สรวงสวรรค์แห่งท้องทะเลอินโดนีเซีย กำลังถูกคุกคามจากเหมืองนิกเกิลในอุตสาหกรรมแบตเตอรีอีวีอย่างไร ?

ที่มาของภาพ : Global Glance

หมู่เกาะราชาอัมพัตในอินโดนีเซียถูกเรียกว่า “ป่าแอมะซอนแห่งท้องทะเล”

Article info

  • Creator, วิคตอเรีย จิลล์
  • Role, ผู้สื่อข่าววิทยาศาสตร์ บีบีซีนิวส์

ภาพที่โดรนจับได้อย่างชัดเจนและนักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมเปิดเผยให้บีบีซีนิวส์ได้เห็นแสดงให้เห็นถึงภาพเหมืองนิกเกิลที่ได้ทำลายป่าและแหล่งที่อยู่อาศัยทางทะเลซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกไปแล้ว

หมู่เกาะราชาอัมพัต (Raja Ampat) กลุ่มเกาะเล็ก ๆ ใน จ.ปาปัวตะวันตกเฉียงใต้ของอินโดนีเซียได้รับการขนานว่าเป็น “ป่าแอมะซอนแห่งท้องทะเล” แต่ที่นั่นกลับมีการทำเหมืองนิกเกิลเพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากรายงานขององค์กรโกลบอล วิตเนส (Global Glance)

นิกเกิลถือเป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับการผลิตแบตเตอรีรถยนต์ไฟฟ้า หรือ อีวี (electrical automobile) รวมถึงการผลิตสแตนเลส

ในห้วงสัปดาห์นี้ รัฐบาลอินโดนีเซียเพิกถอนใบอนุญาตเหมืองแร่จำนวน 4 แห่งจาก 5 แห่งที่เปิดดำเนินการในภูมิภาคนี้ ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้รับการตอบรับที่ดีจากนักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม

ที่มาของภาพ : Global Glance

ภาพถ่ายในเดือน ธ.ค. 2024 แสดงให้เห็นกิจกรรมของเหมืองบนเกาะกาเว (Kawei) ในหมู่เกาะราชาอัมพัต

แถลงการณ์ของกระทรวงสิ่งแวดล้อมอินโดนีเซียซึ่งเผยแพร่ทางออนไลน์ระบุว่า “ความหลากหลายทางชีวภาพของหมู่เกาะราชาอัมพัตเป็นมรดกโลกที่ต้องได้รับการปกป้อง”

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Quit of ได้รับความนิยมสูงสุด

“เราให้ความสนใจอย่างยิ่งต่อกิจกรรมการทำเหมืองที่เกิดขึ้นในพื้นที่” แถลงการณ์จากทางการอินโดนีเซียระบุ

ทว่าภาพถ่ายที่บันทึกโดยองค์กรโกลบอล วิตเนส ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการสืบสวนเรื่องกิจการเหมืองนิกเกิล ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นว่าความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมได้เกิดขึ้นแล้ว

ภาพถ่ายมุมสูงบ่งชี้ว่าได้เกิดการสูญเสียพื้นที่ป่าและเกิดการไหลของตะกอนลงสู่แหล่งน้ำที่เป็นที่อยู่อาศัยของแนวปะการังที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ

องค์กรโกลบอล วิตเนส บอกกับบีบีซีว่า การใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการทำเหมืองตามเกาะเล็ก ๆ หลายแห่งในหมู่เกาะแห่งนี้เพิ่มพื้นที่ขึ้นถึง 500 เฮกตาร์ หรือราว 5 ตารางกิโลเมตร ซึ่งเทียบเท่ากับประมาณสนามฟุตบอล 700 สนาม ในช่วงระหว่างปี 2020-2024

ที่มาของภาพ : Global Glance

ภาพถ่ายการทำเหมืองที่เกาะกาเว (Kawei) ในหมู่เกาะราชาอัมพัต ดูเหมือนจะแสดงให้เห็นตะกอนที่ไหลลงสู่ผืนน้ำชายฝั่ง

นักอนุรักษ์บางกลุ่มรวมถึงองค์กรกรีนพีซ กังวลว่าการตัดสินใจของรัฐบาลอินโดนีเซียอาจถูกพลิกกลับด้วยการดำเนินการทางกฎหมายของบริษัทเหมืองแร่

นอกจากนี้ บริษัทแห่งหนึ่งซึ่งดำเนินงานบนเกาะแกก (Gak) ซึ่งอุดมไปด้วยแร่นิกเกิล ก็เพิ่งได้รับอนุญาตให้ดำเนินการต่อได้ โดยทางรัฐบาลกล่าวว่าได้สั่งให้บริษัท “ฟื้นฟูผลกระทบทางนิเวศวิทยาที่เกิดขึ้น” ที่นั่น

ดร.มาร์ก เอิร์ดแมน นักอนุรักษ์แนวปะการังและนักนิเวศวิทยา บอกกับบีบีซีนิวส์ว่า เขา “รู้สึกทึ่งและมีความสุขมาก” เมื่อเห็นรัฐบาลอินโดนีเซียเพิกถอนใบอนุญาตทำเหมือง

“นี่คือศูนย์กลางของความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลระดับโลก” เขาบอก

ดร.เอิร์ดแมนทำงานในหมู่เกาะราชาอัมพัตมามากกว่า 2 ทศวรรษแล้ว และช่วยจัดตั้งเครือข่ายพื้นที่คุ้มครองทางทะเลที่นั่น โดยเขาเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งโครงการฟื้นฟูฉลามในภูมิภาคนี้ที่มีชื่อว่า “รีชาร์ก (Reshark)”

เขากล่าวเสริมด้วยว่า “เสียงโกรธเกรี้ยวของประชาชนต่างหากที่ทำให้รัฐบาลหันมาสนใจปัญหานี้”

ทว่า การโต้เถียงประเด็นนิเวศวิทยาเช่นนี้ก็แสดงให้เห็นว่าความต้องการโลหะที่มีความจำเป็นต่อเทคโนโลยีแบตเตอรรีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและแหล่งพลังงานคาร์บอนต่ำนั้น อาจทำลายสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร

ที่มาของภาพ : Global Glance

หมู่เกาะราชาอัมพัตเป็นสวรรค์ของนักดำน้ำ เพราะมีแนวปะการังที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ

ข้อมูลจากรายงานของสถาบันเศรษฐศาสตร์พลังงานและการวิเคราะห์ทางการเงิน (Institute for Vitality Economics and Financial Prognosis) เมื่อปีที่แล้ว ระบุว่า ปัจจุบันแร่นิกเกิลมากกว่าครึ่งที่ผลิตได้ในโลกมาจากอินโดนีเซีย

และแม้ว่าความงามและความหลากหลายทางชีวภาพของหมู่เกาะราชาอัมพัตได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนไปจากการทำเหมืองแร่ที่เกิดขึ้นนั่น การทำเหมืองแร่ในบริเวณหมู่เกาะแห่งนี้ยังเชื่อมโยงกับความเสียหายทางนิเวศวิทยาที่อื่น ๆ เช่นกัน

ในการศึกษาปี 2024 ขององค์กรฟอเรสต์ วอทช์ อินโดนีเซีย (Wooded space Gape Indonesia) พบว่าการทำเหมืองทำให้เกิดการสูญเสียพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น รวมถึงทำให้เกิดเหตุอุทกภัยและดินถล่มในท้องถิ่นเพิ่มขึ้น

ที่มาของภาพ : Global Glance

ภาพถ่ายใต้น้ำแสดงให้เห็นตะกอนที่พบบนแนวปะการังรอบเกาะ

ความต้องการแร่ธาตุสำคัญที่เพิ่มขึ้นกำลังกำหนดทิศทางการตัดสินใจด้านเศรษฐกิจทั่วโลก มันเป็นหนึ่งในแรงผลักดันที่ทำให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ออกคำสั่งฝ่ายบริหารล่าสุดให้เริ่มต้นขุดเจาะก้อนโลหะจากทะเลลึกในน่านน้ำสากล ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวที่ทางจีนบอกว่าผิดกฎหมาย

ดร.เอิร์ดแมน ชี้ให้เห็นว่าการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการปกป้องสิ่งแวดล้อมนั้น เป็นภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของอินโดนีเซีย

“พวกเขามีนิกเกิลจำนวนมาก ถึงอย่างไรบางส่วนก็ต้องถูกสกัดออกจากพื้นดิน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” เขากล่าว

ในเวลาเดียวกัน ดร.มิเชลา กิว อิง โล จากสถาบันอนุรักษ์นิเวศวิทยาดูเรลล์และมหาวิทยาลัยเคนต์ เป็นผู้นำทีมวิจัยในปี 2024 เพื่อศึกษาผลกระทบจากการทำเหมืองที่มีต่อชุมชนท้องถิ่นในเกาะสุลาเวสี ซึ่งเป็นเกาะขนาดใหญ่ของอินโดนีเซีย อันเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยแหล่งแร่นิกเกิลส่วนใหญ่ของประเทศ

งานวิจัยแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมการทำเหมืองช่วยลดความยากจนลงเพียงเล็กน้อย แต่ “ความเป็นอยู่ที่ดีของสภาพแวดล้อมกลับแย่ลง” อย่างมีนัยสำคัญ รวมถึงทำให้เกิดมลพิษทางน้ำและทางอากาศในท้องถิ่นเพิ่มขึ้น

“อินโดนีเซียกำลังวางตำแหน่งของตัวเองในตลาดนิกเกิลของโลก” ดร.โล กล่าวกับบีบีซีนิวส์ “แต่สิ่งสำคัญคือต้องไม่ลืมว่าเกิดอะไรขึ้นกับท้องถิ่น”

ที่มาของภาพ : Global Glance

นักเคลื่อนไหวในท้องถิ่นกล่าวว่าการทำเหมืองเป็นอันตรายต่อวิถีชีวิตที่พึ่งพาการเกษตรและการประมง

อิหม่าม โชฟวาน นักรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมจากองค์กรในกรุงจาการ์ตาที่ชื่อว่า จาทัม (Jatam) บอกกับบีบีซีนิวส์ว่า “พวกเขาบอกว่านิกเกิลเป็นทางออกของวิกฤตด้านภูมิอากาศ แต่มันกลับทำลายพื้นที่ป่า รวมถึงพื้นที่เพาะปลูก”

เขากล่าวกับบีบีซีด้วยว่าพื้นที่ชายฝั่งบางแห่งซึ่งพบว่าเป็นแหล่งแร่นิกเกิล กลับเป็นพื้นที่เปราะบางต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น เผชิญกับระดับน้ำทะเลที่เพิ่งสูงขึ้น

ด้าน ดร.เอิร์ดแมน ให้ความเห็นว่า “ภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกต่อกิจการเหมืองนิกเกิล เป็นเรื่องที่น่ากังวล”

“การทำเหมืองแร่ส่งผลกระทบต่อสภาพสิ่งแวดล้อมเสมอ และเราทุกคนมักคิดว่าการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นความคิดที่ดี แต่ความเสียหายที่เรายอมรับได้คืออะไร” เขาตั้งคำถาม

บีบีซีพยายามติดต่อรัฐบาลอินโดนีเซียเพื่อขอความเห็นเกี่ยวกับกรณีนี้ แต่ไม่ได้รับการตอบกลับ

ที่มาของภาพ : Global Glance

ยอดเขาหินปูนวายัก (Wayag) ในหมู่เกาะราชาอัมพัต เป็นหนึ่งในจุดท่องเที่ยวสำคัญ