ไม่มีร่างรัฐธรรมนูญ แต่มี “คำถามที่ 1” ในประชามติ อนุทิน “คืนอำนาจประชาชน” หลังภูมิใจไทย-สว. โหวตคว่ำ ม. 256/28

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

แม้ลงมติถึง 2 ครั้ง แต่ กมธ.เสียงข้างมากนำโดยพรรคประชาชน ไม่อาจพลิกกลับมาเอาชนะได้ในการโหวตมาตรา 256/28 ในวาระที่ 2 ทำให้ สว. 1 ใน 3 ยังมีอำนาจในการเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญต่อไป

นายกฯ ประกาศ “ขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชน” หลังที่ประชุมรัฐสภามีมติ 329 ต่อ 302 ไม่เห็นด้วยกับการตัดอำนาจของ สว. 1 ใน 3 ในการให้ความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมี สส. พรรคภูมิใจไทย (ภท.) และ สว. ร่วมโหวตสนับสนุนการคงอำนาจของวุฒิสภาเอาไว้

นี่ถือเป็นการ “คว่ำ” หลักการสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาแล้วเสร็จ ซึ่งจะส่งผลต่อทั้งอนาคตของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ และอนาคตของ “รัฐบาลเสียงข้างน้อย” ภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรค ภท.

การลงมติมาตรา 256/28 ในวาระที่ 2 ต้องลงมติกัน 2 ครั้ง หลังผลการลงมติรอบแรก กมธ.เสียงข้างมากแพ้โหวตไปด้วยคะแนน 312 ต่อ 290 เสียง ท่ามกลางเสียงเฮที่ดังขึ้นในห้องประชุม ก่อนที่หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) จะเสนอให้นับคะแนนใหม่

ข้อบังคับการประชุมรัฐสภาเปิดช่องให้ลงคะแนนและนับคะแนนใหม่ได้ กรณีคะแนนห่างกันไม่ถึง 30 คะแนน แต่ต้องลงคะแนนโดยการขานชื่อสมาชิก จึงกินเวลาเกือบ 2 ชม. แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนมติของเสียงข้างมากได้

ในระหว่างการลงมติ นายอนุทินไม่อยู่ในห้องประชุม ขณะที่ลูกพรรคของเขานำโดยนายไชยชนก ชิดชอบ เลขาธิการพรรค ภท. ได้พลิกไปลงมติ “ไม่เห็นด้วย” กับแนวทางของ กมธ.เสียงข้างมาก

ก่อนการลงมติจะเกิดขึ้น นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ปชน. ประกาศว่าหากให้คงเสียง 1 ใน 3 ของ สว. ต่อไป “ไม่สามารถยอมรับให้ร่างรัฐธรรมนูญนี้เดินไปได้ ผมคงต้องร้องขอให้นายกฯ ยุบสภา”

ต่อมาในเวลา 22.05 น. นายอนุทินโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า “ผมขอคืนอำนาจกลับไปยังพี่น้องประชาชนครับ”

ที่มาของภาพ : FACEBOOK/Anutin Charnvirakul

นายกฯ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กของเขา

หัวหน้าพรรคสีส้มกับพรรคสีน้ำเงินได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วม (Memorandum of Agreement – MOA) ซึ่งมีเนื้อหา 5 ข้อ โดยเงื่อนไขสำคัญคือให้จัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และให้นายกรัฐมนตรียุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน โดยแลกกับเสียงโหวตสนับสนุนของ 143 สส. พรรคสีส้ม ให้นายอนุทินขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 32

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด

Stop of ได้รับความนิยมสูงสุด

นายกฯ อนุทินยืนยันหลายกรรมหลายวาระว่าจะยุบสภาภายใน 31 ม.ค. 2569 แต่ถ้าฝ่ายค้านยื่นอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 ก็พร้อมยุบสภาก่อน

เขาใช้คำว่า “คาดเข็มขัดนิรภัย” หลังถูกผู้สื่อข่าวถามเมื่อ 3 ธ.ค. ว่าวันที่ 12 ธ.ค. จะไม่เกิดอุบัติเหตุทางการเมืองใช่หรือไม่

“คำถามประชามติ” ที่เกิดขึ้นนาทีสุดท้ายก่อน “ยุบสภา”

พลันที่ข้อความในเฟซบุ๊กของนายอนุทินล่วงรู้ถึงหูของคนในรัฐสภา ซึ่งอยู่ระหว่างการประชุมเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ในวาระที่ 2 สส. พรรค ปชน. รีบเสนอให้เลื่อนวาระรัฐธรรมนูญออกไปก่อน และขอให้รัฐสภาพิจารณาให้ความเห็นชอบ “คำถามประชามติ ครั้งแรก” และแจ้งให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อดำเนินการให้มีการออกเสียงประชามติต่อไป

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา แจ้งว่า มีสมาชิกรัฐสภาเสนอญัตติทำนองเดียวกันรวม 5 ญัตติ ประกอบด้วย

  • ญัตติที่เสนอโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล พรรคภูมิใจไทย: “ท่านเห็นชอบให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับใหม่หรือไม่”
  • ญัตติของนายชูศักดิ์ ศิรินิล พรรคเพื่อไทย: “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
  • ญัตติของ พันตำรวจเอกทวี สอดส่อง พรรคประชาชาติ: “ท่านเห็นชอบหรือไม่ว่าสมควรมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”
  • ญัตติของนายพริษฐ์ วัชรสินธุ พรรคประชาชน: “ท่านเห็นชอบที่จะมีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่”
  • ญัตติของ นพ.เปรมศักดิ์ เพียรยุระ สว.: “ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่”

เนื่องจากการพิจารณามีเวลาจำกัดก่อนปิดสมัยประชุมวิสามัญ นายพริษฐ์จึงเสนอให้ส่งทั้ง 5 คำถามไปให้ ครม. โดยใช้แนวคำถามของนายชูศักดิ์เป็นหลัก โดย สส. ผู้เสนอญัตติบอกว่า “เป็นวันสุดท้าย และอาจเป็นญัตติสุดท้ายของพวกเขา”

ท้ายที่สุดที่ประชุมรัฐสภามีมติ 494 ต่อ 1 เสียง เห็นด้วยให้ส่ง “คำถามที่ 1” ไปให้ ครม. ดำเนินการต่อไป งดออกเสียง 9 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง

4 เหตุผล สว. ขอคงอำนาจ

เหตุพลิกผันทางการเมืองนี้เกิดขึ้นหลังจาก สว. กลุ่มใหญ่ซึ่งถูกเรียกขานว่า “สว. สีน้ำเงิน” ยืนยันให้คงอำนาจของ สว. “ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3” ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา ในการผ่านความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ภายหลังร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับ กมธ. เสียงข้างมาก ได้ตัดเงื่อนไขนี้ออกไป

มาตรา 256/28 (ฉบับ กมธ.เสียงข้างมาก) กำหนดให้มติเห็นชอบของรัฐสภา “ต้องได้เสียง ‘เกินกึ่งหนึ่ง' ของสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้ง 2 สภา” เท่านั้น

นั่นหมายความว่า การผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อาศัยเสียงสมาชิกรัฐสภา 351 คน จากทั้งหมด 700 คน (สส. 500 คน สว. 200 คน) โดยไม่มีเงื่อนไขต้องได้คะแนนเห็นชอบ “ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3” ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา หรือ 67 คน จากทั้งหมด 200 คน อีกต่อไป

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

2 สว. ที่เป็น กมธ.เสียงข้างน้อย พิสิษฐ์ กับ รัชนีกร ขอสงวนความเห็นให้คงอำนาจ สว. 1 ใน 3 ในการให้ความเห็นชอบของรัฐธรรมนูญ ขึ้นอภิปราย 11 ธ.ค.

นายพิสิษฐ์ อภิวัฒนาพงษ์ สว. และ กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผู้ขอสงวนความเห็นในประเด็นนี้ กล่าวยืนยันว่า การคงอำนาจ 1 ใน 3 ของ สว. ในการผ่านร่างรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่การหวงแหนอำนาจ สว. แต่เพื่อรักษาดุลยภาพแห่งอำนาจโครงสร้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และถือเป็น “หัวใจสำคัญของการแบ่งแยกอำนาจที่แตะต้องไม่ได้”

เขาให้เหตุผล 4 ประการสนับสนุนว่าทำไมยังต้องคงอำนาจของ สว. 1 ใน 3 เอาไว้

หนึ่ง เพื่อให้ สว. ทำหน้าที่เป็น “เบรกนิรภัยให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” การตัดเสียง สว. 1 ใน 3 ออกไปคือการปูทางสู่เผด็จการรัฐสภา เปิดช่องพวกมากลากไป แก้กติกาได้โดยไร้คนคันค้าน

นายพิสิษฐ์เปรียบเปรย สส. เป็นเสมือน “คันเร่ง” ตอบสนองประชาชนอย่างรวดเร็ว ขณะที่ สว. ทำหน้าที่เป็น “เบรก” หากตัดเสียง สว. ออก เท่ากับกำลังขับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์แรงจัด แต่ไร้ระบบเบรก ก็ต้องถามว่ามีใครกล้าขับรถยนต์ที่มีแต่คันเร่ง ไม่มีเบรกบ้าง

สอง เงื่อนไข 1 ใน 3 ไม่ใช่สิทธิพิเศษ แต่เป็นหลักประกันคุณภาพว่าการแก้ไขกติกาประเทศได้ผ่านการกลั่นกรองหลักวิชาการ ไม่ใช่ผ่านเพราะมติพรรคสั่ง

สาม เป็นไปตามทฤษฎีที่รัฐธรรมนูญต้องแก้ไขยาก และอย่าลืมว่ามีฉันทามติเสียงมหาชน 16 ล้านเสียงที่รับรองรัฐธรรมนญ 2560 ในการทำประชามติ การตัดอำนาจของ สว. ส่วนนี้ จึงเท่ากับเป็นการละเลยสิ่งที่ประชาชนเห็นชอบมา

สี่ ความชอบด้วยกฎหมายและผูกพันตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวางไว้ชัดเจนในคำวินิจฉัยที่ 4/2564 และ 18/2568 ตอกย้ำข้อความว่าต้องมี สว. เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ถึง 4 ครั้ง ทั้งนี้คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญย่อมมีผลผูกพันทุกองค์กร การร่างโดยขัดหรือแย้งเจตนารมณ์ที่ศาลวางหลักแบ่งแยกอำนาจไว้ อาจนำไปสู่ปัญหาความไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญในอนาคต และทำให้กระบวนการที่ทำมาทั้งหมดสูญเปล่า

สว. ส่งสัญญาณ “คว่ำ” วาระ 3

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

หลังจากนั้นมีเพื่อน สว. ลุกขึ้นอภิปรายสนับสนุนความเห็นของนายพิสิษฐ์อย่างน้อย 7 คน ส่วนใหญ่ให้เหตุผลว่าต้องยืนยันอำนาจของ สว. ในการถ่วงดุลสภา เพื่อไม่ให้เกิดการ “กินรวบ” หรือ “เผด็จการรัฐสภา” โดยพวกเขามิลืมทิ้ง “วรรคทอง” พร้อมกับ “คำขู่” ในคราวเดียวกัน

  • น.ส.ภิญญาพัชญ์ ศัสนียชีวิน: “การตัดกลไกการกลั่นกรองของ สว. ที่สำคัญออกไป อาจไม่สามารถผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาได้ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ในวาระที่ 3”
  • นายชินโชติ แสงสังข์: “1 ใน 3 ยังต้องมี ผมเป็นเด็กอยุธยา อ.บางไทร บ้านผมน้ำท่วมทุกปี ไม่ใช่แบบอุทกภัย มันมีหน้าน้ำ ผมพายเรือไปโรงเรียน ตอนผมเด็ก ๆ เรือลำหนึ่งนั่งได้ 4-5 คน ผมถูกรังแก ผมถูกเพื่อนในเรือรังแก ทำร้ายผม ผมไม่มีทางสู้ ผมเก็บความเจ็บใจตามประสาเด็ก ๆ ที่ไร้เดียงสา ผมเก็บความเจ็บปวดไว้ที่เพื่อนผมรังแกผมในเรือ อีก 15 วันต่อมา ผมจำเป็นต้องคว่ำเรือล้ำนั้นให้มันเปียกไปด้วยกัน… ท่านประธานครับ ระวังเรือจะล่มครับ”
  • นายประเทือง มนตรี: “ท่านไม่ต้องคิดมาก คิดว่าวาระ 3 ถ้าทำอย่างนี้ ท่านคิดว่าจะได้เสียงจาก สว. หรือไม่ ขอให้คิดไตร่ตรองดูให้ดี”

ส่วน สว. ที่ลุกขึ้นอภิปรายคัดค้านการคงอำนาจ 1 ใน 3 ของวุฒิสภา หนึ่งในนั้นคือ น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. “นอกกกลุ่มใหญ่” ที่มองว่าเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนชัดเจน อาจเรียกได้ว่า “ชงเอง กินเอง” และ “การมอบอำนาจให้ สว. ไม่ใช่การถ่วงดุล แต่เป็นการขโมยอำนาจไปให้กลุ่มก๊วนที่ฮั้วกันมาตามที่ทราบกันดี” ทั้งนี้ สส. 1 คนมาจากประชากร 1.5 แสนคน แต่ สว. ทั้งสภามาจากผู้สมัครเพียง 4.8 หมื่นคนที่มาเลือกกันเอง ซึ่งน้อยกว่าประชากรใน 1 เขตเลือกตั้งของ สส. ถ้าเทียบตามสัดส่วน เราน่าจะได้ สว. เพียงครึ่งคนเท่านั้น จึงอยากชวน สว. ให้ลงมติสนับสนุน กมธ.เสียงข้างมาก เพื่อกู้ภาพลักษณของวุฒิสภา

ก่อนหน้านี้ นายพิสิษฐ์ให้สัมภาษณ์.ว่า การตัดอำนาจ สว. ในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ เป็นเงื่อนไขที่ “ยอมไม่ได้”

รัฐธรรมนูญฉบับ 2560 จัดทำขึ้นในบรรยากาศหลังรัฐประหาร 2557 โดยผู้ยกร่างรัฐธรรมนูญได้ใส่ “เงื่อนไข” เอาไว้ ทำให้การแก้รัฐธรรมนูญแทบเป็นไปไม่ได้ โดยกำหนดให้การลงมติเห็นชอบกับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระที่ 1 (ขั้นรับหลักการ) และวาระที่ 3 (เห็นชอบทั้งฉบับ) ต้องมีเสียง สว. เห็นชอบด้วย ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดที่มีอยู่ของวุฒิสภา หรือต้องได้เสียงจาก สว. 67 คน จาก สว. ทั้งหมด 200 คน (ปัจจุบันต้องได้เสียง 66 คน จาก สว. ที่ปฏิบัติหน้าที่ได้ 198 คน)

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ กมธ.พิจารณาแล้วเสร็จ ในวาระ 2 ของรัฐสภา ต้องลงมติกันราว 50 ครั้ง เนื่องจากมีการแก้ไขเกือบทุกมาตราในชั้น กมธ.

หัวหน้าเท้ง: หาก ภท. โหวตฟื้นเสียง สว. “ผมคงต้องร้องขอให้นายกฯ ยุบสภา”

ก่อนการลงมติในมาตรา 256/28 จะเกิดขึ้น นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรค ภท. กล่าวว่า เป้าใหญ่ของพรรค ภท. “พูดแล้วทำ” เรารับปากเขาไว้ 3 ข้อคือ แก้รัฐธรรมนูญ, ทำประชามติ, ยุบสภา พรรค ภท. ยังยึดถือเพื่อรักษาคำมั่นเอาไว้ แต่เสียงของ สว. ที่ส่งถึงพวกเราวันนี้ คาดเดาไม่ยากเลยว่าอีก 15 วันจะเกิดอะไรขึ้น

กรรมการบริหารพรรค ภท. ตั้งคำถามว่า จะปล่อยให้อุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ความเห็นไม่ลงรอยกันประเด็นเดียว ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาสะดุดหยุดลงเพราะเรื่องเดียวหรือ จึงต้องลุกขึ้นมาเตือนสติสมาชิกก่อนการลงมติสำคัญ

“เราพูดแล้วทำ ถ้าพวกเราทำก็อยากให้สำเร็จ ไม่ใช่ทำเอาเท่ ๆ หล่อ ๆ แต่อยากให้เห็นอนาคตและเดินไปสู่การแก้รัฐธรรมนูญใหม่ได้จริง ๆ เราจึงต้องเลือกทางเดินนี้เพื่อนรักษาผลลัพธ์มากกว่าภาพลักษณ์ อาจเจ็บตัวบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง แต่ถ้าทำให้เป้าหมายเราสำเร็จ สิ่งที่เราอยากเห็นคือรัฐธรรมนูญใหม่ที่ทำได้จริง ในโลกควาทเป็นจริง ไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่อยู่ในความฝัน” แกนนำพรรค ภท. กล่าว

ต่อมานายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ลุกขึ้นอภิปรายตอบโต้นายกรวีร์ โดยระบุตอนหนึ่งว่า การที่พรรค ปชน. ทำข้อตกลงกับพรรค ภท. เพราะเชื่อว่าอาจโน้มน้าว สว. ให้เห็นชอบกับการแก้รัฐธรรมนูญได้ สิ่งที่จะลงมติมาตรา 256/28 เป็นจุดตัดสำคัญว่าพูดแล้วทำ พยายามเต็มที่ให้รัฐธรรมนูญเป็นจริงเชื่อได้หรือไม่

หัวหน้าพรรค ปชน. ประกาศว่า ไม่สามารถยอมรับได้หากการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ให้คงเสียง 1 ใน 3 ของ สว. ต่อไป หากพรรค ภท. โหวตกลับร่างของ กมธ.เสียงข้างมาก โดยให้เสียง สว. กลับมา “ผมไม่สามารถยอมรับให้ร่างรัฐธรรมนูญนี้เดินไปได้ ผมคงต้องร้องขอให้นายกฯ ยุบสภา”

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ จับกลุ่มคุยกับลูกพรรคของเขา

พิสิษฐ์ชิงถอนบทเฉพาะกาล ให้คง สว.-องค์กรอิสระ

นอกจากประเด็นอำนาจในการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญของของ สว. ที่ประชุมรัฐสภายังมีมติ 547 ต่อ 18 เห็นด้วยกับการ “ล็อก” เนื้อหาสำคัญ 9 ข้อในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

อย่างไรก็ตาม 2 สว. ซึ่งเป็น กมธ.เสียงข้างน้อย ได้ขอสงวนความเห็น โดยให้ “ล็อก” เนื้อหาอื่น ๆ เพิ่มเติม ในจำนวนนี้คือ ให้ สว. และองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ 2560 คงอยู่ต่อไปแม้มีรัฐธรรมนูญฉบับที่ 21 แต่เสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภาไม่เห็นชอบด้วย และยืนตามความเห็นของ กมธ.เสียงข้างมากที่ให้ล็อกกรอบเนื้อหา 9 ข้อเท่านั้น

นายพิสิษฐ์สงวนความเห็นไว้ 3 ประเด็นคือ 1. ให้ สว. ที่พ้นจากวาระแล้ว สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส. หรือเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้โดยไม่มีข้อจำกัดระยะเวลาหลังสมาชิกภาพสิ้นสุดลง 2. เขียนบทเฉพาะกาล รับรองสมาชิกสภาพของ สว. ให้ดำรงตำแหน่งจนครบวาระ 3. เขียนบทเฉพาะกาล รับรองวาระดำรงตำแหน่งขององค์กรอิสระ ให้ดำรงตำแหน่งจนครบวาระ (ขอเพิ่มมาตรา 256/26 (10) (11 ) (12))

แต่จู่ ๆ เขาได้ขอถอนคำสงวนความเห็นทั้งหมดกลางที่ประชุมรัฐสภา โดยให้เหตุผลว่า “ถูกทักท้วง” จาก สว.เสียงส่วนใหญ่หลังรายงานของ กมธ. ได้รับการเผยแพร่ต่อสาธารณะ และได้รับฟังเสียงประชาชน ตระหนักว่าอาจจะถูกตีความคลาดเคลื่อนจากเจตนารมณ์ที่ต้องการให้วุฒิสภาและองค์กรอิสระเป็นไปอย่างต่อเนื่อง อาจเกิดข้อกังขาว่าข้อเสนอนี้ทำเพื่อประโยชน์ของส่วนตัว หรือพยายามยืดอำนาจของ สว. ไว้

“เพื่อความสง่างามของรัฐสภา เพื่อขจัดข้อสงสัยทั้งปวงว่าเสียงส่วนใหญ่มีวาระซ่อนเร้นในการแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ และให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ดำเนินต่อไป ปราศจากข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน รวมถึงให้รัฐธรรมนูญมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ผมจึงขอถอนคำสงวนคำแปรญัตติในมาตราและอนุดังกล่าวออกทั้งหมด และไม่ติดใจใด ๆ” นายพิสิษฐ์อ่านข้อความที่ยกร่างมาจากไอแพดของเขา และขอให้บันทึกความเห็นของเขาตามนี้

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

วุฒิชาติ กัลยาณมิตร เลขานุการวิปวุฒิสภา พูดคุยกัย นายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ระหว่างการประชุมรัฐสภาเมื่อ 10 ธ.ค.

สิ่งที่ได้จากรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ “สว. แบบดิฉัน (รัชนีกร)”

ขณะที่ น.ส.รัชนีกร ทองทิพย์ สงวนความเห็น ให้คงไว้ซึ่งหมวด 15 มาตรา 256 (3) (6) (8) ของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยให้ 1. คงไว้ซึ่งที่มาของ สว. 2. คงไว้ซึ่งคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 3. คงไว้ซึ่งองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ รวมทั้งหน้าที่และอำนาจตามรัฐธรรมนูญ

น.ส.รัชนีกรบอกว่า 1 ชีวิตเป็น สว. ได้ครั้งเดียวตามรัฐธรรมนูญนี้ และ สว. ไม่ได้เป็นง่าย ๆ ที่มามีความซับซ้อน ต้องเลือกกัน 3 รอบ จากระดับอำเภอ จังหวัด สู่ประเทศ และแต่ละระดับต้องเลือก 2 รอบ (เลือกกันเองในกลุ่มอาชีพ และเลือกไขว้กลุ่มอาชีพ) “ความซับซ้อนในการเลือก ทำให้การจัดตั้งทำได้ยากมาก ทำให้ สว. ที่เข้ามามีความเป็นความอิสระ ไม่เป็นสภาสามีเมีย”

สว.หญิงรายนี้ประกาศกลางรัฐสภาหลายครั้งว่า ไม่เห็นด้วยกับการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับให้เปลืองงบประมาณชาติ โดยให้แก้ไขเป็นรายมาตราเท่านั้น

“รัฐธรรมนูญฉบับนี้ สิ่งที่ท่านได้ ท่านก็จะได้ สว. แบบดิฉัน ตามที่รัฐธรรมนูญ ออกแบบมา ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เป็นอิสระ ปราศจากการถูกครอบงำทางการเมือง สิ่งที่ สว. แบบดิฉันเป็น ทำตามหน้าที่ ความเชื่อ อุดมการณ์ ไม่มีดีลลับ ไม่ต้องมาต่อรอง” น.ส.รัชนีกรระบุ

ล็อก 9 เนื้อหาหลักที่ รธน. ใหม่ต้องมี

ด้านนายจาตุรนต์ ฉายแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) ในฐานะ กมธ.เสียงข้างมาก ชี้แจงว่า มีการพูดกันมากว่าหากร่างรัฐธรรมนูญผ่าน จะทำให้ สว. และกรรมการองค์กรอิสระที่ดำรงตำแหน่งขณะนั้น ต้องพ้นจากตำแหน่งทันที “เป็นความเข้าใจที่ผิด” เพราะไม่มีใครเขียนแบบนั้นได้

เขายืนยันว่า กมธ. ไม่สามารถเขียนบัญญัติว่าให้คงไว้ทั้งตัวองค์กรและหน้าที่อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เพราะรัฐธรรมนูญ 2560 ระบุว่าการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอำนาจหน้าที่ขององค์กรตามรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระสามารถทำได้ แต่ต้องทำประชามติ ดังนั้นถ้าจะเขียนรัฐธรรมนูญเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ให้ทำได้น้อยลงกว่าที่รัฐธรรมนูญปัจจุบันให้อำนาจไว้ แทนที่จะเป็นการทำรัฐธรรมนูญใหม่ที่แก้ปัญหาได้กว้างขวางขึ้น กลับถูกจำกัดให้ทำได้น้อยลง จึงขอยืนยันตามร่างของ กมธ.เสียงข้างมาก

สำหรับกรอบของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ต้องมีเนื้อหาสำคัญ 9 ข้อ ดังนี้

1. การรับรองความเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวจะแบ่งแยกมิได้

2. การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

3. การคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพ ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสวัสดิการขั้นพื้นฐานของประชาชน

4. การกำหนดสถาบันทางการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันทางการเมือง ให้ยึดโยงกับประชาชน

5. การวางกลไกที่มีประสิทธิภาพ การตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐในการป้องกัน และขจัดการทุจริตและประพฤติมิชอบ การใช้อำนาจโดยมิชอบ และผลประโยชน์ทับซ้อน

6. การจำกัดขอบเขตการใช้อํานาจรัฐและการใช้ดลุพินิจขององค์กรของรัฐ

7. การสร้างเสริมความเข้มแข็งของหลักนิติธรรมและหลัก ธรรมาภิบาล รวมถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค

8. การบริหารราชการแผ่นดินและการขับเคลื่อนนโยบาย รัฐที่ยืดหยุ่น คล่องตัว และตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงและความต้องการของประชาชน

8/1. การกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

9. การวางหลักเกณฑ์การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ในกรณีที่มีปัญหาว่าเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญ เสนอต่อรัฐสภา มีเนื้อหาสําคัญตามนี้หรือไม่ให้รัฐสภาเป็นผู้วินิจฉัย และให้คําวินิจฉัยของรัฐสภาเป็นที่สุด

ให้ยกหมวด 1-2 ไปใส่ไว้ใน รธน. ใหม่

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

เสียงส่วนใหญ่ของรัฐสภา 440 ต่อ 5 เสียง ยังเห็นด้วยกับการเพิ่มมาตรา 256/26/1 ซึ่งกำหนดให้นำบทบัญญัติหมวด 1 บททั่วไป และหมวด 2 พระมหากษัตริย์ ของรัฐธรรมนูญปัจจุบัน ไปใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่โดยไม่ให้มีการแก้ไข

แม้ก่อนหน้านั้น นายสหัสวัต คุ้มคง สส.ชลบุรี พรรคประชาชน (ปชน.) ในฐานะ กมธ.เสียงข้างน้อย เสนอให้ตัดเนื้อหาในมาตรานี้ทิ้ง เพราะผิดหลักนิติรัฐและหลักทางรัฐธรรมนูญ ประวัติศาสตร์ และทฤษฎี โดยร่ายเหตุผลประกอบ 5 ข้อ ได้แก่

  • ความชอบธรรมในการสถาปนารัฐธรรมนูญมาจากประชาชนโดยตรง ไม่ใช่การคัดลอกหรือตรึงถ้อยคำของรัฐธรรมนูญเดิม
  • ข้อกังวลเรื่องการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของรัฐ ถูกคุ้มกันไว้ในมาตรา 255 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน จึงไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มมาตรานี้ เพราะเป็นการกระทำซ้ำซ้อน
  • การล็อกถ้อยถือว่าคำขัดต่อหลักวิชาการรัฐธรรมนูญ
  • ประวัติศาสตร์ในรอบ 100 ปี พิสูจน์ว่าไม่เคยมีการล็อกเนื้อหาหมวด 1 และหมวด 2 โดยสิ้นเชิง แต่มีการแก้ไขได้ และไม่ใช่การล้มล้างระบอบการปกครอง
  • กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ออกแบบกันมาหลายชั้น มีเกราะป้องกันเพียงพอแล้ว

อย่างไรก็ตาม สส. พรรคสีส้มรายนี้ไม่อาจโน้มน้าวเพื่อนร่วมรัฐสภาได้

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

กมธ.พิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญหารือกัน โดยมี ชูศักดิ์ ศิรินิล มือกฎหมายเพื่อไทยนั่งอยู่กลางวงล้อม

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค พท. (ขวา) กับ วราวุธ ศิลปอาชา อดีตหัวหน้าพรรค ชทพ. ตั้งวงคุยกันกลางรัฐสภาเมื่อ 11 ธ.ค.

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ประธานวันนอร์