
สธ.ออกประกาศควบคุม ‘ช่อดอกกัญชา' ใช้เพื่อรักษา 5 กลุ่มอาการหลัก ผู้ป่วยต้องมีใบสั่งแพทย์เท่านั้น ฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำและปรับ ด้านผู้ประกอบการต้องใช้ระบบดิจิทัลบันทึกข้อมูลเพื่อความโปร่งใส
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า เมื่อวันทีา 1 ก.ย.2568 นพ.สมฤกษ์ จึงสมาน อธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้ออกประกาศ สมุนไพรควบคุม(กัญชา) พ.ศ. 2568 ที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา มิถุนายน 2568 นั้น มีการกำหนดมาตรการควบคุม “ช่อดอกกัญชา” ได้แก่ ผู้ป่วยต้องมีใบสั่งแพทย์จึงจะสามารถเข้าถึงช่อดอกกัญชาได้ ร้านจำหน่ายต้องมีใบอนุญาต และจัดหากัญชาจากแหล่งปลูกที่ได้มาตรฐาน ห้ามจำหน่ายกัญชาผ่าน ออนไลน์ เครื่องขายอัตโนมัติ และโฆษณาเพื่อการค้า ใบสั่งแพทย์จำกัดการจ่าย ไม่เกิน 30 วันต่อครั้ง
นพ.สมฤกษ์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ผู้ประกอบการต้องบันทึกผลการมีและการใช้กัญชาในระบบ ตามแบบ ภ.ท.27 และแบบ ภ.ท.28 พร้อมส่งรายงานดังกล่าวผ่านระบบ online หรือ Electronic mail ให้ผู้อนุญาตเป็นประจำทุกเดือน ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยต้องมีใบสั่งจ่ายแพทย์ ภ.ท.33 ซึ่งออกโดยผู้ประกอบวิชาชีพ 6 กลุ่ม ได้แก่ แพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย แพทย์แผนไทยประยุกต์ แพทย์แผนจีน เภสัชกร ทันตแพทย์ และหมอพื้นบ้าน อีก 1 กลุ่ม เท่านั้น โดยการใช้กัญชาจะจำกัดอยู่ใน 5 กลุ่มอาการ ได้แก่ นอนไม่หลับ, ปวดเรื้อรัง, ไมเกรน, พาร์กินสัน และเบื่ออาหาร
นพ.สมฤกษ์ กล่าวด้วยว่า กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกจึงมีการพัฒนาบุคลากรประกอบวิชาชีพ 6 วิชาชีพ และ หมอพื้นบ้าน อีก 1 กลุ่ม ต้องผ่านการอบรมการสั่งจ่ายตามใบสั่งแพทย์ ภ.ท.33 ปัจจุบันมีผู้ผ่านการอบรมแล้ว 3,693 คน และพัฒนา ระบบ Telemedicine สำหรับกัญชาทางการแพทย์ เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลใบ ภ.ท.27, ภ.ท.28 และ ภ.ท.33 เข้าสู่ฐานข้อมูลกลาง ลดความเสี่ยงจากการใช้ใบสั่งซ้ำ และเสริมการควบคุมที่แม่นยำ
ล่าสุด กรมการแพทย์แผนไทยฯ ร่วมมือกับภาคเอกชนและมหาวิทยาลัยมากกว่า 3 หน่วยงาน ในการพัฒนาระบบ เพื่อติดตามผลการรักษาอย่างเป็นระบบ และ ส่งมอบให้กรมได้ทดลองใช้งานฟรี ซึ่งจะช่วยให้การควบคุมและกำกับดูแลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันสมัยมากยิ่งขึ้น
“ทั้งหมดนี้คือความมุ่งมั่นของกรมฯ ในการสร้างระบบการใช้กัญชาทางการแพทย์ที่ปลอดภัย ตรวจสอบได้ และเป็นประโยชน์กับประชาชนอย่างแท้จริง” นพ.สมฤกษ์ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าหากร่างกฎกระทรวงผ่าน ครม.ใหม่จะต้องปรับเปลี่ยนร้านขายกัญชาเป็นลักษณะคลินิกหรือสถานพยาบาลกัญชาทางการแพทย์หรือไม่ และต้องมีวิชาชีพประจำร้านด้วยหรือไม่ นพ.สมฤกษ์ กล่าวว่า หากร่างกฎกระทรวงผ่านครม. ก็จะมีเนื้อหาร้านที่จะขอต่อใบอนุญาตว่าจะต้องดำเนินการอย่างไร เช่น 1.ร้านที่ขอใบอนุญาตจะต้องมีการกำกับในพื้นที่ โดยเห็นชอบจากท้องถิ่น หากร่างกฎกระทรวงดังกล่าวผ่าน ขั้นต่อไปจะมีการออกรายละเอียด เช่น ต้องไม่มีการส่งกลิ่นรบกวนข้างเคียง โดยจะจัดทำเป็นโซนนิ่ง 2.ส่วนผู้ให้บริการ คือ แพทย์ วิชาชีพที่กำหนด รวมถึงผู้ช่วยแพทย์ หรือบัดเทนเดอร์ โดยทั้ง 2 ตำแหน่งนี้จะต้องมีการขึ้นทะเบียนและกำกับการให้บริการที่มีมาตรฐาน
“การที่มีแพทย์ประจำเหมือนคลินิกอาจจะเป็นภาระ และทำให้เกิดปัญหากับร้านเล็กๆ ดังนั้น หลังจากกฎกระทรวงผ่านแล้วจะมีการประชุมหรือพูดคุยกับร้าน ว่า ถ้าร้านเล็กมากก็จะมีแพทย์พาร์ทไทม์ เพื่อลดภาระของร้าน รวมถึงการใช้เทเลเมดิซีน แต่ขณะนี้กรมฯ ยังไม่ได้บังคับให้ทุกครั้งต้องใช้ แต่เบื้องต้นมีการพัฒนาอยู่ 3 ระบบแล้วก็จะลองใช้ก่อน ถ้ามีการควบคุมกำกับได้ดีหรือพบปัญหาว่ามีการใช้ไม่ถูกต้อง ก็อาจต้องขอให้อยู่ในระบบทั้งหมด แต่ตอนนี้ยังบังคับทั้งหมดไม่ได้” นพ.สมฤกษ์ กล่าว
นพ.สมฤกษ์ กล่าวถึงการเรียกขอใบสั่งจ่ายยา ภ.ท.33 ที่ผ่านมาว่า จากการออกตรวจร้านขายจะมีการพูดถึง 2 เลือก คือ 1.ใบสั่งจ่ายแพทย์ และ 2.มาตรฐานกัญชา ซึ่งทั้ง 2 อย่างนี้ต้องทำความเข้าใจว่า มีความพร้อมแล้ว โดยกรมฯ จะออกประกาศกำหนดมาตรฐานคุณภาพกัญชาเพิ่มเติมในเร็วๆ นี้ สิ่งสำคัญต้องมีใบสั่งแพทย์ถึงจะจ่ายช่อดอกกัญชาได้ หากตรวจพบว่าไม่ทำตาม ถือว่าผิดกฎหมาย และขณะนี้เราอบรม 6 วิชาชีพกับอีก 1 กลุ่มในการสั่งจ่ายกัญชาแล้วกว่า 3 พันคน ดังนั้น จะมีข้ออ้างเรื่องไม่ทราบไม่ได้ แต่เรามีระบบกำกับเพดานราคาว่า ต้องไม่เกิน 300 บาทต่อใบสั่งแพทย์
บทลงโทษ ณ ขณะนี้เมื่อไม่มีใบ ภ.ท.33
นพ.เทวัญ ธานีรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยฯ กล่าวถึงโทษของการฝ่าฝืนว่า ต้องมีใบสั่งแพทย์ หรือที่เรียกว่า ภ.ท.33 ซึ่งใบนี้จะเก็บไว้ที่ร้าน แนบกับรายการสั่งจ่ายกัญชา ดังนั้น หากไปตรวจแล้วไม่มีก็จะมีโทษ สำหรับร้านตามกฎหมาย หากไม่มีเอกสารหลักฐานดังกล่าว ครั้งแรกจะพักใช้ใบอนุญาต และหากไปตรวจครั้งที่สอง พบกระทำผิดซ้ำจะเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งเป็นโทษทางปกครอง แต่สำหรับร้านค้าที่ไม่ขอใบอนุญาต จะเป็นความผิดทางอาญา มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำและปรับ
ด้านนายสุปรีย์ ทองเพชร นายกสมาคมสภาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม SME เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้ร่วมพัฒนาระบบ “CannaMed Connect” แพลตฟอร์มกลางที่สนับสนุนการควบคุมการใช้กัญชาอย่างรอบด้าน โดยมีคุณสมบัติสำคัญ ดังนี้
1) ควบคุมการออกใบสั่งจ่ายสมุนไพรควบคุม (กัญชา) รองรับการปรึกษาแพทย์และออกใบ ภ.ท.33 แบบออนไลน์ เพิ่มโอกาสการเข้าถึง สำหรับผู้ป่วยในพื้นที่ห่างไกล
2) ระบบลงทะเบียนผู้ป่วยและจัดเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย แพทย์สามารถติดตามประวัติการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง
3) ใบ ภ.ท.33 ดิจิทัล ป้องกันการปลอมแปลงเพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบ
4) รายงานและติดตาม ช่วยให้สถานประกอบการส่งข้อมูลให้กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่อง
5) มาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ปกป้องข้อมูลผู้ใช้งานอย่างรัดกุม ระบบนี้ใช้งานง่าย ไม่มีค่าใช้จ่ายในการใช้งาน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการกัญชาทั่วประเทศ สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมาย และสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับประเทศ
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )