
มูฮำหมัด ดือราแม
พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถูกวางตัวเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยสันติสุขชายแดนใต้คนใหม่ ซึ่งจะเป็นคนที่ 6 นับตั้งแต่เริ่มมีการพูดคุยฯ ครั้งแรกกับขบวนการบีอาร์เอ็นในปี 2556 ในสมัยนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งครั้งนั้น พล.อ.นิพัทธ์ ก็ร่วมโต๊ะพูดคุยด้วย
พล.อ.นิพัทธ์ หรือ ‘บิ๊กแป๊ะ’ เคยมีประสบการณ์ในงานด้านสันติภาพมาก่อน คือ รองอาวุโสหัวหน้าภารกิจควบคุมการหยุดยิvในอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย (Major Deputy Head of Mission of the Aceh Monitoring Mission) กระทั่งมีข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัฐบาลอินโดนีเซียกับขบวนการอาเจะห์เสรี (Gerakan Aceh Merdeka) เมื่อ 15 สิงหาคม 2548 ยุติความขัดแย้งละความรุนแรงยาวนานเกือบสามทศวรรษ
เดินตามยุทธศาสตร์ใหม่ดับไฟใต้ มุ่งสร้างสันติภาพสันติสุข
ในขณะที่ยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง พล.อ.นิพัทธ์ ให้เรียกตนเองว่า “ผู้ประสานงาน” โดยในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เขาได้เดินสายลงมาในพื้นที่ชายแดนใต้ในช่วงเดือนรอมฎอน เพื่อพบปะพูดคุยกับประชาชนทั้งพุทธและมุสลิม รวมทั้งหน่วยงานด้านความมั่นคง ผู้นำศาสนา และภาคประชาสังคม ตามที่ได้รับมอบหมายมา เพื่อเก็บข้อมูลทำการบ้านก่อนจะถูกแต่งตั้งอย่างเป็นทางการและเดินงานตามใต้ยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ใหม่ที่รัฐบาลยังไม่เปิดเผยออกมา
พล.อ.นิพัทธ์ ระบุว่า ในการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อเดือนมกราคม 2568 ได้ให้ปรับแนวนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ปัญหาใหม่ให้ดีขึ้น เพราะที่ผ่านมามีทั้งเรื่องดีและที่อยากให้ดีขึ้นกว่านี้ โดยมุ่งไปที่การสร้างสันติภาพ/สันติสุข ซึ่งทาง สมช.นำเสนอยุทธศาสตร์ใหม่ให้รองนายกฯ ภูมิธรรม แล้ว
ดังนั้น การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นงานหนึ่งของยุทธศาสตร์ใหม่ ซึ่งตนและทีมงานจาก สมช. ตั้งใจทำในช่วงเดือนรอมฎอนอันประเสริฐเพื่อสร้างความเข้าใจในเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ต้องการสร้างความสงบสุข สาระสำคัญคือมารับฟังข้อมูลและความคิดเห็นจากข้างล่าง โดยย้ำว่าเป็นการทำงานที่ถือปรัชญา เข้าถึง เข้าใจ พัฒนา
“น่าดีใจที่ทุกคนทุกฝ่ายที่เราพบมีความเห็นตรงกันว่า 21 ปีแล้วที่อยู่ในสภาวะความรุนแรง ทุกฝ่ายต้องการเร่งที่จะสร้างสันติภาพสันติสุขให้เกิดกับพื้นที่ ต้องการเห็นทุกคนปลอดภัย มีอนาคตที่ดี โดยเฉพาะเยาวชนที่ตื่นตัวมากแล้ว” รวมทั้งปัญหายาเสพติดซึ่งหนักมาก ชุมชนทั้งหลายเรียกร้องให้ปราบปรามอย่างจริงจัง ซึ่งทีมงาน สมช.จะนำไปปรับนโยบายด้วย
การพูดคุยสันติสุขยังมีอยู่ แต่ไม่ใช่รูปแบบเดิม
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้โต๊ะพูดคุยสันติสุขได้หยุดชะงักมาเกือบปีแล้ว จนถูกมองว่ารัฐบาลอาจจะยกเลิกการแก้ปัญหาในแนวทางนี้แล้ว แต่ พล.อ.นิพัทธ์ ยืนยันว่า การพูดคุยสันติสุขยังมีอยู่ แต่อาจจะเปลี่ยนรูปแบบไปจากเดิม ส่วนจะเป็นรูปแบบใดนั้นต้องรอติดตาม
จากข้อสังเกตว่า เหตุรุนแรงจะมีมากขึ้นในช่วงไม่มีการพูดคุย โดยเฉพาะช่วงรอมฎอนที่ผ่านมานั้น พล.อ.นิพัทธ์ มองว่าให้แยกเป็น 2 ประเด็น คือ
ประเด็นที่ 1 ขอยืนยันว่า รัฐบาลสั่งการชัดเจนว่าการพูดคุยยังดำรงอยู่ในขณะนี้ แต่อาจจะไม่ใช่รูปแบบเดิม
“การพบผู้นำศาสนา รวมทั้งภาคประชาสังคมต่างๆ นี่คือการพูดคุย ซึ่งผมเชื่อว่าผู้ใหญ่ทั้งหลาย โดยเฉพาะผู้นำศาสนาที่เราได้พบ จะได้สื่อสารลงไปในชุมชน… สิ่งเหล่านี้จะถูกถ่ายทอดไปยังตัวบุคคล กลุ่มคนต่างๆ (รวมทั้งบีอาร์เอ็น) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การพูดคุยซึ่งยังมีอยู่ แต่ยังไม่ถึงกับต้องนั่งโต๊ะคุยกัน”
พล.อ.นิพัทธ์ ระบุว่า การพูดคุยรูปแบบใหม่ได้เริ่มทำไปแล้ว โดยให้ความสำคัญกับการพูดคุยกับผู้นำศาสนา/ผู้นำจิตวิญญาณในพื้นที่
ประเด็นที่ 2 เรื่องการก่อเหตุ ยอมรับว่ามีจริงซึ่งทุกฝ่ายผิดหวังและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งที่เราตั้งใจจะให้เดือนรอมฎอนปีนี้เป็นรอมฎอนสู่สันติสุข 2568/ฮิจเราะห์ศักราช 1446 ทั้ง 30 วัน ยอมรับว่ายังมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ยังมีแนวคิดลักษณะนี้อยู่ ซึ่งต้องแก้ไขและติดตามจับกุมต่อไป
คำถามคือ เมื่อเน้นการพูดคุยกับประชาชนแล้วจะสื่อสารไปยังบีอาร์เอ็นได้อย่างไร พล.อ.นิพัทธ์ ตอบว่า นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของรัฐ ในเวลาเดียวกันก็ร้องขอจากประชาชนช่วยกันบอกแจ้งถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ประชาชนจะเป็นพลังที่จะทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย
“สิ่งที่ได้มีการพูดคุยกันมาแล้วอาจไม่มีการสานต่อนั้น ขอปฏิเสธโดยสิ้นเชิง”
พล.อ.นิพัทธ์ กล่าวว่า สิ่งที่หัวหน้าคณะพูดคุยทุกคณะได้พูดคุยกันมาแล้วเป็นประโยชน์ทั้งหมด ไม่มีอะไรที่ต้องหักล้าง ไม่มีการตำหนิใดๆ ถือว่าทุกอย่างคือรากฐานการทำงาน อะไรที่ได้ผลมากหรือน้อยเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น
ทำไมต้องสนใจรัฐกลันตัน
พล.อ.นิพัทธ์ ยังเรียกร้องให้ความสนใจไปที่รัฐกลันตันของมาเลเซีย เพราะเชื่อว่าจะมีส่วนสำคัญต่อการแก้ปัญหาชายแดนใต้เนื่องจากพื้นที่ติดกัน และเชื่อว่าเป็นที่พำนักของแกนนำขบวนการบีอาร์เอ็น แต่เขาก็เน้นว่า “เราจะมุ่งเน้นความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจ” เป็นหลัก
พล.อ.นิพัทธ์ มักเขียนถึงรัฐกลันตันอยู่บ่อยบนเฟซบุ๊ก ซึ่งเขาให้เหตุผลว่า เหตุการณ์ต่างๆ ไม่ได้จำกัดที่เส้นเขตแดนไทย-มาเลเซีย วันนี้ทุกฝ่ายรวมทั้งทางทหารพูดถึงรัฐกลันตันว่า ทุกคนต้องสนใจเพราะการเคลื่อนไหวทางภูมิสังคมที่ประชาชนทั้งในฝั่งไทยและในรัฐกลันตันเป็นพี่น้องกัน
“รัฐกลันตันถูกกล่าวถึงในหลายๆ เรื่องโดยเฉพาะเศรษฐกิจการค้าที่เชื่อมโยงกัน อะไรที่มีอยู่ในรัฐกลันตันส่งผลต่อชายแดนภาคใต้มากน้อยแค่ไหน บทความที่ผมเขียนสะท้อนให้เห็นว่า ระบบการปกครองของรัฐกลันตันที่มีสุลต่านและมุขมนตรี การตัดสินใจในบางเรื่องมันจะจบอยู่แค่ในรัฐกลันตันเท่านั้น”
โดย พล.อ.นิพัทธ์ เรียกร้องให้หน่วยงานของรัฐทั้งทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และส่วนราชการในพื้นที่ที่ติดกับรัฐกลันตัน “สนใจพูดคุยกับเขาหน่อย เพื่อจะให้พี่น้องทั้งสองฝั่งได้มีความเข้าอกเข้าใจกัน อะไรที่มันร้อนหนาวก็ต้องมาบอกกัน”
เข้าถึงพรรคปาส (PAS) เพื่อเข้าถึงบีอาร์เอ็น?
ส่วนการเป็นแหล่งพักพิงของแกนนำบีอาร์เอ็นนั้น พล.อ.นิพัทธ์ บอกว่า เรายังไม่ไปก้าวล่วงขนาดนั้น หมายความว่าเรารู้จริงแล้วหรือยัง
อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ที่ระดับหน่วยในพื้นที่ก็ทำกันอยู่แล้ว แต่ที่ตนสะท้อนออกมานั้น เป็นการบอกตัวเองว่า เราไม่เคยรู้จักมาก่อนว่ารัฐกลันตันเป็นอย่างไร ตนพยายามบอกว่า บ้านเมืองติดกันอย่ามองข้ามกัน
คำถามคือ การที่ต้องสนใจรัฐกลันตันนั้นก็เพื่อเข้าถึงพรรคปาส (PAS) ซึ่งปกครองรัฐกลันตันอยู่ ก็เพื่อเป็นช่องทางเข้าถึงระดับนำของบีอาร์เอ็นใช่หรือไม่ พล.อ.นิพัทธ์ ตอบว่า “เป็นทั้งคำถามและเป็นแนวที่เราต้องพึ่งตระหนักในการทำงานครั้งนี้”
“20 กว่าปีมาแล้ว มีอะไรที่พูดถึงก็ถูกทั้งหมด แต่สิ่งที่ต้องเน้นย้ำสำหรับรัฐกลันตันคือการสร้างความสัมพันธ์ ความเข้าใจที่ดี และผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ตรงนี้เราไม่ก้าวล่วงไปในเรื่องของพรรคการเมือง รวมทั้งพรรคการเมืองต่างๆ ในกัวลาลัมเปอร์ของมาเลเซียด้วย”
พล.อ.นิพัทธ์ กล่าวว่า งานตรงนี้เราไม่ค่อยพูดถึงกัน แต่หน่วยงานในพื้นที่ทำกันอยู่แล้ว ตนและทีมงานได้ฟังข้อมูลแล้วคิดว่า เราควรยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกลันตันกับพื้นที่ประเทศไทย เน้นเรื่องเศรษฐกิจ เพราะประชาชนได้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งเดิมๆ เราอยู่กันอย่างมีความสุขก็อยากจะให้หยุดความรุนแรง
รัฐบาลยืนยันในความจริงจัง ขอให้ฝ่ายเห็นต่างแสดงตัวมา
สำหรับข้อเรียกร้องของภาคประชาสังคมที่ต้องการให้รัฐบาลมีเจตจำนงทางการเมืองในการแก้ปัญหาอย่างจริงจังนั้น พล.อ.นิพัทธ์ กล่าวว่า เป็นความจริงที่มีการเรียกร้องและมีการตั้งข้อสังเกตเรื่องความจริงจังของรัฐบาล
“ยืนยันว่าจริงจัง รัฐบาลยืนยันในความจริงจัง แต่ย้ำว่ารูปแบบที่เราเคยเห็นมา คือการนั่งโต๊ะคุยกันแล้วมีการแถลงข่าวอย่างที่ทำมานั้นไม่ได้ผิดอะไร มันคือการทำงานร่วมกัน แต่เมื่อผมมารับผิดชอบตรงนี้ตามที่ได้รับมอบหมาย ผมก็จะทำสไตล์ของผม นี่คือรูปแบบที่จะทำ”
คำถาม รูปแบบการพูดคุยสันติสุขจะเป็นไปในทางลับมากขึ้นใช่หรือไม่ พล.อ.นิพัทธ์ กล่าวว่า ไม่มีอะไรเป็นความลับเลย ไปไหนมาไหนมีข้าราชการ ในพื้นที่มีภาคประชาสังคมคอยสนับสนุน
ส่วนการพูดคุยกับขบวนการบีอาร์เอ็นมีคนที่รับผิดชอบในส่วนนี้อยู่แล้ว ถ้าใช้คำว่าการคุยในทางลับมันก็เป็นอะไรที่ดูเหมือนว่ามีอะไรซ่อนอยู่
“ผมอยากให้ฝ่ายที่เห็นต่างหรืออะไรต่างๆ บอกและแสดงตัวมา เพราะรัฐบาลก็เปิดเผยทุกอย่างว่าใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร อยากจะให้ส่งเสียงมาชัดๆ … ว่าตัวตนของคุณมันจริงแค่ไหน อย่างไร นี่น่าจะเป็นเวลาที่เราควรจะได้ทำความเข้าใจกันในเรื่องความสงบสุขและอนาคตที่ดีงาม” พล.อ.นิพัทธ์ กล่าวทิ้งท้าย
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )