
ธงโจรสลัด “วันพีซ” ถึง เผ่ามังกรฟ้า ถอดปรากฏการณ์มังงะในการชุมนุมทางการเมืองจากไทยสู่อินโดนีเซีย

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
Article Recordsdata
-
- Creator, ปณิศา เอมโอชา
- Purpose, ผู้สื่อข่าว.
ในปี 2563 หนึ่งในปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นระหว่างการชุมนุมของเยาวชนคนรุ่นใหม่หรือกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “ราษฎร” คือวัฒนธรรมป็อปหรือวัฒนธรรมมวลชนอย่างการ์ตูน ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์การชุมนุมและการปราศรัยเปรียบเปรยเนื้อหาในหลายครั้ง ไม่ว่าจะแฮมทาโร่ นารูโตะ วันพีซ
มาในปี 2568 สัญลักษณจากการ์ตูนกลับมาปรากฏในพื้นที่การเมืองอีกครั้ง ทว่าเกิดในประเทศร่วมภูมิภาคอย่างอินโดนีเซีย และจุดร่วมสำคัญของการเคลื่อนไหวในไทยและอินโดนีเซียคือ ผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลต่างก็ใช้การ์ตูนมังงะญี่ปุ่นเรื่อง “วันพีซ” (One Fraction) เป็นสัญลักษณ์เรียกร้องทางการเมือง
เมื่อเดือน ก.ค. ที่อินโดนีเซีย ภาพธงสีดำที่มีรูปหัวกระโหลกและหมวกฟาง สัญลักษณ์ของกลุ่มโจรสลัดที่ท้าท้ายต่อระบอบเผด็จการและต่อสู้เพื่ออิสรภาพในการ์ตูนอนิเมะญี่ปุ่นเรื่อง วันพีซ ได้ถูกนำมาประดับตามบ้าน ท้ายรถ เพื่อตอบโต้ต่อผู้นำประเทศ
และระหว่างการชุมนุมประท้วงใหญ่ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือน ส.ค. สัญลักษณ์เดียวกันนี้ก็ปรากฏในพื้นที่การชุมนุมในหลายเมือง ซึ่งชนชั้นแรงงาน กลุ่มนักศึกษา ออกมาชุมนุมประท้วงเรื่องภาวะไม่มีงานทำ และการขึ้นเงินช่วยเหลือรายเดือนให้ สส. ที่สูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำในเมืองหลวงของอินโดนีเซียกว่า 10 เท่า
.ชวนมองเข้าไปในปรากฏการณ์นี้ว่าเหตุใดการ์ตูน มังงะ อนิเมะ จึงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ในการเรียกร้องทางการเมือง และเรื่องราวของ “วันพีซ” (One Fraction) ซ่อนความหมายในเชิงการเมืองอย่างไรไว้บ้าง
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed finding outได้รับความนิยมสูงสุด
Discontinue of ได้รับความนิยมสูงสุด
2563 วันพีซและเผ่ามังกรฟ้าในไทย

ที่มาของภาพ : อรรถพล บัวพัฒน์
ในช่วงปี 2563 นายอรรถพล บัวพัฒน์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ครูใหญ่” หนึ่งในแกนนำของกลุ่มที่ใช้ชื่อว่า “ขอนแก่นพอกันที” และ กลุ่ม “ราษฎร 2563” ขึ้นปราศรัยในเวทีการชุมนุมหลายครั้ง
ทว่าการปราศรัยครั้งหนึ่งที่กล่าวข้อเรียกร้องในการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยและมีที่มาจากประชาชน พร้อมกับมีการกล่าวเปรียบเปรยถึงการ์ตูนญี่ปุ่นเรื่องวันพีซ (One Fraction) เมื่อ 15 พ.ย. 2563 ที่แยกราชประสงค์ นำมาสู่การถูกร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีข้อหาดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แก่เขา
น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีตสภาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ซึ่งในเวลานั้นยังดำรงตำแหน่ง สส. เป็นผู้ที่เข้าแจ้งความร้องทุกข์ จากกรณีที่เขาขึ้นปราศรัยมีการใช้คำว่า “ราชประหาร” เทียบกับ “รัฐประหาร” ซึ่ง น.ส.ปารีณา ผู้กล่าวหา เห็นว่าเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์
อรรถพล เปิดเผยกับ.เมื่อวันที่ 19 ส.ค. คดี ม.112 อันสืบเนื่องมาจากการปราศรัยครั้งนั้นที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการ์ตูนวันพีซ การสืบพยานทั้งฝั่งโจทก์และจำเลยเสร็จสิ้นแล้ว และศาลนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 30 ก.ย. ที่จะถึงนี้

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
อรรถพลเล่าว่า แรกเริ่มที่เขาโดน น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ แจ้งความเอาผิดในเวลานั้น อดีต สส. พปชร. คนนี้ ได้โพสต์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของเธอระบุว่า “ราชประหารแปลว่าจะฆ่-าพระมหากษัตริย์”
หลังจากนั้น อรรถพลจึงนำข้อความที่ น.ส.ปารีณา โพสต์ มาใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องหมิ่นประมาท น.ส.ปารีณา ที่ศาลจังหวัดขอนแก่น ซึ่งผลออกมาคือ ศาลตัดสินให้เขาชนะคดี เขาจึงนำคำพิพากษาของศาลขอนแก่นไปร้องที่อัยการ
ทว่าเหตุการณ์หลังจากนั้น กลับกลายเป็นว่า อัยการได้มีคำสั่งฟ้องคดี ม.112 ต่อเขา โดยไปนำข้อความอื่นจากการปราศรัยครั้งเดียวกันมาแทน เพราะประเด็นคำว่า “ราชประหาร” ตกไปแล้ว โดยศาลจังหวัดขอนแก่น
“เอาง่าย ๆ ว่าตอนที่เราถูกแจ้งข้อกล่าวหา เราถูกแจ้งข้อกล่าวหาด้วยข้อความ ‘ราชประหาร' แต่เราแก้ตกไปแล้ว ไปยันอัยการมาแล้ว อัยการก็เลยไม่ฟ้องด้วยข้อความนี้ เลยไปฟ้องด้วยข้อความ ‘มังกรฟ้า'” นายอรรถพลระบุ
เกี่ยวกับเนื้อหาเกี่ยวกับ “มังกรฟ้า” ที่อรรถพลปราศรัย และนำมาสู่การถูกฟ้องข้อหา ม.112 เขาได้กล่าวถึง “เผ่ามังกรฟ้า” ซึ่งเป็นกลุ่มองค์กร/กลุ่มตัวละครตัวร้ายในการ์ตูนเรื่องวันพีซ โดยเขาได้วิจารณ์ลักษณะของกลุ่มตัวร้าย นี้ว่าเป็นพวกที่ “มองเห็นประชาชนเป็นแค่ผักปลา จะฆ่-าก็ได้ จะอะไรก็ได้”
ไม่ใช่แค่ ไทย ยังมีชิลี อินโดนีเซีย ที่การ์ตูนถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ต่อต้านรัฐ
การเชื่อมโยงการ์ตูนกับการเมืองไม่ได้มีตัวอย่างแค่ในไทยเท่านั้น
ตั้งแต่เดือน ก.ค. ที่ผ่านมา สำนักข่าวในหลายประเทศทั่วโลกต่างรายงานข่าวการนำธงสัญลักษณ์จากการ์ตูนเรื่องวันพีซมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของการประท้วงรัฐบาล
ในเดือน ก.ค. ที่อินโดนีเซีย ประชาชนผู้ประท้วงจำนวนหนึ่งนำธงโจรสลัดกะโหลกไขว้สวมหมวกฟาง ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มโจรสลัดลูฟี่ กลุ่มตัวเอกจากเรื่องวันพีซ มาประดับประดาตามบ้านเรือนสถานที่ต่าง ๆ หรือกระทั่งบริเวณท้ายรถยนต์ เพื่อเป็นการตอบโต้ต่อคำเรียกร้องของนายปราโบโว ซูเบียนโต ผู้นำอินโดนีเซีย ที่ต้องการให้ชาวอินโดนีเซียชูธงแดงและขาวประจำชาติก่อนวันประกาศอิสรภาพของประเทศในวันที่ 17 ส.ค.
หลายคนเลือกที่จะชูธงโจรสลัดเหล่านี้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ “จอลลี่โรเจอร์” เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจต่อรัฐบาลที่รวมศูนย์อำนาจมากขึ้นเรื่อย ๆ ภายใต้การนำของปราโบโว ซึ่งเป็นอดีตนายพล ที่ก้าวขึ้นบริหารประเทศ เมื่อ ต.ค. ปีที่แล้ว
ในการประท้วงละลอกใหม่ของอินโดนีเซียที่เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 25 ส.ค. จากประเด็นเงินช่วยเหลือค่าที่พักของสมาชิกรัฐสภา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 7 ราย ธง “จอลลี่โรเจอร์” ก็ยังถูกโบกสบัดโดยผู้ชุมนุมเช่นเดียวกัน

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
ย้อนกลับไปในปี 2562 ที่ชิลี ได้เกิดการชุมนุมประท้วง อันมีจุดชนวนจากปัญหาความเหลื่อมล้ำและความไม่พอใจต่อการบริหารงานของรัฐบาลในขณะนั้น
.พบว่าตัวการ์ตูนจากญี่ปุ่นอย่าง “พิคาชู” (Pikachu) ได้กลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์หลักของการประท้วงนั้นเช่นเดียวกัน เช่นเดียวกับตัวละครหรือการ์ตูนเรื่องอื่น ๆ เช่น นารูโตะ ดาบพิฆาตอสูร เผ่าพิภพไททัน โปเกมอน และ วันพีซ ที่ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งการต่อต้านในการประท้วงซึ่งเริ่มต้น ณ กรุงซาติอาโก เมืองหลวงของประเทศ ก่อนที่จะขยายวงกว้างไปยังเมืองอื่น ๆ ทั่วประเทศ
ทำความรู้จักโลก “วันพีซ” เรื่องราวแห่งสมบัติในตำนาน

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
การ์ตูนเรื่อง “วันพีซ” ตีพิมพ์ครั้งแรกในญี่ปุ่น ในปี 2540 ในรูปแบบมังงะโดย เออิจิโร โอดะ และการตูนเรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในแฟรนไชส์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก มังงะเรื่องนี้มียอดขายมากกว่า 520 ล้านเล่ม และนำมาทำเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์หรือซึ่งนิยมเรียกว่าอนิเมะมากกว่า 1,100 ตอน
เส้นเรื่องหลักของมังงะเรื่องนี้เล่าถึงการผจญภัยของตัวเองอย่าง มังกี้ ดี.ลูฟี่ และลูกเรือของเขาในการออกตามหาสมบัติในตำนานที่มีชื่อว่า “วันพีซ” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเสรีภาพและการแสวงหาความหมายของชีวิต
ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เส้นทางการตามหาสมบัติชิ้นนี้มีแต่จะยากขึ้นเรื่อย ๆ ตัวร้ายที่โผล่ออกมาในแต่ละภาคก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน
ในโลกของมังงะวันพีซ ผู้เขียนแต่งเรื่องราวให้กองทัพเรือที่ควรจะเป็นผู้รักษากฎระเบียบของสังคมกลายเป็นตัวร้าย ขณะเดียวกันก็เขียนให้กลุ่มโจรสลัดที่ดูเป็นตัวร้ายในโลกความเป็นจริงกลายเป็นตัวเอก อย่างไรก็ดี ผู้แต่งอย่างโอดะ ก็ไม่ลืมเขียนให้มีกลุ่มโจรสลัดที่มีพฤติกรรมร้ายกาจไม่แพ้กองทัพเรือและพร้อมจะฆ่-าทุกคนเพื่อให้ได้ครอบครองวันพีซเช่นเดียวกัน
โครงสร้างของกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ในโลกวันพีซอาจแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่
- ประชาชนธรรมดา หรือทาส คือบุคคลทั่วไปที่อาศัยอยู่ตามเกาะต่าง ๆ
- กลุ่มโจรสลัด คือผู้ที่ฝ่าฝืนกฎหมายการปกครองของ “รัฐบาลโลก”
- กลุ่มปฏิวัติ คือผู้ที่มีเป้าหมายในการล้มล้าง “รัฐบาลโลก” และ “เผ่ามังกรฟ้า”
- รัฐบาลโลก คือกลุ่มบุคลากรที่กำกับดูแลองค์กรต่าง ๆ เช่น ไซเฟอร์โพล (หน่วยข่าวกรอง) และ กองทัพเรือซึ่งทำหน้าที่ดูแลระเบียบโลกและปกป้องเผ่ามังกรฟ้า
- ห้าผู้เฒ่า คือกลุ่มบุคคล 5 คน ที่ทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารสูงสุดของรัฐบาลโลก
- เผ่ามังกรฟ้า คือกลุ่มชนชั้นสูงสุด ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและกุมอำนาจทั้งหมดของรัฐบาลโลก มีอภิสิทธิ์เหนือทุกสรรพสิ่งในโลกวันพีซ
ทว่านอกจากจะแบ่งกลุ่มตัวละครออกได้เป็น 6 กลุ่มแล้วนั้น ยังมีตัวละครอีกหนึ่งตัวที่มีชื่อว่า “ท่านอิม” ซึ่งเปรียบเสมือนผู้นำสูงสุดตัวจริงของจักรวาลวันพีซ แต่นับจนถึงปัจจุบันผู้แต่งอย่าง โอดะ ยังไม่ได้เปิดเผยว่าตัวละครนี้มีหน้าตาอย่างไร โดยผู้อ่านจะเห็นแค่เป็นเพียงเงาสีดำ ๆ เท่านั้น
การตีความ “อำนาจ” ของกลุ่มคนใน “วันพีซ” สะท้อนถึงไทยอย่างไร

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
แล้วเหตุใดผู้คนในหลายประเทศต่างหยิบยกการ์ตูนเรื่องวันพีซขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้
อรรถพล แกนนำกลุ่มราษฎร มองว่าไม่ว่าประเทศใดจะปกครองด้วยระบอบการเมืองแบบใด แต่สิ่งที่มีร่วมกันคือโครงสร้างทางอำนาจของกลุ่มคน แม้จะแตกต่างกันออกไปตามบริบทก็ตาม
“เช่นที่เราพูดถึงเผ่ามังกรฟ้า ในประเทศไทยคุณจะนึกถึงใคร คุณอาจจะนึกถึงคนที่มีอำนาจซึ่งแต่ละคนตีความได้ไม่เหมือนกัน” เขาระบุ
ในมุมมองของอรรถพล เขาตีความว่าท่านอิมคือทุน “ที่มองไม่เห็นแต่อยู่เบื้องหลังควบคุมทุกอย่าง” และมองห้าผู้เฒ่าว่าเป็นประเทศมหาอำนาจ
“ผมคิดว่าผู้แต่งอย่างอาจารย์โอดะน่าจะพยายามเอาโครงสร้างทางอำนาจ กลุ่มคนที่มีอำนาจ มาอนุมานเป็นตัวละคร ซึ่งแต่ละประเทศอาจจะ ตีความ ไม่เหมือนกัน” อรรถพล ยกตัวอย่าง “เขาอาจจะคิดที่ประเทศญี่ปุ่นนะ ซึ่งมันก็อาจจะใกล้เคียงกับเราหน่อย แล้วมันก็มีบางอย่างที่เหมือนกันนั่นแหละ มีกองกำลัง มีนายทุน มีขุนศึก มีศักดินา มีตัวละครที่เรามองไม่เห็นอะไรเลย พอเราอ่าน มังงะหรือดูอนิเมะ มันก็จะเริ่ม ‘เอ๊ะ คล้ายๆ บ้านเราจัง' ซึ่งแน่นอนกลุ่มคนที่มันมีอำนาจก็มีพฤติกรรมแบบเดียว ๆ กันทั้งโลก มันก็เลยสามารถที่จะเข้าใจว่าเป็นประเทศกูได้ทั้งโลก” เขาเสริม
เช่นนั้นเขามองว่าใครในประเทศไทยคือ ลูฟี่ ?
ตัวเอกอย่าง มังกี้ ดี. ลูฟี่ คือตัวละครที่ไม่เพียงบังเอิญได้กิน “ผลปีศาจ” จนมีพลังระดับเทพพระอาทิตย์ แต่ยังเป็นตัวละครที่มุ่งมั่นในเป้าหมายของตันเองอย่างการเป็น “เป็นเจ้าแห่งโจรสลัด” โดยไม่สนว่าศัตรูที่ดาหน้ากันเข้ามาทั้งฝั่งรัฐบาลโลกหรือโจรสลัดด้วยกันเองจะเก่งแค่ไหนก็ตาม หรือตามคำจำกัดความของนายอรรถพลคือ “ไอ้ตัวละครลูฟี่มันไม่ใช่แค่ความเข้มแข็ง แต่มันคือความไม่แยแสต่อความทุกข์ด้วย ความไม่มีอะไรซับซ้อนในวิธีคิด มันคือการพุ่งไปและเชื่อว่าก็จะไปอย่างนี้ อย่างเดียว”
ต่อคำถามข้างต้น นายอรรถพลตอบว่าเขาไม่เห็นบุคลิกของลูฟี่ในตัวละครการเมืองไทยเพราะมองว่า “ลูฟี่คือ mindset แนวคิด เทียบกับใครไม่ได้เลย” แต่เป็นความเชื่อต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีกว่า
วันพีซ: มังงะที่ทั้งสะท้อนและวิจารณ์โลกความเป็นจริง
ในโลกแห่งวันพีซ ยังมีอีกหนึ่งตัวละครและองค์กรที่หน้าสนใจอย่าง นกนักข่าวมอร์แกน ที่นั่งเป็นประธานแห่งหนังสือพิมพ์ เวิลด์ อีโคโนมี นิวส์เปเปอร์ (World Economy Newspaper) ซึ่งถือเป็นสื่อมวลชนที่มีอิทธิพลสูงที่สุดในโลกโจรสลัดแห่งนี้
งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่มีชื่อว่า Representation of Social Criticism by Morgans Journalist Characters in One Fraction Anime: Inspecting the Meanings Within the support of and Propaganda อาจแปลเป็นภาษาไทยว่า การสะท้อนภาพคำวิจารณ์สังคมผ่านตัวละครนักข่าว มอร์แกนส์ ในอนิเมะวันพีซ: การวิเคราะห์ความหมายและโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปี 2567 บนวารสารลนตาร์ วารสารวิทยาศาสตร์การสื่อสาร ซึ่งเป็นวารสารวิชาการของประเทศอินโดนีเซียที่มีระบบการตรวจสอบคุณภาพบทความวิชาการโดยผู้เชี่ยวชาญ วิจารณ์ว่าตัวละครมอร์แกนนั้นถูกนำเสนอให้เห็นถึงภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของแวดวงสื่อมวลชนในโลกของความเป็นจริง
ตัวละครมอร์แกนเลือกยืนหยัดต่อต้านรัฐบาลโลกที่สั่งห้ามรายงานข่าวในบางประเด็นที่รัฐบาลมองว่าเป็นภัยต่อความมั่นคง แต่ในทางกลับกัน การรายงานข่าวของมอร์แกนหลายครั้งก็เป็นการบิดเบือนข้อมูลเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
ในงานวิจัยระดับปริญญาโทอีกฉบับหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Interpreting the World with One Fraction The vitality of manga within the survey of world politics อาจแปลเป็นภาษาไทยว่า ถอดรหัสโลกด้วยวันพีซ: พลังของมังงะในการศึกษาการเมืองระหว่างประเทศ ซึ่งตีพิมพ์ในปีการศึกษา 2566/2567 มีบางช่วงบางตอนที่ผู้เขียนวิจารณ์ถึงการฉายภาพความอันตรายของอำนาจเบ็ดเสร็จในโลกวันพีซเทียบกับแนวคิดของนักปรัชญาและประวัติศาสตร์หญิงชาวเยอรมันและอเมริกันอย่าง ฮันนาห์ อาเรนดท์ (Hannah Arendt)
ผู้เขียนวิจัยระบุว่า เนื้อเรื่องของวันพีซที่สะท้อนพฤติกรรมของรัฐบาลโลกที่พร้อมจะสังหารผู้ใดก็ตามที่จะเปิดโปงความลับของเหล่าผู้มีอำนาจ แม้คนผู้นั้นจะเป็นถึงกษัตริย์ของอาณาจักรก็ตาม สอดคล้องกับแนวคิดของ ฮันนาห์ อาเรนดท์ โดยเฉพาะข้อสังเกตของเธอที่เห็นว่าระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ มุ่งเน้นกำจัดความเห็นต่างและพยายามยัดเยียดโลกทัศน์แบบหนึ่งเดียวให้สังคม
“เช่นเดียวกับผลงานของอาเรนดท์ซึ่งทำหน้าที่เป็นคำเตือนถึงผลลัพธ์ร้ายแรงของอำนาจที่ไร้การตรวจสอบและการเชื่อฟังอย่างหูตามืดบอด รัฐบาลโลกในวันพีซก็ทำหน้าที่เป็นอุปมาที่ทรงพลังของระบอบเผด็จการที่กุมอำนาจเบ็ดเสร็จโดยไร้การกำกับดูแลหรือความรับผิดชอบ” ผู้วิจัยระบุ
มังงะ-อนิเมะในฐานะเครื่องมือทางการเมือง: จากประวัติศาสตร์บนลงล่าง สู่อาวุธของผู้อ่อนแอ
เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การกำเนิดของอนิเมะ ดร.มาริ นากามูระ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ภาควิชาภาษาญี่ปุ่นและวัฒนธรรมญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยตงไห่แห่งไต้หวัน บอกกับ.ว่า ภาพยนตร์อนิเมะขนาดยาวเรื่องแรกของญี่ปุ่นถือกำเนิดขึ้นในปีเดียวกับที่สงครามโลกครั้งที่สองยุติลง หรือปี ค.ศ.1945 (พ.ศ. 2488) และมีชื่อว่า “โมโมทาโร่: ทหารเทพเจ้าแห่งท้องทะเล” (Momotarō: Umi no Shinpei)
ผศ.ดร.นากามูระ กล่าวว่าอนิเมะเรื่องนี้มีกองทัพเรือเป็นผู้ว่าจ้าง และนับเป็น “ชิ้นงานโฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้เห็นแนวคิดของจักรวรรดิญี่ปุ่น… ซึ่งนี่เป็นเรื่องการเมืองอย่างชัดเจนจากบนลงล่าง”
ถัดมาจากอนิเมะเรื่องโมโมทาโร่ เธอยกตัวอย่างผลงานเรื่อง Astro Boy หรือ “เจ้าหนูปรมาณู” ของเทซูกะ โอซามุ ซึ่งถูกตีพิมพ์ในรูปแบบมังงะครั้งแรกในปี ค.ศ. 1952 (พ.ศ. 2495) ก่อนจะมีบทบาทเป็นอนิเมะซีรีส์ทางโทรทัศน์ขนาดยาวเรื่องแรกของญี่ปุ่น ในปี ค.ศ. 1963 (พ.ศ. 2506)
ผศ.ดร.นากามูระ อธิบายว่า ด้วยสภาพสังคมตอนนั้นและประวัติศาสตร์ก่อนหน้า สุดท้ายตัวละครเจ้าหนูปรมาณูจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและการใช้พลังงานนิวเคลียร์

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
นักวิชาการชาวญี่ปุ่นอธิบายต่อไปว่า เมื่อเวลาผันผ่านไป วงการมังงะและอนิเมะในญี่ปุ่นยิ่งเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ การเซ็นเซอร์ในอดีตที่เคยมีแม้จะยังมีอยู่แต่ก็บางเบาลง และการเข้ามาของเทคโนโลยีช่วยให้เรื่องราวมากมายเหล่านี้เผยแพร่ไปทั่วโลก ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเห็นผู้คนจากชาติอื่น ๆ หยิบยกตัวละครบางตัว หรือแนวคิดบางอย่างจากการ์ตูนเล่มโปรดไปใช้ในทางการเมือง
เธอระบุว่ามังงะเป็นสื่อที่มีลักษณะทางสังคมและทางการเมืองอย่างมาก แม้ไม่ใช่ทุกเรื่องที่จะสะท้อนมุมมองทางการเมืองอย่างชัดเจน แต่ก็ผสานเข้าไปอยู่ในสังคม และผู้สร้างก็นำสิ่งที่สังเกตเห็นจากสังคมมาใส่ลงไปในผลงาน
“บางครั้งมังงะบางเรื่องก็มีแง่มุมทางการเมืองที่เห็นได้ชัดเจนกว่า ขณะที่เรื่องอื่นอาจจะน้อยกว่า แต่บางครั้งผู้คนก็ตีความมังงะไปในแบบที่แตกต่างกัน พวกเขาอ่านมันจากมุมมองของตนเอง” ผศ.ดร.นากามูระ สะท้อน
ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ เนทันนิเอล พี. คันเดลาเรีย จากคณะสังคมศาสตร์และปรัชญา มหาวิทยาลัยฟิลิปปินส์ ดิลิมัน กล่าวเปรียบเทียบการหยิบยกมังงะและอนิเมะมาใช้เป็นเครื่องมือแสดงออกทางการเมืองในหลายประเทศว่าใกล้เคียงกับแนวคิด “อาวุธของผู้อ่อนแอ” (weapons of the used) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากงานวิชาการในหนังสือที่มีชื่อว่า Weapons of the Extinct: Day to day Forms of Peasant Resistance อาจแปลเป็นภาษาไทยว่า อาวุธของผู้อ่อนแอ: รูปแบบการต่อต้านในชีวิตประจำวันของชาวนาโดย ศาสตราจารย์ เจมส์ ซี. สก็อต นักรัฐศาสตร์ชื่อดังชาวอเมริกัน
เขายกตัวอย่างว่าประชาชนรู้ดีว่ามีกฎหมายที่เข้มงวดเกี่ยวกับการต่อต้านหรือการแสดงออกทางการเมืองที่พวกเขาต้องการ ดังนั้น จึงพยายามใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการส่งสารออกมา พร้อมเสริมว่ากรณีการธงหัวกะโหลกวันพีซในอินโดนีเซียนั้น ทำให้เขามองว่ามันคือการส่งสารในลักษณะอ้อมค้อม เพราะเผชิญหน้าโดยตรงไม่ได้
“ผมคิดว่าในทางหนึ่ง มันก็สอดคล้องกับสิ่งที่เจมส์ ซี. สก็อตต์ พูดไว้ คือเป็นรูปแบบหนึ่งของการต่อต้าน เพียงแต่มันไม่ได้ท้าทายโครงสร้างอำนาจโดยตรง แต่เป็นการใช้ความคิดสร้างสรรค์เพื่อส่งสารออกไปต่างหาก” ผศ.คันเดลาเรีย ระบุ
แค่มังงะ-ความน่ารักจากการ์ตูน จะมีน้ำหนักพอต่อการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
เมื่อถามผู้เชี่ยวชาญต่อไปว่า แม้การหยิบมังงะ-อนิเมะ หรือการ์ตูนกระแสหลักที่เรียกได้ว่าเป็น วัฒนธรรมป็อป (Pop Custom) หรือวัฒนธรรมมวลชนขึ้นมาอาจจะได้พื้นที่สื่อหรือจุดกระแสความสนใจได้จริง แต่ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นการเปลี่ยนแปลงได้จริงหรือไม่ ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคนให้ความเห็นกับ.ว่า ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่จำเป็นต้อง “ทรงพลัง” ทางการเมืองเสมอไป เพราะการกระทำแต่ละอย่างก็มีบทบาทในตัวของมันแล้ว
ผศ.ดร.นากามูระ เสริมว่า แม้มังงะ-อนิเมะ มากมายจะมีเนื้อหาสะท้อนสังคมอย่างชัดเจน หรือมีตัวละครที่ต่อสู้กับผู้กดขี่อย่างแน่วแน่ แต่ก็มีเหตุการณ์ไม่น้อยที่ผู้ประท้วงเลือกหยิบตัวละครน่ารัก ๆ หรือเนื้อเรื่องที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับการเมืองชัดมาใช้แสดงออกเช่นเดียวกัน
“พวกเขา กลุ่มผู้ที่ออกมาเคลื่อนไหว อาจจะใช้เสียงของตนเองสะท้อนผ่านตัวละครเหล่านั้น เพื่อดึงดูดคนอื่นหรือเพื่อสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ถ้าพวกเขาชื่นชอบตัวละครนั้นจริง ๆ และเชื่อในสิ่งที่ตัวละครพูดไว้ในมังงะหรืออนิเมะ มันก็สามารถช่วยพวกเขาในการส่งสารได้เช่นกัน แม้แต่ตัวละครที่น่ารัก แม้มันจะไม่ใช่ตัวละครที่ทรงพลัง เป็นแค่ตัวละครที่อ่อนแอกว่า ตัวเล็กกว่า หรือเป็น ‘คนธรรมดา' แต่ก็น่าจะสามารถดึงดูดเยาวชนและผู้คนได้เหมือนกัน” ผศ.ดร.นากามูระ กล่าว
ด้าน ผศ.คันเดลาเรีย เสริมว่า สุดท้ายแล้วแม้สาธารณชนที่รับสารอาจจะไม่เข้าใจความหมายทั้งหมด หรือเห็นภาพรวมทั้งหมดกับสิ่งที่ผู้ประท้วงหรือผู้เคลื่อนไหวทางการเมืองต้องการจะสื่อผ่านอนิเมะหรือมังงะเรื่องโปรด แต่ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร มันก็กลายเป็นเหมือนอัตลักษณ์รูปแบบหนึ่ง และเป็นหนทางในการแสดงออกถึงความคิดที่ไม่สามารถพูดออกมาได้โดยตรง
เขากล่าวว่า เหล่าผู้ประท้วงอาจซ่อนความหมายที่แท้จริงไว้หลังสัญลักษณ์ ธงประท้วง หรือแม้แต่ “มีม” คล้ายกับสิ่งที่เจมส์ ซี. สก็อตต์ เคยขียนไว้ว่า สิ่งที่แสดงออกมาอย่างหนึ่ง เมื่อมองย้อนกลับไป มนกลับหมายถึงอีกอย่างหนึ่ง
“ในแง่นี้พวกเขากำลังพยายามซ่อนสิ่งที่ต้องการสื่อจริง ๆ เอาไว้ ซึ่งในความรู้สึกของผม นี่ก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเขาเองในระดับหนึ่ง” ผศ.คันเดลาเรีย ระบุ “แต่ไม่ว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์จริง ๆ จะออกมาเป็นอย่างไร มันก็ทำหน้าที่เหมือนกาวที่ยึดผู้คนให้อยู่ด้วยกัน… วัฒนธรรมป็อปสามารถปลุกพลังผู้คนได้ ระดมการสนับสนุนให้กับผู้คนได้เหมือนกัน ซึ่งนี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น”
2568 วันพีซในอินโดนีเซีย

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
สำหรับกรณีของวันพีซและเหตุการณ์ในอินโดนีเซีย ดร.อาเด มารุป วิราซันจายา อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยมุฮัมมาดิยะห์ ยอกยาการ์ตา อินโดนีเซีย กล่าวกับ.ว่า แม้ขบวนการนี้มีลักษณะสบาย ๆ ไม่เป็นทางการ แต่ก็เต็มไปด้วยสัญลักษณ์ทางการเมืองที่ทรงพลัง
“มันคือภาพสะท้อนของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในหมู่ประชาชน ที่เผชิญหน้ากับอำนาจรัฐ คือการปะทะกันระหว่างคนรุ่นใหม่ที่เป็นคนรุ่นหลังชาตินิยม (put up-nationalist technology) กับชนชั้นนำที่หวงแหนอำนาจรัฐไว้กับตนเอง” ดร.วิราซันจายา ซึ่งเป็นนักวิจัยด้านขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมข้ามชาติและประชาธิปไตย ชี้
ดร.วิราซันจายา อธิบายเพิ่มว่าขบวนการ ‘วันพีซ' ในอินโดนีเซียนั้นแสดงให้เห็นรูปแบบของขบวนการทางสังคมยุคใหม่ ที่มีความยืดหยุ่น เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และขับเคลื่อนโดยเครือข่ายสื่อใหม่ที่เป็นเรื่องส่วนบุคคลอย่างมาก
“สัญลักษณ์ของวันพีซดูเหมือนต้องการสื่อสารไปยังนักการเมืองและเจ้าหน้าที่ในอินโดนีเซียว่า ‘เฮ้ คุณได้บิดเบือนและยึดครองเจตนารมณ์แห่งชาตินิยมที่บรรพบุรุษของชาติต้องการสร้างขึ้น'”
ตามประวัติศาสตร์ชาติ อินโดนีเซียเริ่มปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยในปี 1998 หลังพลเอกมูฮัมหมัด ซูฮาร์โต ในฐานะประธานาธิบดีคนที่ 2 ซึ่งครองตำแหน่งยาวนานถึง 32 ปี จนได้รับฉายาว่า “จอมเผด็จการ” ประกาศลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากกลุ่มนักศึกษาและประชาชนออกมาเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ในกรุงจาการ์ตาเพื่อขับไล่เขา
ดร.วิราซันจายา
“สำหรับอินโดนีเซีย การเคลื่อนไหวแบบวัฒนธรรมต่อต้านเช่นนี้ ไม่สามารถถือเป็นเรื่องเล็กน้อยได้เพราะมันจะแพร่กระจายเข้าสู่พื้นที่สังคมที่กำลังอยู่ในสภาพเลวร้าย ได้แก่ ความผิดหวังทางสังคม ความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ และการคอร์รัปชันในการบริหารของรัฐ” ดร.วิราซันจายา ทิ้งท้าย
ตอนจบของวันพีซจะเป็นอย่างไร

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
ปัจจุบันมังงะเรื่องวันพีซมีอายุ 28 ปีแล้ว และเรียกได้ว่าเดินเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายอย่างเต็มที่ ตัวละครหลักอย่างลูฟี่ก็เติบโตขึ้นมากลายเป็นผู้มีพลังสูงส่งแบบเทพเจ้า
สำหรับอรรถพลในฐานะผู้ชื่นชอบมังงะเรื่องนี้ เขามองว่าเมื่อลูฟี่เข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ อุปสรรคที่ถูกปูมาตั้งแต่ต้นเรื่องก็เริ่มเผยตัวตนหรือธาตุแท้มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกัน
“ความเป็นลูฟี่มันโตขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าผู้มีอำนาจเดิมย่อมไม่ต้องการให้สิ่งนี้มันโตขึ้น ก็จำเป็นต้องหาวิธีกำจัดทุกวิถีทาง ดังนั้น ผู้มีอำนาจเดิมต้องเปิดหน้าสู้มากขึ้น” นายอรรถพล กล่าว
เมื่อมองต่อไปถึงตอนจบของมังงะที่มีอายุเกือบสามทศวรรษ อรรถพล กล่าวว่าสุดท้ายแล้วมันจะจบแบบความสุข ตัวละครจะโค่นล้มรัฐบาลโลกหรือกลุ่มผู้คุมอำนาจสูงสุดได้ ทว่าระหว่างทางอาจจะมีตัวละครมากมายที่บาดเจ็บล้มเสียชีวิต
ขณะที่เมื่อพูดถึงขบวนการต่อสู้ของประชาชนในไทยนั้น “ผมคิดว่าคนที่สู้ต้องเจ็บแน่ ๆ คนที่สู้ ต้องลี้ภัย ติดคุก เสียชีวิต ถูกไล่ล่า แต่ชนะหรือไม่ไม่รู้ มันแตกต่างกันแค่เรารู้ว่ายังไงในการ์ตูนมันก็ต้องชนะ เจ็บเหมือนกันแต่เรารู้ว่าชนะแน่ ๆ แต่ของเราเจ็บเหมือนกันแต่ยังไม่รู้ว่าจะชนะหรือไม่” อดีตแกนนำของขบวนการประชาชนเมื่อปี 2563 ทิ้งท้าย
ที่มา BBC.co.uk