ทรัมป์มีทางเลือกอะไรบ้างในการจัดการกับอิหร่าน ?

ที่มาของภาพ : Getty Photography

data

  • Writer, ทอม เบตแมน
  • Function, ผู้สื่อข่าวประจำกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้แสดงความเห็นต่อกรณีความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน จากการสนับสนุนการโจมตีของอิสราเอลอย่างเต็มตัว ต่อมาเขาได้แสดงจุดยืนที่ถอยห่างจากการโจมตีของอิสราเอล และกลับมามีความคิดเห็นสนับสนุนอิสราเอลอีกครั้ง

ความคลุมเครือของผู้นำสหรัฐฯ ยิ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้นเมื่อการสู้รบทวีความรุนแรงมากขึ้น

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล กล่าวว่า การโจมตีดังกล่าวได้รับ “การประสานงานอย่างเต็มที่” กับสหรัฐฯ

มีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อทรัมป์ และที่สำคัญคือตอนนี้เขามีทางเลือกอะไรบ้าง?

1. ยอมตามแรงกดดันของเนทันยาฮู และสถานการณ์ยิ่งรุนแรงมากขึ้น

ในขณะที่ขีปนาวุธของอิสราเอลโจมตีกรุงเตหะรานเมื่อวันพฤหัสบดี (12 มิ.ย.) ทรัมป์ขู่ผู้นำอิหร่านด้วยการโจมตีที่ “โหดร้ายกว่าเดิม” จากพันธมิตรอิสราเอลของเขาที่ติดอาวุธด้วยsะเบิดของอเมริกา

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุด

Stop of ได้รับความนิยมสูงสุด

เรารู้เป้าหมายสูงสุดของทรัมป์แล้ว เขาพูดเหมือนกับเนทันยาฮูว่า อิหร่านไม่สามารถจะครอบครองsะเบิดนิวเคลียร์ได้ ที่สำคัญทรัมป์กล่าวว่า ทางเลือกที่เขาต้องการ (ไม่เหมือนเนทันยาฮู) คือการทำข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่าน (ซึ่งวิธีนี้ยังสะท้อนภาพลักษณ์ที่เขาบรรยายถึงตัวเองว่าเป็นผู้ทำข้อตกลงระดับโลกด้วย)

แต่ทรัมป์ลังเลใจว่าจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร บางครั้งก็เขาก็ดูเหมือนจะอิงกับวิธีใช้กำลังบีบบังคับ บางครั้งก็ใช้การทูตบังคับ สัปดาห์ที่แล้ว เขาบอกว่าการโจมตีอิหร่านของอิสราเอลจะช่วยให้บรรลุข้อตกลงได้ หรือไม่ก็ “ทำให้ข้อตกลงนั้นพังลง”

ผู้สนับสนุนของเขามักพรรณนาถึงอาการคาดเดาไม่ได้ของทรัมป์ หลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้วว่าเป็นกลยุทธ์ซึ่งถูกเรียกขานว่าเป็นทฤษฎี “คนบ้า” ในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

ทฤษฎีนี้เคยถูกใช้อธิบายกลวิธีการเจรจาของทรัมป์มาก่อน และแสดงให้เห็นว่า การใช้ความไม่แน่นอนหรือความไม่สามารถคาดเดาได้เกี่ยวกับการยกระดับความรุนแรงนั้น มีผลในการบีบบังคับหรือกดดันให้ฝ่ายตรงข้าม (หรือแม้แต่พันธมิตรในกรณีของทรัมป์) ปฏิบัติตาม

ทฤษฎีนี้ดังกล่าวเป็นที่รู้จักจากการเชื่อมโยงกับวิถีทางในช่วงสงครามเย็นของประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน

ที่ปรึกษาและผู้สนับสนุนของทรัมป์บางคนสนับสนุนทฤษฎีคนบ้าที่เน้นใช้ “แรงกดดันสูงสุด” ต่ออิหร่าน พวกเขามองว่าการข่มขู่คุกคามจะชนะในที่สุด เนื่องจากพวกเขามีข้อโต้แย้งว่าอิหร่านไม่จริงจังกับการเจรจา (แม้ว่าในปี 2015 อิหร่านจะลงนามข้อตกลงนิวเคลียร์ที่นำโดยประธานาธิบดีบารัก โอบามา แต่ต่อมาทรัมป์ถอนตัว)

ที่มาของภาพ : Getty Photography

ควันพวยพุ่งจากการsะเบิดที่อาคารสถานีโทรทัศน์ของรัฐในกรุงเตหะรานของอิหร่าน

เนทันยาฮูกดดันอย่างต่อเนื่องต่อทรัมป์เพื่อให้ใช้วิธีทางการทหาร ไม่ใช่ทางการทูต และประธานาธิบดีสหรัฐฯ ผู้เคยกล่าวอยู่บ่อยครั้งว่าปรารถนาที่จะได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ อาจเห็นความจำเป็นว่าที่สุดแล้วก็ต้องคุกคามผู้นำของรัฐบาลเตหะรานด้วยวิธีการที่แข็งกร้าวมากขึ้น

อิสราเอลอาจผลักดันอยู่เบื้องหลังให้อเมริกาเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้นเพื่อให้บรรลุภารกิจ สหรัฐฯ มีsะเบิดบังเกอร์บัสเตอร์ซึ่งอิสราเอลเชื่อว่าสามารถทำลายแหล่งเสริมสมรรถนะยูเรเนียมใต้ดินของอิหร่านที่ศูนย์นิวเคลียร์ฟอร์โด (Fordow) ได้

ในขณะที่การสู้รบทวีความรุนแรงมากขึ้น แรงกดดันต่อทรัมป์จากกลุ่มรีพับลิกันหัวรุนแรงในสภาคองเกรสที่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในอิหร่านมาอย่างยาวนานก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน

ทรัมป์ยังเล็งเห็นข้อโต้แย้งที่ว่ามันอาจบังคับให้อิหร่านต้องเจรจากับเขาด้วยสถานการณ์ที่เสียเปรียบในตอนนี้ แต่จะเป็นจริงหรือไม่ขึ้นอยู่กับอิหร่านที่และท่าทีบนโต๊ะเจรจา เนื่องจากอิหร่านมีแผนที่จะเจรจารอบที่ 6 กับ สตีฟ วิทคอฟฟ์ ผู้แทนของทรัมป์ในโอมานในวันอาทิตย์นี้ (22 มิ.ย.)

ทว่าการเจรจาดังกล่าวได้ถูกยกเลิกไปแล้ว

2. เดินทางสายกลาง – ยึดมั่นแนวทางเดิม

ถึงขณะนี้ ทรัมป์ยังคงเน้นย้ำว่า สหรัฐฯ ไม่เกี่ยวข้องกับการโจมตีของอิสราเอล

การยกระดับความรุนแรงมาพร้อมกับความเสี่ยงที่สำคัญและอาจส่งผลต่ออนาคตของทรัมป์ เรือพิฆาตของกองทัพเรือและกองกำลังขีปนาวุธภาคพื้นดินของสหรัฐฯ กำลังให้ความช่วยเหลืออิสราเอลในการป้องกันการโจมตีตอบโต้ของอิหร่าน

ที่ปรึกษาบางคนของทรัมป์ในสภาความมั่นคงแห่งชาติอาจจะออกมาเตือนเขาไม่ให้ทำอะไรก็ตามที่อาจเพิ่มความรุนแรงให้กับการโจมตีอิหร่านของอิสราเอลในช่วงไม่กี่วันข้างหน้านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อขีปนาวุธของอิหร่านบางลูกสามารถฝ่าแนวป้องกันของอิสราเอล-สหรัฐฯ ไปถึงขั้นปลิดชีวิตผู้คนได้

เนทันยาฮูชี้ว่า การกำหนดเป้าสังหารไปที่อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน จะช่วยยุติความขัดแย้ง ไม่ใช่ทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น

แต่เจ้าหน้าที่ทางการสหรัฐฯ นิรนามคนหนึ่งได้ให้ข่าวกับสื่อบางสำนักในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าทรัมป์ได้ตัดสินใจอย่างชัดเจนว่าไม่เอาด้วยกับหนทางนี้

ที่มาของภาพ : Getty Photography

ขีปนาวุธอิหร่านโจมตีอาคารในเทลอาวีฟ

3. ฟังเสียงของกลุ่มผู้สนับสนุน Create The US Huge Once more และถอนตัวกลับ

ปัจจัยทางการเมืองที่สำคัญประการหนึ่งที่ทรัมป์ให้ความสนใจคือแรงสนับสนุนภายในประเทศ

สมาชิกสังกัดพรรครีพับลิกันส่วนใหญ่ในรัฐสภายังคงสนับสนุนอิสราเอลอย่างแข็งขัน รวมถึงสนับสนุนการจัดส่งอาวุธของสหรัฐฯ ให้รัฐบาลเทลอาวีฟอย่างต่อเนื่อง หลายคนสนับสนุนการโจมตีอิหร่านของอิสราเอลอย่างเปิดเผย

แต่มีเสียงสำคัญบางส่วนภายในขบวนการ Create The US Huge Once more (MAGA) หรือ “ทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ของทรัมป์ที่ปฏิเสธการสนับสนุนอิสราเอลอย่าง “เสียชีวิตตัวแบบเดิม” โดยสิ้นเชิง

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขาถามว่าทำไมสหรัฐฯ จึงเสี่ยงที่จะถูกดึงเข้าไปในสงครามตะวันออกกลาง ทั้งที่ทรัมป์ประกาศคำมั่นสัญญาเรื่องนโยบายต่างประเทศว่า “อเมริกาต้องมาก่อน”

ทักเกอร์ คาร์ลสัน ผู้สื่อข่าวที่สนับสนุนทรัมป์ เขียนวิจารณ์อย่างดุเดือดเมื่อวันศุกร์ (13 มิ.ย.) โดยระบุว่า คำกล่าวอ้างของรัฐบาลที่จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องนั้นไม่เป็นความจริง และสหรัฐฯ ควรจะ “ทิ้งอิสราเอล” ได้แล้ว

เขาแนะนำว่า นายเนทันยาฮู “และรัฐบาลของเขาที่ต้องการสงคราม” กำลังดำเนินการในลักษณะที่จะดึงทหารสหรัฐฯ เข้ามาต่อสู้ในนามของเขา

คาร์ลสันเขียนว่า “การกระทำดังกล่าวจะเท่ากับเป็นการชูนิ้วกลางใส่หน้าผู้มีสิทธิเลือกตั้งนับล้านคนที่เข้าคูหาไปใช้สิทธิด้วยความหวังว่าจะจัดตั้งรัฐบาลที่ให้ความสำคัญกับสหรัฐฯ เป็นอันดับแรกในที่สุด”

ในทำนองเดียวกัน ผู้แทนสหรัฐฯ ผู้ภักดีต่อทรัมป์อย่างเหนียวแน่นอย่างมาร์จอรี เทย์เลอร์ กรีน โพสต์บนเอ็กซ์ว่า “ใครก็ตามที่อยากให้สหรัฐฯ เข้าไปเกี่ยวข้องอย่างเต็มที่ในสงครามอิสราเอล/อิหร่าน ไม่ใช่พวกอเมริกาต้องมาก่อน/MAGA”

ความเคลื่อนไหวนี้ถือเป็นความเปราะบางสำหรับทรัมป์ และยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้ทรัมป์ต้องถอยห่างสหรัฐฯ ออกจากการโจมตีของอิสราเอล และอย่างน้อยก็มีสัญญาณในที่สาธารณะว่าเขาได้ตอบสนองเรื่องนี้แล้ว

ข้อถกเถียงเรื่อง “ทำให้อเมริกากับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” (MAGA) ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ทรัมป์โพสต์บนโซเชียลมีเดียว่า เขาเข้าร่วมกับประธานาธิบดีวลาดีเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย ในการเรียกร้องให้ยุติสงครามในวันอาทิตย์ (16 มิ.ย.) เขากล่าวว่า อิหร่านและอิสราเอลควรทำข้อตกลง และยังบอกด้วยว่า “สหรัฐฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับการโจมตีอิหร่าน”

อิหร่านขู่ไว้แล้วว่าจะโจมตีฐานทัพของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้ หากวอชิงตันเข้ามาช่วยป้องกันอิสราเอล เหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้

ความเสี่ยงที่ชาวอเมริกันจะเสียชีวิตนั้น น่าจะทำให้ข้อโต้แย้งของกลุ่มสนับสนุนความคิดเรื่อง “ทำให้อเมริกากับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” (MAGA) มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันให้ทรัมป์ถอยหลังกลับและเร่งให้นายเนทันยาฮูยุติการรุกรานโดยเร็วที่สุด