“ฮุน มาเนต” เผยกัมพูชาพร้อมสนับสนุนข้อเสนอมาเลเซียหยุดยิvชายแดนคืนนี้

ที่มาของภาพ : ทีมโฆษกกองทัพบก/ Fb

กองทัพบกของไทยระบุว่าฝ่ายกัมพูชาได้ยิvจรวด BM-21 ตกพื้นที่พลเรือนใน อ.กันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา

การปะทะระหว่างไทย – กัมพูชาตามแนวชายแดนยังดำเนินต่อไป ภายหลังผู้นำทั้งสองประเทศ คือนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ของไทย และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้สนทนากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกาเมื่อคืนวานนี้ (12 ธ.ค.) ตามเวลาไทย ซึ่งทรัมป์ระบุว่านายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศได้ตกลงหยุดยิv แต่ฝ่ายไทยยังไม่มีการยืนยันถึงข้อมูลนี้อย่างเป็นทางการ

ขณะที่นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา เสนอให้ผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย ใช้ทหารหรือหน่วยงานเข้าตรวจสอบเหตุการณ์ปะทะด้วยปืนเล็กเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ว่าฝ่ายใดคือฝ่ายเริ่มก่อน พร้อมบอกว่ากัมพูชาพร้อมให้ความร่วมมือในทุก ๆ ด้านในการตรวจสอบยืนยันเหตุการณ์

การแถลงข่าวของศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา เมื่อเวลา 10.00 น. ไม่ยืนยันว่าการหยุดยิvจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ขณะที่การสู้รบยังคงดำเนินต่อไป

ล่าสุดเพจทีมโฆษกกองทัพบกของไทยเปิดเผยว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ยิvจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ตกในพื้นที่พลเรือนใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทำให้มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บ 6 ราย ในจำนวนนั้นมีอาการสาหัส 2 ราย

ขณะที่นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ได้เรียกร้องให้ฝ่ายไทยและกัมพูชาใช้ความยับยังชั่งใจและกลับสู่การเจรจาผ่านทวิภาคีและกลไกอาเซียนและเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบทุกรูปแบบ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันนี้ (13 ธ.ค.) เวลา 22.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาโพสต์ข้อความทางสื่อสังคมออนไลน์แสดงความยินดีและสนับสนุนการริเริ่มดังกล่าวของนายอันวาร์

ด้าน รมต. ต่างประเทศของไทยเปิดเผยบทสนทนากับ รมต. ต่างประเทศสหรัฐฯ เมื่อถูกถามถึงการหยุดยิvว่า “การหยุดยิvโดยที่ไม่มีใครพร้อมเป็นการหยุดยิvที่ไม่ยั่งยืน”

รายละเอียดในการสนทนาเป็นอย่างไร

ที่มาของภาพ : Royal Thai Government

นายอนุทิน ชาญวีรกูล (ขวา) สนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เมื่อคืนวานนี้ (12 ธ.ค.) โดยมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว (ซ้าย) รมว.ต่างประเทศ ร่วมฟังการสนทนาด้วย

การสนทนาของผู้นำไทยและสหรัฐฯ มีขึ้นเมื่อเวลา 21.20 น. วานนี้ (12 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยนอกจากนายอนุทิน จะเป็นคู่สนทนาโดยตรงกับประธานาธิบดีทรัมป์ ยังมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกฯ และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกฯ ร่วมรับฟังการสนทนาด้วย

โดยภายหลังการหารือเสร็จสิ้น นายอนุทินได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ระบุว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีความเป็นห่วงในสถานการณ์และอยากจะให้ทุกอย่างกลับไปที่ปฏิญญา (Joint Declaration) ที่ได้ลงนามกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ของมาเลเซีย ซึ่งนายอนุทินยืนยันกับประธานาธิบดีทรัมป์ว่าไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขมาตลอด แต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดทำให้ฝ่ายไทยสูญเสียอวัยวะ ชีวิต และทรัพย์สิน ทำให้ไทยจำเป็นจะต้องตอบโต้เพื่อป้องกันอธิปไตย ดินแดน ทรัพย์สิน และชีวิตของประชาชนชาวไทย

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Finish of ได้รับความนิยมสูงสุด

นายอนุทินยังเปิดเผยด้วยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการให้มีการหยุดยิv ซึ่งเขาได้กล่าวกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า ‘ขอให้ไปบอกฝ่ายกัมพูชา' โดยทางกัมพูชาต้องออกมาบอกให้โลกรู้ว่ากัมพูชาจะหยุดยิv แล้วจะถอนกำลังออกไป รวมถึงเก็บกู้ทุ่นsะเบิดที่วางเอาไว้ออกไปให้หมด

นายกรัฐมนตรีในรัฐบาลรักษาการยังยืนยันถึงประเด็นภาษีศุลกากรว่าประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัญญาว่าจะให้ประเทศไทยได้รับอัตราภาษีที่ดีกว่าประเทศอื่น ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นฝ่ายถามถึงประเด็นนี้ขึ้นมาเองและไม่ได้มีท่าทีกดดัน หรือจะนำมาผูกกับประเด็นสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา

ที่มาของภาพ : Royal Thai Government

นายอนุทิน ชาญวีรกูล ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนภายหลังสนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีทรัมป์

ด้านประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุผ่านทรูธ โซเชียล ในเวลาต่อมาว่าการสนทนาระหว่างเขากับนายกรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชา เมื่อช่วงเช้าวานนี้ (12 ธ.ค. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ) เป็นไปด้วยดี โดยเขาได้แสดงความกังวลถึงการปะทะรอบใหม่ระหว่างสองประเทศ และนายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศก็ตกลงที่จะหยุดยิvโดยมีผลในช่วงเย็นวันนี้ และจะกลับเข้าสู่ข้อตกลงสันติภาพดั้งเดิมที่เคยทำกับเขาโดยการช่วยเหลือของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย

ทรัมป์ยังแสดงความเห็นในโพสต์ดังกล่าวด้วยว่า ทุ่นsะเบิดที่คร่าชีวิตและทำให้ทหารไทยบาดเจ็บหลายนายนั้นเป็นอุบัติเหตุ แต่ไทยกลับตอบโต้อย่างรุนแรง ซึ่งตอนนี้ทั้งสองประเทศwร้อมเข้าสู่สันติภาพและเดินหน้าเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ต่อ

ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเมื่อเวลา 9.31 น. ของวันนี้ (13 ธ.ค.) ระบุเป็นภาษาอังกฤษที่แปลได้ว่า “นั่นไม่ใช่อุบัติเหตุริมถนนแน่ ๆ ประเทศไทยจะยังคงเดินหน้าปฏิบัติการทางการทหารจนกว่าเราจะรู้สึกว่าจะไม่มีอันตรายหรือภัยคุกคามต่อดินแดนและประชาชนของเราอีกแล้ว ผมอยากจะทำให้มันชัดเจน การกระทำของเราในช่วงเช้าวันนี้ได้พูดแทนแล้ว”

ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทยเปิดเผยในการแถลงข่าวของศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ระบุว่าในการสนทนาระหว่างผู้นำไทย – สหรัฐฯ นายอนุทินได้ยืนยันกับประธานาธิบดีทรัมป์ว่าไทยต้องการสันติภาพ แต่ก็ต้องปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพของดินแดนตนเองเช่นกัน

“ขอเรียนว่าตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้านี้ก็เดินหน้าแล้วนะคะ ก็มีการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีความสำคัญ ขอยืนยันโดยสรุปว่าทั้งหมดจะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่เป็นสำคัญ” รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุในการแถลงข่าว

ด้าน พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะโฆษกศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ตอบคำถามกรณีประธานาธิบดีทรัมป์มองว่า การที่ทหารไทยเหยียบกับsะเบิดเป็นอุบัติเหตุนั้น เขามองว่าเป็น “การจงใจของฝ่ายกัมพูชาในการดำเนินการ”

“sะเบิดถือว่าเป็นอาวุธ ทุ่นsะเบิดไม่ได้เป็นของเล่นหรืออะไรที่สามารถสร้างอุบัติเหตุได้ มันเป็นการจงใจที่มีการวางทุ่นsะเบิดในพื้นที่ที่ทหารเราลาดตระเวน ทั้ง ๆ ที่ห้วงที่ผ่านมาเรามีการเคลียร์ทุ่นsะเบิดเรียบร้อยหมดแล้ว แต่ทำไมมันถึงกลับเข้ามาอีก นั่นแสดงถึงความจงใจที่จะทำร้ายต่อชีวิตแก่กำลังพลของเรา” เขาระบุ

ส่วนกรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์บอกว่าทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิvในช่วงเย็นวันนี้นั้น โฆษกกระทรวงกลาโหมระบุว่าเขา “ไม่สามารถยืนยันได้” เนื่องจากที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ทำตามคำพูดเลย พร้อมยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายริเริ่มสถานการณ์ ขณะที่ไทยทำเพื่อป้องกันอธิปไตย ดังนั้นจะมีการเจรจาในช่วงบ่ายนี้หรือไม่ “คงไม่มีฝ่ายใดจะเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์จนกว่าจะมีความชัดเจนแล้วก็มีความจริงใจจากฝ่ายกัมพูชา”

ที่มาของภาพ : Hun Manet/ Fb

นายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เปิดเผยว่าเขาได้เสนอให้ผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย ใช้ทหารหรือหน่วยงานของทั้งสองประเทศเข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์ปะทะด้วยปืนเล็กเมื่อวันที่ 7 ธ.ค.

ฟากนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ระบุว่าเขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับทั้งประธานาธิบดีทรัมป์และนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมของมาเลเซีย เพื่อหาทางหยุดยิvและกลับเข้าสู่การปฏิบัติตามปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ โดยฝ่ายกัมพูชาได้ยึดมั่นในแนวทางการระงับข้อพิพาทด้วยสันติมาโดยตลอดตามปฏิญญาดังกล่าว

นายกรัฐมนตรีกัมพูชายังบอกด้วยว่า เขาได้เสนอให้ผู้นำทั้งสองประเทศใช้ทหารหรือหน่วยงานของทั้งสหรัฐฯ และมาเลเซียเข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์ปะทะด้วยปืนเล็กเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสู้รบครั้งใหม่นี้ โดยอาจใช้ศักยภาพในการรวบรวมข้อมูลทั้งจากภาพถ่ายดาวเทียมและรูปภาพต่าง ๆ ที่มีการบันทึกไว้เพื่อยืนยันว่าฝ่ายใดคือผู้เริ่มยิvก่อน

“นี่อาจจะเป็นวิธีการที่ง่ายดายและโปร่งใสที่สุดที่จะตรวจสอบยืนยันเหตุการณ์ ซึ่งกัมพูชาพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในทุก ๆ ด้านหากมีความต้องการ” นายฮุน มาเนต ระบุ

สถานการณ์ชายแดนหลังการสนทนา

10.00 น. ของวันนี้ (13 ธ.ค.) ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ระบุว่าภายหลังจากที่นายกรัฐมนตรีสนทนากับประธานาธิบดีทรัมป์ ฝ่ายกัมพูชายังคงยิvอาวุธหนักใส่ดินแดนไทยในช่วงกลางดึกในหลายพื้นที่ ทั้งใน จ.ตราด, บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว และช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี

โดยกองทัพบกเปิดเผยถึงพื้นที่ตลอดแนวชายแดนที่ไทยสามารถควบคุมได้แล้ว อาทิ ช่องอานม้า (เนิน 677), ซำแต, ช่องจอม – ช่องระยี, ปราสาทคนา และบ้านหนองหญ้าแก้ว

โดยกองทัพบกประมาณการณ์สูญเสียของฝ่ายกัมพูชาที่ฝ่ายไทย “พิสูจน์ทราบได้ชัดเจน” ตั้งแต่เริ่มการปะทะเมื่อ 7 ธ.ค. มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตรวม 165 นาย โดยฝ่ายไทยได้ทำลายจรวด BM-21 จำนวน 1 ระบบ, ยานเกราะ/รถถัง 11 คัน, โดรน 68 ลำ, ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน 2 ระบบ, Anti-Drone 3 ระบบ, เสาสื่อสาร 3 จุด, จุดตรวจการณ์/ฐานทหาร รวม 5 แห่ง

ขณะที่กองทัพเรือเปิดเผยว่าได้ปฏิบัติการทำลายฐานที่มั่นของทหารกัมพูชาในพื้นที่เกาะยอ ใน จ.เกาะกง ของกัมพูชาแล้ว เนื่องจากจะเป็นภัยคุกคามต่อกำลังที่ปฏิบัติการในพื้นที่ โดยวันนี้จะมีการสำรวจความเสียหาย นอกจากนี้มีการขอสนับสนุนกำลังจากกองทัพอากาศทำลายสะพาน 2 แห่ง รวมถึงสะพานจัยจุมเนี้ยะ ซึ่งเป็นเส้นทางการลำเลียงยุทโธปกรณ์และกำลังกัมพูชาเข้ามาในพื้นที่ รวมถึงโจมตีคาสิโนทมอดาซึ่งเป็นที่ตั้งทางทหารของกัมพูชา

ต่อมาเวลา 12.01 น. ทีมโฆษกกองทัพบกเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กว่า กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ว่าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ยิvตกเข้ามาในพื้นที่พลเรือน บริเวณด้านหน้าบังเกอร์หลบภัย หมู่ที่ 1 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนที่กำลังวิ่งหลบภัยได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดsะเบิด 2 รายและมีการสาหัส ได้แก่

  • นายแก้ว กินนรา แขนขวาหัก
  • นายรำไพ สุวรรณศิลป์ ได้รับแรงกระแทกที่ศีรษะและมีเลืoดออกในสมอง

โดยกองทัพบกได้บูรณาการร่วมกับฝ่ายปกครองและสาธารณสุขในพื้นที่ เร่งนำผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ

นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย คือ นายคมสัน ศรีอ้วน โดนสะเก็ดsะเบิดบริเวณหลังคอ และนายเสรี ปัถอินทรี มีอาการบวมที่ศีรษะเนื่องจากโดนสะเก็ดsะเบิด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เร่งนำส่ง รพ.ศรีรัตนะ

“กองทัพบกขอประณามการกระทำของกำลังทหารกัมพูชาอย่างรุนแรง ต่อเวทีประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นหลักฐานชัดเจนถึงการใช้อาวุธโจมตีใส่พื้นที่พลเรือนซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารของกัมพูชา ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์” โพสต์ดังกล่าวระบุ

ต่อมาเวลา 16.00 น. พล.ร.ต.สุรสันต์ กล่าวในการแถลงข่าวศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า นอกจากตลอดทั้งวันยังคงมีการปะทะกันอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ เหตุการณ์ยิvโจมตีพื้นที่ชุมชนใน จังหวัดศรีสะเกษ ที่ทำให้บ้านเรือนเสียหายและประชาชนได้รับบาดเจ็บเพิ่มเป็นทั้งหมด 6 ราย

“อันนี้เป็นความชัดเจนนะครับว่าเป้าหมายของกัมพูชาไม่ใช่เป้าหมายทางการทหาร แต่เป็นเป้าหมายของพลเรือนผู้บริสุทธิ์นั่นเอง” โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าว

ทั้งนี้ เหตุปะทะกันในวันนี้ มีทหารเสียชีวิตเพิ่มขึ้น 4 นาย จากการปะทะกันบริเวณช่องอานม้า ทำให้ยอดรวมของการเสียชีวิตของกำลังพลเพิ่มขึ้นเป็น 15 นาย บาดเจ็บอีกกว่า 270 นาย ส่วนใหญ่เป็นการบาดเจ็บเล็กน้อย

สำหรับสถานการณ์ด้านการแพทย์และสาธารณสุข ณ วันที่ 13 ธ.ค. มีประชาชนเสียชีวิต 7 ราย โดยเป็นการเสียชีวิตระหว่างการเคลื่อนย้าย 4 ราย และเสียชีวิตในศูนย์พักพิงจำนวน 3 ราย จากผลกระทบทางอ้อมที่เกิดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขได้ปิดโรงพยาบาลในพื้นที่เสี่ยงเพิ่มขึ้นเป็น 20 แห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลทั้งหมด 212 แห่ง

ที่มาของภาพ : ทีมโฆษกกองทัพบก/ Fb

กองทัพบกระบุว่าแรงsะเบิดจากจรวด BM-21 ที่ตกใส่พื้นที่พลเรือนใน อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ส่งผลให้ชาวบ้านที่กำลังวิ่งหลบภัยได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย และบาดเจ็บทั่วไปอีก 2 ราย

ด้าน พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงข่าววันนี้ (13 ธ.ค. 68) เวลา 9.30 น. ระบุอ้างว่า ฝ่ายไทยยังคงบุกรุกเข้ามายังในเขตแดนของกัมพูชารวมทั้งใช้อาวุธหนักทุกประเภท เช่น เครื่องบินรบ 16 ลำ sะเบิดลูกปรายหรือคลัสเตอร์บอมบ์ รวมทั้งกำลังพลจำนวนมากมาปฏิบัติการในอาณาเขตของกัมพูชา ซึ่งนั้นเป็นการกระทำที่ชัดเจนว่า ขัดต่อกฎบัตรแห่งสหประชาชาติและอาเซียน รวมทั้งหลักการขั้นพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ

“การกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบและละเมิดกฎหมายดังกล่าว ไม่เพียงแต่เป็นภัยคุกคามสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาคนี้ แต่ยังเป็นผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยระหว่างประเทศ” พล.ท. หญิง มาลี กล่าว

โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชากล่าวอีกว่า กองกำลังทหารไทยเริ่มขยายขอบเขตการโจมตีและเปิดฉากยิvใส่กัมพูชา ในภูมิภาคทหารที่ 3 ตั้งแต่เวลา 02.00 น. ถึง 08.00 น. ของวันที่ 13 ธ.ค. โดยเวลา 02.00 น. กองทัพเรือไทยได้เปิดฉากยิvจากเรือรบโดยใช้ปืนใหญ่ 20 กระบอกไปยังพื้นที่จังหวัดเกาะกง

นอกจากนี้เธอยังกล่าวว่า ฝ่ายไทยได้โจมตีสถานที่สำคัญหลายแห่ง อาทิ โรงเรียน โรงแรม วัด ปราสาทโบราณ รวมถึงถนนและสะพานต่าง ๆ ด้วยในห้วงเวลาที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมในขณะนี้สถานการณ์ในพื้นที่อื่น ๆ ยังคงสงบ

พล.ท. หญิง มาลี อ่านแถลงการณ์ว่า หากฝ่ายไทยต้องการและมีเจตนาให้เกิดสันติภาพจริงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยคำพูด แต่ต้องเป็นการกระทำที่เป็นรูปธรรม กองทัพของไทยต้องยุติกระทำต่าง ๆ ที่เป็นการละเมิดกฎหมายทันที และถอนกำลังออกจากพื้นที่ของกัมพูชา พร้อมกับเรียกร้องให้ไทยยึดตามข้อตกลงสันติภาพและปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ที่ได้ลงนามไว้ในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา

ส่วนกรณีที่กองทัพไทยเผยแพร่ภาพประชาชนที่บาดเจ็บและบ้านเรือนที่พังเสียหายโดยระบุว่ามาจากการโจมตีด้วยจรวด BM-21 ของกัมพูชานั้น กระทรวงกลาโหมกัมพูชาโพสต์ในเวลาต่อมาโดยปฏิเสธข้อกล่าวหานี้ว่าเป็นข่าวปลอม

โดยกระทรวงกลาโหมกัมพูชายืนยันว่าการตอบโต้ของกระทรวงกลาโหมและกองทัพกัมพูชานั้นมุ่งเป้าเฉพาะเป้าหมายทางการทหารเท่านั้นและไม่เคยมุ่งเป้าพื้นที่พลเรือน พร้อมบอกว่าทางกัมพูชาได้ยึดมั่นปฏิบัติตามภาระผูกพันต่าง ๆ ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกฎหมายด้านมนุษยธรรมสากลอย่างแน่วแน่มาโดยตลอด

ข้อความของกระทรวงฯ ยังเรียกร้องให้สื่อไทยยุติการเผยแพร่สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเป็น “ข้อมูลอ่อนไหวที่เป็นเท็จซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อบิดเบือนความเข้าใจของสาธารณชน โดยเฉพาะกับประชาชนไทย รวมถึงสื่อในประเทศและสื่อต่างชาติ ซึ่งเป็นการกล่าวหากัมพูชา เพื่อที่จะขยายกรอบการรุกรานของพวกเขา”

“ฮุน เซน” ขอรัฐบาลกัมพูชาระงับการเดินทางคนไทย – กัมพูชาที่ตกค้าง “สีหศักดิ์” โต้ละเมิดหลักมนุษยธรรม

เวลา 14.14 น. สำนักข่าวขแมร์ไทมส์ รายงานว่าสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาและอดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้ร้องขอให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลกัมพูชาพิจารณาระงับการเดินทางข้ามพรมแดนไทย-กัมพูชา ทั้งหมดเป็นการชั่วคราว จนกว่าจะมีการหยุดยิv

ที่มาของภาพ : Samdech Hun Sen of Cambodia/ Fb

สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา ได้ร้องขอให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลกัมพูชาพิจารณาระงับการเดินทางข้ามพรมแดนไทย-กัมพูชา ทั้งหมดเป็นการชั่วคราว จากการรายงานของสำนักข่าวขแมร์ไทมส์

ด้านนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศของไทย ระบุถึงกรณีนี้ในการแถลงข่าวของกระทรวงการต่างประเทศเมื่อเวลา 15.00 น. โดยเขากล่าวแสดงความห่วงต่อคนไทยจำนวน 6,000 – 7,000 คน ที่ติดค้างอยู่ที่ปอยเปตในกัมพูชา พร้อมบอกว่าฝ่ายไทยได้ให้ชาวกัมพูชาที่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศกลับไปจนหมดแล้ว แต่กลายเป็นว่าฝั่งกัมพูชากลับไม่ยอมปล่อยให้คนไทยได้เดินทางกลับประเทศ ซึ่งถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (Global Humanitarian Laws) เพราะเป็นเรื่องที่กระทบกับพลเรือน

เขาเปิดเผยด้วยว่า ก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายได้เจรจากันแล้วว่าจะมีการเปิดด่านในเวลา 13.00 – 16.00 น. ของวันนี้ แต่ปรากฏว่าฝ่ายกัมพูชาได้ขอเลื่อนไปก่อน ซึ่งโพสต์ของสมเด็จฮุน เซน ก็ระบุว่ามีการระงับการเดินทางทั้งหมดข้ามเขตแดน ซึ่งเป็นการ “ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชน” และ “หลักมนุษยธรรม” ภายใต้กติการะหว่างประเทศหลายฉบับ

  • ผิดหวังท่าทีทรัมป์ ที่ไม่เข้าใจสถานการณ์จริง

รมว.ต่างประเทศของไทย ยังแสดงความผิดหวังกรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ โพสต์ข้อความระบุว่าการที่ฝ่ายไทยเหยียบทุ่นsะเบิดและได้รับบาดเจ็บสาหัสเป็นอุบัติเหตุ โดยมองว่าโพสต์ดังกล่าวของประธานาธิบดีสหรัฐฯ สะท้อนว่าเขาอาจยังไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริงหรืออาจได้รับข้อมูลที่คลาดเคลื่อน เพราะทุ่นsะเบิดดังกล่าวได้รับการยืนยันจากผู้สังเกตการณ์อาเซียนแล้วว่าเป็นทุ่นsะเบิดใหม่ พร้อมอ้างถึงการยิvจรวด BM-21 ตกในพื้นที่พลเรือนใน จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา สะท้อนว่าฝ่ายกัมพูชา “จงใจ” และ “ไม่ใช่อุบัติเหตุ” ซึ่งการตอบโต้ของฝ่ายไทยไม่ได้เกินกว่าเหตุและได้สัดส่วนของปฏิบัติการทางการทหารกับฝ่ายกัมพูชาแล้ว

“ประเทศไทยเป็นมิตรประเทศกับสหรัฐฯ เรารู้สึกผิดหวังที่ข้อความดังกล่าวกระทบต่อความรู้สึกของคนไทยและประเทศไทย ในฐานะที่เรามีความภูมิใจที่เราเป็นพันธมิตรทางสนธิสัญญาที่เก่าแก่ที่สุดของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ แถมยังเป็นพันธมิตรที่เรียกว่า non-NATO ally (พันธมิตรนอกกลุ่มนาโต)” นายสีหศักดิ์ ระบุ

  • ยืนยันบทสนทนา “อนุทิน – ทรัมป์” ไม่มีเรื่องหยุดยิv

ช่วงหนึ่งของการแถลงข่าว นายสีหศักดิ์ตอบคำถามกรณีประธานาธิบดีทรัมป์โพสต์ถึงเรื่องการหยุดยิv โดยเขายืนยันในฐานะที่ได้ร่วมฟังการสนทนาระหว่างนายอนุทินและประธานาธิบดีทรัมป์ ไม่ได้มีการพูดคุยเรื่องการหยุดยิv แต่ที่ประธานาธิบดีทรัมป์โพสต์ถึงเรื่องนี้ทั้งที่ไม่มีในการสนทนานั้น นายสีหศักดิ์ ระบุว่า “ก็คงเป็นความคาดหวังของประธานาธิบดีทรัมป์” ในฐานะที่ได้ทุ่มเทกับข้อตกลงที่กรุงกัวลาลัมเปอร์

อย่างไรก็ดี รมว.ต่างประเทศของไทยระบุว่า มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ระหว่างเขากับนายมาร์โค รูบิโอ รมว.ต่างประเทศ ของสหรัฐฯ ซึ่งเขาได้ยืนยันไปแล้วว่าการหยุดจริงไม่ได้สามารถเกิดขึ้นได้โดยทันที แต่ฝ่ายทหารต้องประเมินสถานการณ์ และต้องมีการพูดคุยระหว่างทหารของทั้งสองฝ่าย เนื่องจาก “การหยุดยิvโดยที่ไม่มีใครพร้อมเป็นการหยุดยิvที่ไม่ยั่งยืน”

“ต้องถามฝ่ายกัมพูชาว่าเขาพร้อมจะหยุดยิvหรือเปล่า” นายสีหศักดิ์ย้อนถาม “การหยุดยิvอยู่ดี ๆ มันไม่ได้เกิดขึ้นจากความปรารถนานะครับ มันต้องเกิดขึ้นจากความพร้อมของทุกฝ่าย และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช้านี้อันนั้นคือความพร้อมที่จะหยุดยิvหรือเปล่าครับ”

เขาตั้งคำถามก่อนจะกล่าวต่อว่า “เพราะฉะนั้นในบริบทอย่างนี้การหยุดยิvมันไม่มีความหมาย เราจะพูดเรื่องการหยุดยิvได้ยังไงในเมื่อฝ่ายกัมพูชาก็ยังไม่หยุดยิv แล้วก็เป็นเรื่องเดิม ๆ ตลอดเวลาที่ผ่านมาคือ วิธีการก็คือพูดอย่าง ทำอย่าง แล้วก็เบี่ยงเบนจากประเด็นที่เป็นปัญหาแท้จริง สร้างสถานการณ์ สร้างเรื่องราวเพื่อสร้างความได้เปรียบในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งไทยก็มีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจงตอบโต้”

  • ยันไทยพร้อมให้ตรวจสอบเหตุปะทะ แต่ขอให้ตรวจสอบปมทุ่นsะเบิดด้วย

ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ร้องขอให้มีการตรวจสอบเหตุการณ์เริ่มปะทะเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ด้วยวิธีการทางดาวเทียมนั้น นายสีหศักดิ์ ยืนยันว่าประเทศไทยไม่มีปัญหาและพร้อมให้ตรวจสอบ แต่ขอให้มีการตรวจสอบเรื่องทุ่นsะเบิดบริเวณชายแดนด้วย ซึ่งเขาได้เรียกร้องให้มีคณะตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ตั้งแต่ครั้งที่ไปประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวาที่เมืองเจนีวาแล้ว

มาเลเซียเรียกร้องสองฝ่ายหยุดยิv 22.00 น. คืนนี้ พร้อมส่ง AOT สังเกตการณ์

กลางดึกที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย ได้เรียกร้องให้ฝ่ายไทยและกัมพูชาใช้ความยับยังชั่งใจและกลับสู่การเจรจาผ่านทวิภาคีและกลไกอาเซียน พร้อมบอกว่าในฐานะที่เขาเป็นประธานอาเซียน มาเลเซียจะจัดการประชุม รมว.ต่างประเทศอาเซียนนัดพิเศษเร็ว ๆ นี้ เพื่อประเมินสถานการณ์และสนับสนุนมาตรการลดความรุนแรง โดยเขายังได้ขอบคุณสหรัฐฯ ที่เข้ามามีส่วนร่วมอย่างแข็งขันกับอาเซียนและให้ความไว้วางใจกับมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนด้วย

ก่อนที่เวลา 14.41 น. ของวันนี้ (13 ธ.ค.) เขาโพสต์ข้อความระบุว่า เขาได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับนายอนุทินและนายฮุน มาเนต โดยเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายยุติการสู้รบทุกรูปแบบรวมถึงยับยั้งไม่ให้มีการปฏิบัติการทางการทหารใด ๆ อีก รวมถึงการใช้กำลังพลหรือเคลื่อนกำลังพล ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันนี้ คือ 13 ธ.ค. เวลา 22.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น พร้อมบอกว่าเขาได้ร้องขอให้คณะสังเกตการณ์ของอาเซียน หรือ AOT เข้าสังเกตการณ์ในพื้นที่ด้วย โดยจะมีการใช้การสังเกตการณ์ผ่านดาวเทียมจากรัฐบาลสหรัฐฯ เข้ามาสนับสนุน โดยผลการสังเกตการณ์ทั้งจากภาคพื้นดินและจากดาวเทียมจะถูกรวบรวมโดย AOT และจะมีการนำเสนอต่อที่ประชุม รมว.ต่างประเทศอาเซียนในวันอังคารที่ 16 ธ.ค.นี้

ขณะที่ต่อมา นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา อ้างอิงถึงโพสต์ดังกล่าวโดยระบุว่า “กัมพูชายินดีและสนับสนุนการริเริ่มของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมของมาเลเซียที่จะให้มีการหยุดยิvในคืนนี้ ที่จะมีการสังเกตการณ์ผ่านคณะสังเกตการณ์อาเซียน (AOT) และมีความร่วมมือจากสหรัฐฯ”