วิเคราะห์ “ท่าทีแข็งกร้าว” ของไทยกับกลยุทธ์ “เล่นบทเหยื่อ” ของกัมพูชา ในสายตานานาชาติ

ที่มาของภาพ : Getty Photos

พิธีลงนามถ้อยแถลงร่วมระหว่างกัมพูชาและไทย ซึ่งมีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ และ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย อันวาร์ อิบราฮิม ร่วมเป็นสักขีพยาน เมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568
Article Knowledge
    • Author, ปณิศา เอมโอชา
    • Role, ผู้สื่อข่าว.

เหตุปะทะทางทหารรอบใหม่ล่าสุด บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. และต่างฝ่ายต่างกล่าวหาว่าฝั่งตรงข้ามเริ่มโจมตีก่อน ถือเป็นหนึ่งในความรุนแรงที่ตึงเครียดที่สุดนับตั้งแต่มีข้อตกลงหยุดยิvในเดือน ก.ค.

ทว่าสิ่งที่แตกต่างอย่างชัดในความขัดแย้งรอบนี้ เมื่อเทียบกับการปะทะระลอกอื่น ๆ ที่ผ่านมา คือจุดยืนของไทยที่ดูแข็งกร้าวขึ้นอย่างชัดเจน เน้นปกป้องอธิปไตยด้วยยุทธศาสตร์ทางการทหาร และ “ไม่พร้อมเจรจา” ในทุกองคาพยพ

ในทางตรงกันข้าม ดูเหมือนว่ากัมพูชาจะยังคงใช้กลยุทธ์คล้ายเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา นั่นคือกล่าวหาว่าไทยเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ส่วนกัมพูชาเพียงปกป้องตัวเอง พร้อมเรียกร้องให้นานาชาติเข้ามาทำหน้าที่ไกล่เกลี่ย รวมถึงย้ำว่ากัมพูชาพร้อมเจรจาแต่เป็นไทยที่ไม่ยอม

ที่มาของภาพ : อานันท์ ชนมหาตระกูล / Thai News Pix

เหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา สร้างผลกระทบต่อประชาชนที่อาศัยอยู่ตามพื้นที่ชายแดนอย่างมาก เด็กจำนวนมากถูกเคลื่อนย้ายเข้าสู่หลุมหลบภัยและศูนย์อพยพชั่วคราว

.พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งติดตามสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมวิเคราะห์ว่ากลยุทธ์ที่แต่ละประเทศใช้นั้นมีน้ำหนักและสร้างผลกระทบต่อแต่ละประเทศอย่างไรในสายตานานาชาติ และที่สำคัญคือเหตุการณ์จะดำเนินต่อไปอย่างไรหลังมีการยุบสภาในไทยเมื่อวันที่ 12 ธ.ค.

สำรวจท่าที่ฝั่งไทย: กัมพูชาเริ่มก่อน และไม่เจรจาถ้ากัมพูชาไม่ถอย

ท่าทีของนายกรัฐมนตรีไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล เริ่มแข็งกร้าวขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่วันที่ 10 พ.ย. หลังออกมาแถลงสั่ง “หยุด” ถ้อยแถลงร่วมไทย-กัมพูชา จากกรณีทหารไทยเหยียบทุ่นsะเบิดบริเวณห้วยตามาเรีย อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ โดยระบุว่าเหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่า “ความเป็นปฏิปักษ์ต่อความมั่นคงของชาติไม่ได้ลดลงอย่างที่คิด”

สถานการณ์กลับมาตึงเครียดอย่างมากอีกครั้งในวันที่ 7 ธ.ค. เมื่อกองทัพของไทยรายงานว่ากัมพูชาโจมตีพื้นที่ภูผาเหล็ก–พลาญหินแปดก้อน ทำให้มีทหารไทยบาดเจ็บและเสียชีวิต

ที่มาของภาพ : อานันท์ ชนมหาตระกูล / Thai News Pix

นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เมื่อ 8 ธ.ค 2568

วันที่ 8 ธ.ค. นายอนุทินออกแถลงการณ์ยืนยันว่าไทยไม่ต้องการความรุนแรง แต่จะไม่ยอมให้มีการละเมิดอธิปไตย และพร้อมใช้ปฏิบัติการทางทหารที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม ท่าทีที่สร้างแรงสั่นสะเทือนมากกว่าคือบทสัมภาษณ์หลังแถลงการณ์ ซึ่งเขาระบุชัดว่า “คงไม่เจรจาแล้ว” และหากจะหยุดการสู้รบ กัมพูชาต้องทำตามเงื่อนไขของไทย พร้อมกล่าวว่าถ้อยแถลงร่วมที่ลงนามกันในมาเลเซีย “ไม่มีแล้ว จำไม่ได้แล้ว”

เขายังย้ำว่าไม่จำเป็นต้องหารือกับผู้นำมาเลเซียหรือสหรัฐฯ และไม่กังวลต่อผลกระทบด้านการเจรจาภาษี โดยทิ้งท้ายว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องควรไปกดดัน “ฝ่ายที่รุกรานประเทศไทย” ให้หยุดการกระทำก่อน ไม่ใช่มาเรียกร้องให้ไทยอดทนต่อไปเพราะ “มันเลยเวลานั้นมาแล้ว”

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุด

Stop of ได้รับความนิยมสูงสุด

ท่าทีแข็งกร้าวดังกล่าวดำเนินควบคู่กับสถานการณ์ปะทะที่ลุกลามต่อเนื่อง ซึ่งนายอนุทินย้ำว่าให้อำนาจกองทัพเต็มที่ และปฏิบัติการทางทหาร “หยุดไม่ได้แล้ว”

ในขณะที่นายอนุทินย้ำจุดยืนเรื่องการไม่เจรจากับกัมพูชา โดยชี้ว่าเป็นกัมพูชาที่ละเมิดถ้อยแถลงร่วมก่อนนั้น ฝั่งกระทรวงการต่างประเทศของไทยก็รับลูกและดำเนินนโยบาย รวมไปถึงออกแถลงการณ์ที่สอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว เดินสายให้สัมภาษณ์กับสื่อต่างชาติอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 8-9 ธ.ค. ที่ผ่านมา พร้อมบอกกับบีบีซีว่า “ผมหวังว่ากัมพูชาจะตระหนักว่า สิ่งที่พวกเขาทำอยู่จนถึงตอนนี้ ไม่ได้เปิดพื้นที่ให้การทูตดำเนินไปได้เลย”

ข้าม Instagram โพสต์ ยินยอมรับเนื้อหาจาก Instagram

บทความนี้ประกอบด้วยเนื้อหาจาก Instagram เราขอความยินยอมจากคุณก่อนใช้คุกกี้ หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ บันทึกอะไรลงไป คุณอาจต้องอ่านนโยบายคุกกี้ของ Instagram และนโยบายความเป็นส่วนตัวของ Instagram ก่อนให้ความยินยอม หากต้องการอ่านเนื้อหานี้ โปรดเลือก “ยินยอมและไปต่อ”

สิ้นสุด Instagram โพสต์

ในบทสัมภาษณ์ที่นายสีหศักดิ์ให้กับสำนักข่าวอัลจาซีรา เขาสื่อสารเนื้อหาที่คล้ายคลึงกันออกมา โดยชี้ว่าไทยเปิดทางให้มีการไกล่เกลี่ยมาตลอด และวิถีทางทางการทูตก็เป็นสิ่งที่ไทยยึดมั่น แต่ “การทูตจะใช้ได้ผล เมื่อสถานการณ์เปิดพื้นที่ให้การทูตทำงานได้ ผมเสียใจที่ต้องบอกว่า ตอนนี้เรายังไม่มีพื้นที่นั้น”

ขณะเดียวกัน ฝั่งกองทัพของไทยก็แสดงจุดยืนชัดเจนเช่นกัน โดย พล.อ.ชัยพฤกษ์ ด้วงประพัฒน์ เสนาธิการทหารบก ระบุว่า เป้าหมายของปฏิบัติการคือทำให้กัมพูชา “สิ้นสภาพขีดความสามารถทางการทหารไปอีกยาวนาน” เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภัยคุกคามในอนาคต และไม่ให้สามารถใช้วิธีการเดิมล้ำเข้ามาในดินแดนไทยได้อีก

ท่าทีฝั่งกัมพูชา: ไทยเริ่มก่อน กัมพูชาอดกลั้น พร้อมเจรจา และเรียกหานานาชาติ

ที่มาของภาพ : Samdech Hun Sen of Cambodia by strategy of Facebook

วันที่ 9 ธ.ค. ฮุน เซน โพสต์บนบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเองว่า “หลังจากอดทนมานานกว่า 24 ชั่วโมงเพื่อเคารพข้อตกลงหยุดยิv และเพื่อให้มีเวลาอพยพประชาชนออกไปยังพื้นที่ปลอดภัย เมื่อคืนวาน เราจึงได้ตอบโต้”

ฝั่งกัมพูชาเริ่มออกแถลงการณ์ตั้งแต่วันที่ 7 ธ.ค. ผ่านกระทรวงกลาโหมของกัมพูชา ซึ่งระบุว่ากองกำลังฝั่งไทยเริ่มโจมตีเข้าใส่พื้นที่ของกัมพูชาก่อน ขณะที่กองกำลังกัมพูชานั้น “ไม่ได้ตอบโต้ใด ๆ ทั้งสิ้น” แถลงการณ์ฉบับนี้ของกัมพูชายังย้ำในช่วงท้ายว่า รัฐบาลกัมพูชายึดในหลักของข้อตกลงหยุดยิvในเดือน ก.ค. รวมไปถึงถ้อยแถลงร่วมที่ลงนามร่วมกันเมื่อวันที่ 28 ต.ค. เสมอ และ “กัมพูชายึดมั่นในการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธีตามกฎหมายระหว่างประเทศ”

ต่อมา วันที่ 8 ธ.ค. สมเด็จฮุน เซน ได้ออกมาโพสต์บนบัญชีเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่าขอให้กองกำลังแนวหน้าแสดง “ความอดทนอดกลั้น” ขณะที่ “ผู้รุกราน” ได้ใช้อาวุธเพื่อโจมตีกัมพูชาและยั่วยุให้โต้ตอบ ซึ่งนับเป็นการฉีกถ้อยแถลงร่วมของทั้งสองชาติ

ในแถลงการณ์ต่อ ๆ มาของกัมพูชา ทั้งท่าทีและวาทกรรมที่ใช้ล้วนเป็นไปในทิศทางว่ากัมพูชายืนอยู่บนหลักการของข้อตกลงหยุดยิv รวมไปถึงถ้อยแถลงร่วมมาเสมอ ตัวอย่างถ้อยคำในแถลงการณ์ที่กัมพูชามักเลือกใช้ก็เช่น “แทนที่จะใช้การรุกรานหรือการใช้กำลัง กัมพูชายึดมั่นอย่างแน่วแน่ในการแก้ไขข้อพิพาทด้วยสันติวิธี”

รัฐบาลกัมพูชาทั้งองคาพยพปฏิเสธมาตลอดว่าไม่เคยตอบโต้กลับไทย จนกระทั่งในช่วงเช้าของวันที่ 9 ธ.ค. ซึ่งฮุน เซน โพสต์บนบัญชีเฟซบุ๊กของตัวเองว่า “หลังจากอดทนมานานกว่า 24 ชั่วโมงเพื่อเคารพข้อตกลงหยุดยิv และเพื่อให้มีเวลาอพยพประชาชนออกไปยังพื้นที่ปลอดภัย เมื่อคืนวาน เราจึงได้ตอบโต้”

ที่มาของภาพ : Wasawat Lukharang/ BBC Thai

นายสัวส์ ยารา โฆษกพรรคประชาชนกัมพูชาและที่ปรึกษาสมเด็จ ฮุน เซน ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ.

ในการให้สัมภาษณ์พิเศษกับ. นายสัวส์ ยารา โฆษกพรรคประชาชนกัมพูชาและที่ปรึกษาสมเด็จ ฮุน เซน กล่าวว่า ในมุมของกัมพูชา ช่องทางการทูตยังคงเปิดอยู่ โดยย้ำว่ากัมพูชายึดมั่นหลักกฎหมายระหว่างประเทศและข้อตกลงที่มีอยู่ แม้กฎหมายระหว่างประเทศจะมีข้อจำกัด แต่ก็ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้ พร้อมระบุว่าทั้งสองประเทศควรกลับไปยึดตามกฎบัตรสหประชาชาติ อนุสัญญา และข้อตกลงล่าสุดที่มีประธานอาเซียน ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และบทบาทเชิงสร้างสรรค์ของจีนเป็นพยาน

เมื่อถูกถามถึงจุดยืนของไทยที่มองว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายละเมิดถ้อยแถลงร่วมจากกรณีทุ่นsะเบิด นายสัวส์ตอบว่า ประเด็นทุ่นsะเบิดไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างในการปะทะ เพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในกรอบคณะทำงานร่วมตามถ้อยแถลงกัวลาลัมเปอร์ และไม่ควรนำมาเชื่อมโยงกับการปะทะกันด้วยอาวุธบริเวณชายแดน โดยชี้ว่า “ทุ่นsะเบิดไม่สามารถเคลื่อนที่เองได้ มีแต่คนเท่านั้นที่เดินได้”

เขาเสนอให้ทั้งสองฝ่ายลดความตึงเครียดและหันกลับสู่ความร่วมมือทวิภาคี พร้อมย้ำว่ากองทัพควรถอยออกจากประเด็นทางเทคนิคและทำหน้าที่เพียงสังเกตการณ์ โดยกล่าวว่า “การทูตทำงานได้ดีที่สุดเมื่อไม่มีเขี้ยวเล็บ และประเทศเพื่อนบ้านไม่ควรถูกครอบงำด้วยเกมการเมืองภายในของอีกฝ่าย”

จุดยืนของไทยและกัมพูชา ในสายตานานาชาติ

ที่มาของภาพ : Getty Photos

โธมัส เพปินสกี ศาสตราจารย์ด้านรัฐบาลและนโยบายสาธารณะแห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนล และนักวิชาการอาวุโสประจำ แห่งสถาบันคลังสมองบรูคกิงส์ (Brookings) ในสหรัฐฯ บอกกับ.ว่า ประเด็นที่เขาคิดว่าสำคัญที่สุดสำหรับชาวไทยและชาวกัมพูชาในการเข้าใจจุดยืนของแต่ละประเทศในสายตานานาชาติคือ นี่ไม่ใช่เหตุปะทะที่ “ใหญ่” สำหรับชาวต่างชาติ

“ผู้ชมต่างชาติไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับอะไร เว้นแต่ในความหมายพื้น ๆ ว่าเป็นเรื่องพรมแดนเท่านั้น และผมไม่คิดว่าผู้ชมต่างชาติที่อยู่นอกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสนใจผลลัพธ์เฉพาะหน้าแคบ ๆ แบบนี้มากนัก ไม่ว่าจะเป็นว่า ‘ปราสาทนี้อยู่ฝั่งไหน' หรือ ‘ปราสาทนั้นอยู่ฝั่งไหน' หรือว่า ‘ทหารยึดเนินนี้ได้หรือเนินนั้นได้' เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นใหญ่สำหรับผู้ชมต่างชาติเลย”

อย่างไรก็ดี เขาย้ำว่ามิตินี้ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่เกิดขึ้นและผู้คนที่ได้รับผลกระทบนั้นไม่เสียหาย หรือความเสียหายนั้นควรถูกด้อยค่าแต่อย่างใด

.ถามเขาต่อว่า จุดยืนที่ดูแข็งกร้าวทางการทูตในครั้งนี้จะเป็นปัญหาต่อไทยหรือไม่ ท่ามกลางแรงกดดันและแถลงการณ์เรียกร้องให้หยุดยิvและหันหน้าสู่โต๊ะเจรจาจากหลายประเทศ ศ.เพปินสกี ตอบว่า แรงกดดันหรือเสียงเรียกร้องเหล่านี้แทบไม่มีผลจริง “และผมคิดว่ามันแถลงการณ์เรียกร้องให้หยุดยิvจะถูกลืมโดยทันที”

เขายกตัวอย่างว่า ออสเตรเลีย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลต่อการปะทะ และเรียกร้องให้ทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิv “จะไม่ยอมเสี่ยงทำให้ความสัมพันธ์ทางการทูต หรือความสัมพันธ์ทางการค้าที่สำคัญกับไทยต้องสั่นคลอนเพราะเรื่องนี้ ตราบใดที่ความรุนแรงยังถูกจำกัดอยู่ในระดับเท่าที่เห็นตอนนี้”

ที่มาของภาพ : Getty Photos

“ผู้ชมต่างชาติไม่เข้าใจเลยว่าเรื่องนี้มันเกี่ยวกับอะไร เว้นแต่ในความหมายพื้น ๆ ว่าเป็นเรื่องพรมแดนเท่านั้น และผมไม่คิดว่าผู้ชมต่างชาติที่อยู่นอกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะสนใจผลลัพธ์เฉพาะหน้าแคบ ๆ แบบนี้มากนัก”

ด้าน โจชัว เคิร์ลแอนซิก นักวิชาการอาวุโสด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ แห่งสภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (Council on Foreign Relatives) เสริมว่า สถานการณ์ทางการทูตของไทยอ่อนแอลงมาจากในอดีตมากแล้ว ซึ่งสาเหตุมาจากความไม่มั่นคงทางการเมืองที่ยืดเยื้อมาหลายทศวรรษ ทว่าการดำเนินนโยบายทางการทูตที่เข้มข้นในครั้งนี้ต่อประเด็นความขัดแย้งกับกัมพูชา ขณะที่ยืนอยู่บนข้อเท็จจริงที่ว่าไทยเป็นประเทศที่ใหญ่กว่าและมีศักยภาพมากกว่ากัมพูชา ในสายตาของนานาชาติขึ้นอยู่กับว่าเรื่องนี้ถูกนำเสนออย่างไร และขึ้นอยู่กับปัจจัยอีกหลายอย่าง

“กัมพูชานั้นเป็นรัฐเผด็จการอย่างชัดเจน ส่วนไทยเป็นประชาธิปไตยที่มีข้อบกพร่อง (wrong democracy) มุมมองระยะยาวต่อประเทศไทยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องนี้เพียงอย่างเดียว หากไทยจัดการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมในครั้งต่อไป และเคารพผลการเลือกตั้ง รวมถึงกองทัพเองก็ต้องเคารพผลนั้นด้วย สิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยให้ประเทศไทยถูกมองในทางที่ดีกว่าบนเวทีโลก เมื่อเทียบกับกัมพูชาที่โดยพื้นฐานแล้วเป็นรัฐเผด็จการที่บริหารโดยตระกูลฮุน” นายเคิร์ลแอนซิก กล่าว

เขาเสริมว่า จริงอยู่ที่กลยุทธ์นี้ “อาจทำให้กัมพูชาดูได้รับความเห็นใจมากขึ้นก็ได้ แต่คุณไม่สามารถพยายามส่งสารบางอย่างออกไป แล้วในขณะเดียวกันก็กังวลเกินไปว่า สิ่งนั้นจะทำให้คุณดูเหมือนไม่เห็นใจฝ่ายตรงข้าม”

ที่มาของภาพ : Getty Photos

“กัมพูชานั้นเป็นรัฐเผด็จการอย่างชัดเจน ส่วนไทยเป็นประชาธิปไตยที่มีข้อบกพร่อง” โจชัว เคิร์ลแอนซิก นักวิชาการอาวุโสด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุ

ศ.เพปินสกี เสริมว่า สำหรับชาวต่างชาติ พวกเขาไม่ได้เลือกข้างชัดเจนว่าสนับสนุนฝั่งไทยหรือกัมพูชาในความขัดแย้งครั้งนี้ หากเทียบกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน หรืออิสราเอล-ปาเลสไตน์

“พวกเขาไม่ได้มีจุดยืนว่าใครเป็นฝ่ายรุกรานหรือใครเป็นฝ่ายถูกกระทำ… ถ้าจะมีความรู้สึกใด ๆ ต่อกัมพูชา ก็อาจเป็นความสงสารต่อเหตุฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์สมัยพอล พต ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้เลย และมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้ว”

สำหรับคำถามเกี่ยวกับเหตุปะทะครั้งใหม่นี้ ที่ทำให้ถ้อยแถลงร่วมที่เกิดขึ้น ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ซึ่งมีประธานาธิบดีทรัมป์ร่วมเป็นสักขีพยานคนสำคัญล้มเหลวลง ผู้เชี่ยวชาญด้านการเมืองและความสำคัญระหว่างประเทศมองไปในทิศทางคล้าย ๆ กันว่า สหรัฐฯ คงไม่ได้เข้ามาแก้ปัญหาอย่างเต็มที่สักเท่าไหร่

“ในระดับโลก เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นใหญ่สำหรับชาติตะวันตกเลย” ศ.เพปินสกี ย้ำอีกครั้ง ก่อนกล่าวต่อไปว่า “สหรัฐฯ สูญเสียความสามารถที่จะทำอะไรที่เป็นรูปธรรมกับเรื่องนี้ไปแล้ว กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ปลดผู้เชี่ยวชาญเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปหลายคน ที่ยังเหลือก็มีแต่รูบิโอ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ซึ่งก็ยุ่งและวุ่นกับเรื่องอื่นอยู่ ส่วนทรัมป์เองก็ไม่เข้าใจสถานการณ์อะไรแบบนี้เลย… แม้แต่จีนก็อาจจะไม่ให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากนัก เว้นเสียแต่ว่ามันจะไปกระทบโครงการใหญ่ ๆ ของจีนจริง ๆ ซึ่งก็อาจเป็นไปได้ แต่ผมไม่เห็นว่ามีแนวโน้มสูงเท่าไหร่”

ที่มาของภาพ : Getty Photos

“เขาทรัมป์มักจะเลือกเข้าไปยุ่งในเรื่องที่สามารถคุยกันไม่นานแล้วสร้าง ‘ดีล' หรือชัยชนะบางอย่างได้ทันที ซึ่งกรณีนี้ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น”

ขณะที่นายเคิร์ลแอนซิก ชี้ว่าอาจมีการแทรกแซงจากระดับกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ ได้ ขณะที่การเข้ามาของทรัมป์นั้น เขา “ไม่คิดว่าทรัมป์จะลงมายุ่งโดยตรง เพราะทรัมป์มีเรื่องต้องจัดการเยอะมาก ทั้งปัญหาเศรษฐกิจและความท้าทายในพรรคของเขาเอง ผมไม่แน่ใจด้วยว่าเขามีแนวโน้มจะทำ เพราะเขามักจะเลือกเข้าไปยุ่งในเรื่องที่สามารถคุยกันไม่นานแล้วสร้าง ‘ดีล' หรือชัยชนะบางอย่างได้ทันที ซึ่งกรณีนี้ไม่น่าจะเป็นแบบนั้น”

นักวิชาการอาวุโสด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสริมว่า การแทรกแซงเพื่อเปิดพื้นที่สำหรับการเจรจาอาจมาจากจีนหรืออาเซียนผ่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย นายอันวาร์ อิบราฮิม ได้ กรณีแรกเป็นเพราะจีนมีอิทธิพลเหนือกัมพูชามหาศาล “ในระดับที่แทบจะเรียกได้ว่ากัมพูชาเป็นรัฐลูกค้าของจีน” ทว่าจีนมีอิทธิพลเหนือไทยน้อยกว่ามาก ขณะที่นายกฯ อันวาร์ เป็นบุคคลที่ทั้งสองฝ่ายให้ความเคารพ จึงอาจมีจังหวะที่เข้ามาแทรกแซงได้และอาจได้ผล “แต่ผมคิดว่ากองทัพไทยส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะเดินหน้าต่อไปอีกสักพัก และอาจค่อยคุยกันทีหลัง แต่ผมไม่คิดว่ามันจะจบวันพรุ่งนี้แน่นอน”

ตัวแปร “กองทัพไทย” ในสมการความขัดแย้ง

ที่มาของภาพ : กรมประชาสัมพันธ์

“ผมไม่คิดว่านายกรัฐมนตรีไทยคนใดจะมีอำนาจควบคุมกองทัพได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ… อนุทินมีอำนาจน้อยกว่าผู้บัญชาการทหารของไทย” นายเคอร์แลนต์ซิก กล่าว

ระหว่างการสัมภาษณ์ประเด็นทางการทูตระหว่าง.กับผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคน เราพบว่าบทสนทนามักวนกลับมาที่มิติเกี่ยวกับกองทัพของไทยอยู่เสมอ

ศ.เพปินสกี กล่าวว่า เขามองว่ากลยุทธ์ทางการทูตใด ๆ ของไทยจะได้รับอิทธิพลจากความสามารถของกองทัพของไทย ซึ่งเหนือชั้นกว่ากัมพูชาอย่างชัดเจน “ผมคาดว่า การตีความยุทธศาสตร์ของไทยในเวลานี้ ซึ่งจากมุมมองของฝ่ายไทยก็น่าจะเป็นยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง คือการแสดงให้กัมพูชาเห็นว่า การเดินหน้าทำสงครามต่อไปจะมีต้นทุนสูงมาก และผมคิดว่านั่นเป็นเรื่องจริง มันจะมีต้นทุนสูงมาก แนวคิดก็คือการยุติความขัดแย้งนี้ ด้วยการทำให้กัมพูชาเห็นอย่างชัดเจนว่า การเคลื่อนกำลังทหารหรือการยิvสนับสนุนใด ๆ จะถูกตอบโต้ทันที กล่าวคือจุดวางกำลังของทหารจะตกเป็นเป้าหมายโจมตี”

ด้านนายเคิร์ลแอนซิกชี้ว่า สำหรับ นายสีหศักดิ์ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทย ก็ถือว่าทำหน้าที่ได้ดี “แต่ผมก็คิดว่า หากไทยไม่ได้สนใจจะเจรจาจริง ๆ และกำลังพยายามส่งสารบางอย่างออกไป ก็แทบจะไม่มีอะไรที่รัฐมนตรีต่างประเทศจะทำได้มากไปกว่านี้ นอกจากการย้ำซ้ำ ๆ ว่าการดำเนินการเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะกัมพูชาทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ และไทยอาจโกรธจริง ๆ ต่อกรณีที่กัมพูชายังคงวางทุ่นsะเบิด ซึ่งผมก็เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็ยากมากที่จะเรียกความเห็นใจจากนานาชาติได้มากนัก เมื่อทุกคนรู้ดีว่าไทยมีแสนยานุภาพทางทหารเหนือกว่ากัมพูชาอย่างมาก”

ที่มาของภาพ : Getty Photos

.ถามนายเคอร์แลนต์ซิกต่อไปว่า เช่นนั้นแล้วสารที่ต้องการจะสื่อและเป้าหมายของกองทัพไทยต่อปฏิบัติการณ์ชายแดนครั้งนี้คืออะไรกันแน่ นักวิชาการอาวุโสผู้เคยอาศัยอยู่ในไทยคนนี้ชี้ว่า ก็เป็นได้ที่กองทัพไทยจะเจ็บปวดและโกรธเกรี้ยวจากเหตุการวางทุ่นsะเบิดจริง “และต้องการส่งสัญญาณไปยังกัมพูชาให้ชัดเจนเป็นครั้งสุดท้าย… ดังนั้นพวกเขาอาจเชื่อว่า จำเป็นต้องทำให้กองทัพของกัมพูชาเสียศักยภาพลงอย่างแท้จริง”

เขายังเสริมว่ากองทัพของไทยเองน่าจะมีเป้าหมายเรื่องการปลุกกระแสชาตินิยมและหวังว่ากระแสนั้นจะทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งหันไปลงคะแนนให้พรรคภูมิใจไทย หรือพรรคการเมืองอื่น ๆ ที่เอื้อประโยชน์ต่อกองทัพมากกว่า

“ผมคิดว่าสิ่งที่กองทัพและชนชั้นนำบางกลุ่มหวาดกลัวมากที่สุด คือชัยชนะอย่างถล่มทลายของพรรคประชาชน ซึ่งจะทำให้ยากต่อการใช้ศาลรัฐธรรมนูญหรือกลไกทางตุลาการอื่น ๆ ในการตัดอำนาจ ด้วยการตัดสิทธิหรือกำจัด สส. ของพรรคประชาชนออกไปมากพอจนพรรคไร้พลัง และหากสถานการณ์เป็นเช่นนั้น ก็อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริงในประเทศไทย”

ที่มาของภาพ : ก้องภพ แจ่มศรี / Thai News Pix

เราถามเขาต่อว่า เพราะเหตุผลนี้หรือไม่จึงทำให้ท่าทีของนายอนุทินในช่วงที่ผ่านมา ยอมให้กองทัพขึ้นมานำทั้งหมด ซึ่งเขาตอบเราว่า เขาคงตอบสิ่งที่อยู่ในใจของนายอนุทินไม่ได้ แต่สามารถวิเคราะห์ได้ว่านายอนุทิน “รอทั้งชีวิตเพื่อจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี และเขาก็อยากเป็นมาตลอด” ซึ่งเขาก็หวังว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าเขาจะได้รับที่นั่งมากพอให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลผสม และกลับไปเป็นนายกฯ อีกครั้ง ซึ่งกระแสแช็ตินิยมอาจช่วยเขาได้

ขณะที่มิติเรื่องการโอนอ่อนตามกองทัพนั้น เขาตอบว่า นับตั้งแต่ปี 2541 ที่เขาย้ายมาอยู่ไทย “นายกรัฐมนตรีพลเรือนเพียงคนเดียวที่ผมเคยเห็นว่าพยายามใช้อำนาจควบคุมกองทัพอย่างจริงจัง คือ ทักษิณ ชินวัตร แน่นอนว่าเราสามารถถกเถียงกันได้หลายอย่างเกี่ยวกับทักษิณ แต่ความพยายามนั้นก็ไม่ได้จบลงอย่างสวยงามนัก และก็ไม่ได้เป็นที่ยอมรับของกองทัพไทย… ผมไม่คิดว่านายกรัฐมนตรีไทยคนใดจะมีอำนาจควบคุมกองทัพได้อย่างมีประสิทธิภาพจริง ๆ”

“อนุทินมีอำนาจน้อยกว่าผู้บัญชาการทหารของไทย” เขาระบุเพิ่มเติม