอบโต้เท่าที่จำเป็น ไม่ใช้กำลังเกินเหตุ และ 4. มุ่งเป้าหมายทหารเท่านั้น ซึ่งกองทัพไทยปฏิบัติครบถ้วน
สรุปสถานการณ์ล่าสุด
สำหรับสถานการณ์การสู้รบระหว่างทหารไทย-กัมพูชา กินพื้นที่ 6 จังหวัดชายแดนของไทย ประกอบด้วย อุบลราชธานี ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ สระแก้ว และตราด
ด้านแรก ชายแดนภาคอีสาน
กองทัพภาพที่ 2 แจ้งผ่านบัญชีเฟซบุ๊กที่เป็นทางการเมื่อเวลา 04.50 น. ว่า “BM-21 มาตามนัด” และ “กัมพูชาจะถ่ายภาพทุกอย่างเพื่อฟ้องชาวโลก”
จากนั้นได้ทยอยเปิดเผยพิกัดพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างน้อย 13 พื้นที่ ซึ่งกองทัพใช้คำว่า “ตำบลกระสุนตก” ทั้งจากอาวุธจรวดหลายลำกล้อง (BM-21) ปืนใหญ่ และ “โดรนพลีชีพ” อันหมายถึงโดรนติดsะเบิด ประกอบด้วย ปราสาทตาควาย, ปราสาทตาเมือน, ช่องปลดต่าง, พระวิหาร, ช่องระยี, ภูมะเขือ, เนิน 600, บ้านภูมิซรอล ม.12, , ช่องอานม้า, ช่องบก, พลาญยาว, พญาสัตบรรณ, และเนิน 561
“กัมพูชาเปิดฉากยิvก่อน กองทัพภาคที่ 2 จำเป็นต้องตอบโต้ตามกฎการปะทะ เพื่อทำให้ภัยคุกคามสิ้นสภาพการรบและรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ของประชาชนในพื้นที่ชายแดน” กองทัพภาคที่ 2 ประกาศผ่านเฟซบุ๊กขององค์กร
ผลของปฏิบัติการ
กองทัพภาคที่ 2 แจ้งว่า สามารถปฏิบัติการกับ 5 พื้นที่เป้าหมายได้ ดังนี้
- ทำลายตึกกาสิโนร้าง/ที่ทำการเครือข่ายสแกมเมอร์ ซึ่งถูกใช้เป็นฐานที่ตั้งทางทหารและจุดปล่อยโดรน พื้นที่ช่องอานม้า อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี
- ทำลายเสาสัญญาณระบบ Anti Drone พื้นที่พระวิหารและห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
- กวาดล้างสวนมะม่วงหิมพานต์ ซึ่งรุกล้ำเส้นปฏิบัติการ บริเวณช่องระยี ทางทิศตะวันออกช่องจอม อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์
- ผลักดันทหารกัมพูชาในพื้นที่ปราสาทคนา อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ แต่รองโฆษก ทบ. ระบุว่า ณ ปัจจุบัน (เวลา 10.30 น. ของวันที่ 9 ธ.ค.) ยังไม่สามารถควบคุมพื้นที่ได้เบ็ดเสร็จ เนื่องจากพบว่ากัมพูชาใช้สนามทุ่นsะเบิดจำนวนมาก
- ทำลายกระเช้าลำเลียงเสบียงเนิน 350 ปราสาทตาควาย อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะนี้ยังมีความพยายามเข้ากระทำต่อพื้นที่ต่อไป

ที่มาของภาพ : ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
ด้านที่สอง ชายแดนภาคตะวันออก
เกิดเหตุปะทะที่บ้านหนองรี ต.ชำราก อ.เมืองตราด จ.ตราด หรือที่รู้จักในชื่อ “บ้านสามหลัง” ตั้งแต่ช่วงเช้ามืด จนนาวิกโยธินไทยต้องออกโรง
พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ (ทร.) แถลงว่า กำลังทหารเรือได้ใช้กำลังทหารในการผลักดันทหารของกัมพูชาให้ถอยร่นออกจากพื้นที่ไป โดยเริ่มใช้อาวุธในเวลา 05.30 น. “ปัจจุบันยังติดพันอยู่ ปฏิบัติการทหารยังไม่เสร็จสิ้น คาดว่าจะจบภายในเร็ววัน”
ต่อมาเวลา 16.00 น. โฆษก ทร. แถลงเพิ่มเติมว่า จากการการประเมินความเสียหายของฝ่ายตรงข้าม ส่วนที่เป็นฐานที่มั่นจะอยู่ราว 80% อาคารหลักในพื้นที่ทั้งหมดถูกทำลายไปแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการเข้ายึดคืนพื้นที่ แต่เนื่องจากกัมพูชาใช้ปืนใหญ่ตอบโต้ไทย ทำให้ยังไม่สามารถยึดพื้นที่ได้เบ็ดเสร็จ
สำหรับ “บ้านสามหลัง” เป็นพื้นที่พิพาทมานาน โดยก่อนหน้านี้ ทร. ได้เข้ารื้อบ้านสามหลัง ทำให้กัมพูชาถอยร่นไป แต่โฆษก ทร. บอกว่า พบว่ากัมพูชากลับมายึด เสริมกำลัง และปรับปรุงเรือนบริวารเป็นฐานที่มั่น ที่พัก ที่เก็บยุทโธปกรณ์ และเป็นฐานยิv มีการขุดคูเลต วางกำลังเพิ่ม ประกอบกับมีการเสริมกำลังด้วยพลซุ่มยิvและรบพิเศษ มีการลาดตระเวนในพื้นที่บ่อยครั้ง นอกจากจะนี้ยังมีการยั่วยุโดยใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) มาตรวจการในพื้นที่ของไทย กระทำในจุดที่เป็นฐานที่มั่นของกองกำลังนาวิกโยธิน ที่ผ่านมา ทร. พยายามเจรจาแล้ว แต่ไม่เป็นผล
ส่วนที่ จ.สระแก้ว กองทัพภาคที่ 1 ระบุว่า กัมพูชายิvเข้ามาในพื้นที่บ้านหนองจาน อ.โคกสูง ตั้งแต่วานนี้ (8 ธ.ค.) ตลอดจนตรวจพบการเคลื่อนกำลังพลและอาวุธหนักเข้าประชิดชายแดน รวมถึงตรวจพบทุ่นsะเบิดใหม่ ชนิด PMN-2 ซึ่งฝ่ายกัมพูชาเตรียมการนำมาใช้ในพื้นที่ และยังใช้อาวุธหนักยิvใส่บ้านเรือนประชาชนจนได้รับความเสียหาย
กองทัพบกเผยแพร่ภาพบ้านเรือนของประชาชน 2 หลัง ในพื้นที่บ้านโคกทหาร หมู่ 5 ต.ทัพเสด็จ จ.สระแก้ว ได้รับความเสียหายจาก “ลูกกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชาตกใส่” ซึ่งได้รับรายงานเมื่อเวลา 01.00 น. ของวันนี้ (9 ธ.ค.) ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต จึงขอประณามการใช้อาวุธข้ามแดนของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนไทย

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
“ไม่เหลืออะไรแล้ว บ้านทั้งหลังพังหมด ตอนนี้ยังไม่รู้เลยว่าจะมีหน่วยงานไหนเข้ามาช่วยเหลือ” โสภี กันเข็ม ชาวสระแก้ว วัย 66 ปี กล่าวทั้งน้ำตาภายหลังเห็นสภาพบ้านพักของตัวเองที่เหลืออยู่เพียงครึ่งหลัง
เขาเป็นเจ้าของบ้าน 1 จาก 2 หลัง ในพื้นที่บ้านโคกทหาร ที่ถูกกระสุนปืนใหญ่จากฝั่งกัมพูชาตกลงมาใส่ ทำให้บ้านพังเสียหายอย่างหนัก ข้าวของภายในแตกกระจัดกระจาย โชคดีที่วัวที่เลี้ยงเอาไว้ยังอยู่รอดปลอดภัย
จุดที่กระสุนตกใส่เป็นจุดที่เจ้าของบ้านนอนเป็นประจำ หากไม่ได้อพยพไปอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราว อาจเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นได้

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX
ผลของปฏิบัติการ
กองทัพภาคที่ 1 เปิดเผยว่า ได้ยึดคืนอธิปไตยของไทยใน จ.สระแก้ว ได้แก่ บ้านหนองจาน อ.โคกสูง, บ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง, บ้านคลองแผง อ.ตาพระยา โดยสามารถทำลายที่มั่นดัดแปลงของฝ่ายกัมพูชาในพื้นที่ปฏิบัติการได้บางส่วน รวมถึงสามารถยึดและควบคุมพื้นที่ตามแนวเส้นปฏิบัติการบริเวณบ้านหนองหญ้าแก้วได้เรียบร้อยแล้ว
ต่อมาเวลา 16.00 น. พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษก ทบ. แถลงว่า กองกำลังบูรพาได้เคลียร์พื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ต.โคกสูง จ.สระแก้ว ตรวจพบว่า ฝ่ายกัมพูชาใช้ทุ่นsะเบิดสังหารบุคลในพื้นที่ 2 ทุ่น ลักษณะพร้อมใช้งาน, sะเบิดแสวงเครื่อง 2 ชุด ชุดแรกประกอบจากกระสุน RPG 3 นัด และ ค.60 (เครื่องยิvลูกsะเบิดขนาด 60 มม.) 1 นัด ชุดที่สอง กระสุน ปรส.82 (ปืนไร้แสงสะท้อนถอยหลัง ขนาด 82 มม.) และsะเบิดไดนาไมต์ จึงดำเนินการเก็บกู้แล้ว
บ้านตาพระยา อ.ตาพระยา จ.สระแก้ว กองกำลังบูรพา โดยหน่วยเฉพาะกิจที่ 11 ใช้ปืนใหญ่รถถังยิvทำลายบ่อนกาสิโนในฝั่งกัมพูชา ซึ่งอยู่ติดแนวชายแดน ซึ่งใช้เป็นที่ตั้งยิvอาวุธวิธีโค้ง ป้อมปืนกล และสะสมอาวุธ เพื่อใช้โจมตีใส่ฝ่ายไทย
“โดรนพลีชีพ”
การใช้โดรนทิ้งsะเบิดในพื้นที่ชายแดนอีสานของไทย ถูกระบุโดยกองทัพภาคที่ 2 ว่าเป็น “ภัยคุกคามรูปแบบใหม่” ภายใต้ยุทธวิธี FPV UAV ของกัมพูชา และแนะนำข้อปฏิบัติเมื่อตรวจพบ หากซากโดรนมีเสียงจะเป็น “กับดัก” ห้ามรวมกลุ่มเข้าไปมุงดูเด็ดขาด แต่หากพบว่าปลอดภัย ให้รีบทำลายหรือแยกกล่อง GPS ออกจากพื้นที่ทันทีเพื่อตัดสัญญาณ และหากพบว่าโดรนมีการติดตั้ง ค.82 (เครื่องยิvลูกsะเบิดขนาด 82 มม.) ติดอยู่ ห้ามเก็บกู้เอง อาจจะมีsะเบิดหรือกับดักอัตโนมัติ
พื้นที่ที่รับผลกระทบจากโดรนทิ้งsะเบิด โดรนพลีชีพใส่ฐานและที่มั่นของฝ่ายไทยตามการเปิดเผยของโฆษก ทบ. มีหลายแนวรบ ตั้งแต่ช่องบก ปราสาทตาควาย ไปจนถึงปราสาทคนา โดยเฉพาะพื้นที่ภูมะเขือ ปราสาทตาเมือนธม “ฝ่ายกัมพูชามีความพยายามอย่างหนักเพื่อจะทำการยึดคืน” ฝ่ายไทยจึงตอบโต้ด้วยอาวุธยิvเล็งตรง อาวุธวิธีโค้ง และยังสามารถควบคุมพื้นที่หลัก ตอบโต้ได้ตามแผน และสร้างความเสียหายต่อขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม กองทัพไม่ได้เปิดเผยภาพของโดรนที่ถูกส่งเข้ามาแต่อย่างใด

ที่มาของภาพ : FACEBOOK/กองทัพภาคที่ 2
ผลกระทบต่อประชาชน
ด้านผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ชายแดน ในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนอีสาน มีประชาชนอพยพไปอยู่ที่ศูนย์พักพิงชั่วคราวแล้ว 125,838 คน ใน 492 ศูนย์ ประกอบด้วย จ. อุบลราชธานี 22,580 คน จังหวัดศรีสะเกษ 45,914 คน, จ.สุรินทร์ 51,781 คน และ จ.บุรีรัมย์ 5,563 คน นอกจากนี้ยังมียอดอพยพประชาชนกลุ่มเปราะบางจำนวน 75 จุด รวมยอด 3,123 คน
ส่วนโรงเรียนที่ถูกสั่งปิดทำการเรียนการสอนชั่วคราว เพิ่มเป็น 990 แห่งแล้ว จากเดิม 641 แห่ง ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการบอกว่า ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ามีโรงเรียนได้รับความเสียหาย
ในระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นายอนุทินสั่งการให้ทุกหน่วยงานดูแลประชาชนในศูนย์อพยพชั่วคราวให้ดีที่สุด และให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยและกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เตรียมงบเยียวยาผู้อพยพ และเร่งโอนเงินโดยเร็ว
รายงานข่าวฝั่งกัมพูชาเป็นอย่างไร
สำนักข่าวเฟรชนิวส์ รายงานการแถลงข่าวเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาของ พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ระบุว่า การยิvถล่มของกองทัพไทยในพื้นที่พลเรือนตั้งแต่วันที่ 8-9 ธ.ค. ส่งผลให้พลเรือนกัมพูชาเสียชีวิต 7 ราย และบาดเจ็บ 20 ราย โดยเป็นตัวเลขเมื่อเวลา 06.00 น. ตามการรายงานจากหน่วยงานท้องถิ่น
กระทรวงกลาโหมกัมพูชาได้ประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมและโหดเหี้ยมของฝ่ายไทย พร้อมระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดอย่างร้ายแรงต่อข้อตกลงหยุดยิvและแถลงการณ์ร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย ซึ่งนายกรัฐมนตรีของทั้ง 2 ระเทศได้ลงนามไว้เมื่อวันที่ 26 ต.ค. โดยมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ และนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ร่วมเป็นสักขีพยาน
สำนักข่าวเฟรชนิวส์ยังรายงานด้วยว่า ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดของวันนี้ (9 ธ.ค.) ทหารไทยยิvถล่มอย่างหนักในพื้นที่แนวหน้าชายแดนเกือบตลอดทั้งแนวใน จ.พระวิหาร จ.อุดรมีชัย และ จ.บันเตียเมียนเจย โดยการรุกรานขยายวงไปถึงชุมชนทมอดา (Thmar Da) ใน อ.เวียลเวง จ.โพธิสัตว์ พร้อมเผยแพร่ภาพกลุ่มควันและอาคารกาสิโนในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยร่องรอยคล้ายรอยกระสุน
ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศของกัมพูชาได้จัดการบรรยายสรุปให้แก่ผู้แทนสถานทูตต่าง ๆ 30 ประเทศและองค์ระหว่างประเทศอีก 3 องค์กร ซึ่งรวมถึงสหประชาชาติ โดยเนื้อหาการบรรยายสรุปรายละเอียดการโจมตีอย่างต่อเนื่องของฝ่ายไทยที่มีต่อกัมพูชา และการละเมิดข้อตกลงต่าง ๆ ที่มีอยู่
สำนักข่าวขแมร์ไทมส์ของกัมพูชารายงานอ้างว่า ฝ่ายไทยได้ใช้โดรนในช่วงกลางดึกที่ผ่านมา ทำให้มีผู้เสียชีวิต 2 รายบริเวณสะพานหมายเลข 8 บนถนน 5 6เอ อ.ถมอปวก จ.บันเตียเมียนเจย พร้อมเผยแพร่ภาพรถที่ระบุว่าเป็นของพลเรือนได้รับความเสียหาย
เวลา 10.58 น. กระทรวงกลาโหมกัมพูชา เผยแพร่แถลงการณ์ซึ่งมีการระบุคำแปลภาษาอังกฤษอย่างไม่เป็นทางการ กล่าวว่า การใช้กำลังทหารของฝ่ายไทยในการรุกรานอธิปไตยในดินแดนกัมพูชา ทำให้กองทัพกัมพูชาไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการใช้สิทธิปกป้องตนเอง ตามมาตรา 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ โดยกองทัพกัมพูชาจะยังคงมุ่งมั่นอย่างแน่วแน่ในการปกป้องอธิปไตย บูรณภาพในดินแดน และความปลอดภัยของประชาชน จากการกระทำที่ป่าเถื่อนและชั่วร้ายในการรุกรานของไทย
แถลงการณ์ดังกล่าวยังเน้นย้ำว่า ไทยได้ละเมิดข้อตกลงหลายฉบับ ทั้งข้อตกลงหยุดยิvที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 28 ก.ค., ปฏิญญาสันติภาพที่มีการลงนามในวันที่ 26 ต.ค., และข้อตกลงอื่น ๆ ที่มีมาก่อนหน้าจากการเจรจาทวิภาคีโดยคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (Overall Border Committee – GBC) และคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (Regional Border Committee – RBC) พร้อมไล่เรียงเหตุการณ์ปะทะในพื้นที่ภูมิภาคทหารที่ 4 กัมพูชาและภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชาดังนี้
- ภูมิภาคทหารที่ 5 ของกัมพูชา
ตั้งแต่เวลา 20.39 น. ของวันที่ 8 ธ.ค. จนกระทั่งเวลา 08.00 น. ของวันที่ 9 ธ.ค. กองทัพไทยได้ทำการยิvถล่มในพื้นที่บ้านโจกเจย และบ้านเปรยจัน อย่างหนัก นอกจากนี้ยังโดรนลาดตระเวนทางอากาศในพื้นที่บึงตระกวน และขยายพื้นที่ปฏิบัติการมาจนถึง อ.ถมอปวก (จ.บันเตียเมียนเจย) และเขตบึงปริง และ อ.ก็อมเรียง ใน จ.พระตะบอง โดยใช้อาวุธหนักทางทหารหลากหลายรูปแบบ รวมถึงการยิvแก๊ส พร้อมระบุว่าการกระหน่ำยิvของกองทัพไทยในพื้นที่ อ.ถมอปวก จ.บันเตียเมียนเจย ทำให้พลเรือนสองคน เสียชีวิต ขณะกำลังอพยพบริเวณถนนสาย 56
กระทรวงกลาโหมกัมพูชากล่าวอ้างด้วยว่า เมื่อเวลา 04.58 -05.25 น. กองทัพไทยได้ใช้โดรนลาดตระเวนทางอากาศ โดรนทิ้งsะเบิด และฉีดพ่นแก๊สพิษในพื้นที่พนมตรังโกล (Phnum Trangol) และเมื่อเวลา 05.30-06.10 น. กองทัพไทยเริ่มใช้กระสุนปืนใหญ่ขนาด 105 มม. ยิvใส่พื้นที่พลกดมเรีย (O' Phlok Domrei)
- ภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา
ตั้งแต่เวลา 04.45-08.00 น. ของวันนี้ (9 ธ.ค.) กองทัพไทยได้โจมตีพื้นที่เขตพนมกะโมจ (Phnom Khmoch) และขยายขอบเขตการโจมตีไปยังพื้นที่ต่าง ๆ อาทิ ช่องตาเฒ่า (Ta Thav), ปราสาทตาเมือน, ประสาทตาควาย, ปราสาทพระวิหาร, ปราสาทคนา, ช่องอานม้า ฯลฯ โดยใช้อาวุธหนักทางการทหารหลายประเภท เช่น รถถัง, ปืนใหญ่, กำลังทหารราบ, ไปจนถึงการยิvแก๊สพิษในหลายภูมิภาค
ด้านกระทรวงมหาดไทยของกัมพูชา ออกแถลงการณ์เมื่อเวลา 12.26 น. ระบุว่า การโจมตีของไทยรอบล่าสุด ทำให้มีการอพยพประชาชนใน อ.จอมกระสานต์ จ.พระวิหาร รวม 5,597 คน, นอกจากนี้ยังมีการอพยพคนจำนวน 11,060 คน ไปยังพื้นที่ปลอดภัยใน จ.อุดรมีชัย และอพยพ 4,562 คน ไปยังที่ปลอดภัยหรืออยู่กับครอบครัวในพื้นที่ จ.บันเตียเมียนเจย
กระทรวงมหาดไทยกัมพูชายังระบุด้วยว่า มีการปิดโรงเรียน 238 แห่ง จาก 260 แห่งใน จ.อุดรมีชัย เช่นเดียวกับโรงเรียนเกือบทั้งหมดในอำเภอติดชายแดนของ จ.พระวิหาร และ จ.บันเตียเมียนเจย ก็ถูกปิดชั่วคราวเช่นกัน และยังมีการอพยพนักโทษจากเรือนจำ จ.อุดรมีชัย จำนวน 1,066 คน ไปยังเรือนจำ จ.เสียมราฐแล้ว
ท่าทีนานาชาติ
นายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ระบุผ่านบัญชีเอ็กซ์ (X) แสดงความกังวลต่อการปะทะกันด้วยอาวุธครั้งใหม่ระหว่างกัมพูชาและไทย พร้อมเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจและหลีกเลี่ยงการขยายวงความขัดแย้ง กลับมายึดมั่นตามข้อตกลงหยุดยิvอีกครั้งและใช้ทุกกลไกเพื่อเจรจาหาทางออกข้อพิพาทที่ยั่งยืนด้วยสันติวิธี โดยสหประชาชาติพร้อมสนับสนุนความพยายามที่มุ่งส่งเสริมสันติภาพ เสถียรภาพ และการพัฒนาในภูมิภาค
กระทรวงการต่างประเทศและการค้าของออสเตรเลีย เผยแพร่แถลงการณ์ระบุว่า รัฐบาลออสเตรเลียมีความกังวลอย่างมากต่อความตึงเครียดที่ทวีความรุนแรงขึ้นตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย และการที่มีรายงานการบาดเจ็บล้มเสียชีวิตของพลเรือนและทหาร พร้อมเรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิvเมื่อ 28 ก.ค. ใช้ความยับยั้งชั่งใจอย่างถึงที่สุด และดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อลดความรุนแรงของสถานการณ์
รัฐบาลออสเตรเลียยังขอให้ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาปฏิบัติตามปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ สร้างความเชื่อใจและความเชื่อมั่นขึ้นมาใหม่ และแสวงหาการแก้ไขข้อพิพาทชายแดนอย่างสันติและยั่งยืน












