
เทียบกำลังทหาร คลังอาวุธ และนิวเคลียร์ อินเดีย-ปากีสถาน ใครได้เปรียบใคร ?

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
ความตึงเครียดระหว่างประเทศอินเดียและปากีสถาน ทยานสู่จุดสูงสุดหลังเกิดการโจมตีนักท่องเที่ยวในเมืองพาฮาลแกม (Pahalgam) แคว้นแคชเมียร์ ที่ปกครองโดยอินเดีย และการยิvขีปนาวุธโจมตีสถานที่ 5 แห่งในปากีสถาน และในแคว้นแคชเมียร์ส่วนที่ปากีสถานปกครอง เมื่อค่ำของวันที่ 6 พ.ค. ที่ผ่านมา
ปากีสถานยืนยันจำนวนผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 31 ราย และบาดเจ็บอีก 57 ราย
ทั้งนี้ ประเทศปากีสถานและอินเดียเคยสู้รบกันมาแล้ว 3 ครั้ง โดยครั้งล่าสุดเกิดขึ้นในปี 1971 ซึ่งส่งผลให้ประเทศปากีสถานสูญเสียดินแดนส่วนหนึ่งและเกิดการก่อตั้งประเทศบังกลาเทศขึ้น การสู้รบครั้งที่สี่ คือสงครามจำกัดขอบเขตที่เมืองคาร์กิลในปี 1999 โดยเป็นสงครามครั้งแรกที่ทำให้เกิดความเสี่ยงเรื่องสงครามนิวเคลียร์ระหว่างสองประเทศเพื่อนบ้านนี้
ตามข้อมูลจากเว็บไซต์ World Firepower ซึ่งทำการติดตามอาวุธและกำลังทหารทั่วโลก ระบุว่าในปี 2025 นี้ อินเดียเป็นรองเพียงสหรัฐฯ รัสเซีย และจีน เท่านั้น ในแง่ความแข็งแกร่งทางการทหาร
ในทางกลับกัน ความแข็งแกร่งทางการทหารของปากีสถานถูกจัดอันดับอยู่ที่ 12 จากทั้งหมด 145 ประเทศ
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue finding outได้รับความนิยมสูงสุด
of ได้รับความนิยมสูงสุด
สถาบันที่จัดทำเว็บไซต์ดังกล่าวระบุว่า การจัดทำลิสต์ความแข็งแกร่งทางการทหารของประเทศต่าง ๆ จัดทำขึ้นโดยการพิจารณาปัจจัย 55 ประการ เช่น ปัจจัยด้านภูมิศาสตร์ เศรษฐกิจ อุตสาหกรรมในประเทศ ทรัพยากรธรรมชาติ ผลงานด้านต่าง ๆ และความสัมพันธ์ของประเทศนั้น ๆกับประเทศโลกที่หนึ่ง โลกที่สอง และโลกที่สาม
ในบทความนี้ บีบีซีจะพาไปหาคำตอบว่าประเทศอินเดียและปากีสถานที่มีอาวุธนิวเคลียร์ในครอบครองทั้งคู่นั้น มีความแข็งแกร่งทางการทหารเพียงใด
งบประมาณด้านความมั่นคง และจำนวนกองกำลังทหาร
งบประมาณด้านกลาโหมของอินเดียและปากีสถานมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ
ในปี 2024 อินเดียใช้จ่ายด้านกลาโหมมากกว่าปากีสถานถึง 9 เท่า ตามรายงานของสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสต็อกโฮล์ม (Stockholm World Peace Compare Institute – SIPRI) ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยด้านความมั่นคงของสวีเดน
รายงานฉบับนี้ยังระบุด้วยว่า ในปี 2025 อินเดียมีแผนที่จะใช้จ่ายด้านการทหารเป็นจำนวนเงินประมาณ 86,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.8 ล้านล้านบาท) ขณะที่ปากีสถานได้จัดสรรงบประมาณเพื่อกองทัพราว 10,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.2 แสนล้านบาท) สำหรับปีงบประมาณ 2024-2025
นอกจากนี้ อินเดียยังมีกำลังทหารภาคพื้นดินราว 2.2 ล้านนาย กองทัพอากาศ 310,000 นาย และกองทัพเรืออีก 142,000 นาย ด้านปากีสถานมีกำลังทหารในกองทัพบกราว 1.31 ล้านนาย, กองทัพอากาศ 78,000 นาย และกองทัพเรือ 1.4 ล้านนาย ตามข้อมูลของ World Firepower

ที่มาของภาพ : AFP by Getty Pictures
กองทัพอากาศ
สำหรับกองทัพอากาศ อินเดียได้เปรียบในเชิงตัวเลขเมื่อเทียบกับปากีสถาน โดยกองทัพอากาศของอินเดียมีกองบินทหารอากาศ 31กองบิน แต่ละกองบินมีเครื่องบินขับไล่ 17-18 ลำ ในขณะที่กองทัพอากาศของคู่แข่งอย่างปากีสถานมีเพียง 11 กองบินเท่านั้น
ทั้งนี้ อินเดียยังมีเครื่องบินทางการทหาร 2,229 ลำ ขณะที่ปากีสถานมี 1,399 ลำ โดยหากนับเฉพาะจำนวนเครื่องบินรบ อินเดียมีเครื่องบินรบ 643 ลำ (เครื่องบินขับไล่ 513 ลำ และเครื่องบินทิ้งsะเบิด 130 ลำ) ขณะที่ปากีสถานมีเครื่องบินรบ 418 ลำ (เครื่องบินขับไล่ 328 ลำ และเครื่องบินทิ้งsะเบิด 90 ลำ)
อาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของกองทัพอากาศปากีสถานคือเครื่องบินรบ 2 ลำ ได้แก่ F-16 ที่ซื้อมาจากสหรัฐฯ และ JF-17 Snarl ซึ่งถูกพัฒนาด้วยความช่วยเหลือจากจีน เป้าหมายในการพัฒนา JF-17 คือการสร้างเครื่องบินที่มีน้ำหนักเบาและสามารถปฏิบัติการเป็นเครื่องบินขับไล่ได้ในทุกสภาพอากาศ ทั้งเวลากลางวันและกลางคืน โดยเครื่องบินลำดังกล่าวสร้างขึ้นโดยความร่วมมือระหว่าง บริษัท Pakistan Aeronautical Advanced (PAC) และ Chengdu Airplane Switch ของจีน

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
การเพิ่มขีดความสามารถทางการทหารที่ผ่านมาไม่นานมานี้ของประเทศอินเดีย คือการนำเครื่องบินรบ Rafale ของฝรั่งเศส มาเสริมกำลังให้กับกองทัพอากาศ ซึ่งเครื่องบินรบดังกล่าวมีขีดความสามารถในการบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์ อีกทั้งยังสามารถยิvขีปนาวุธได้ไกลถึง 150 กิโลเมตรในอากาศ และสามารถโจมตีจากอากาศสู่พื้นดินได้ในระยะทาง 300 กิโลเมตร
เครื่องบินรบ Rafale เป็นรุ่นปรับปรุงใหม่ของเครื่องบินรบ Mirage 2000 ที่กองทัพอากาศอินเดียใช้ และปัจจุบันกองทัพอากาศอินเดียมีเครื่องบิน Mirage 2000 จำนวน 51 ลำ
นอกจากเครื่องบินขับไล่แล้ว ปากีสถานมีเครื่องบินขนส่ง 64 ลำ เครื่องบินฝึก 565 ลำ เครื่องบินเติมน้ำมัน 4 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ 430 ลำ รวมถึงเฮลิคอปเตอร์โจมตีอีก 57 ลำ
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอินเดีย กองทัพอากาศอินเดียมีเครื่องบินขนส่ง 270 ลำ เครื่องบินฝึก 351 ลำ เครื่องบินเติมน้ำมัน 6 ลำ และเฮลิคอปเตอร์ 979 ลำ รวมถึงเฮลิคอปเตอร์โจมตี 80 ลำ
อินเดียมีสนามบินที่ใช้งานได้ 311 แห่ง ในขณะที่ปากีสถานมี 116 แห่ง
กองทัพบก

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
เมื่อดูกันที่จำนวนรถถัง สถิติของ World Firepower ระบุว่า ปากีสถานมีรถถังทั้งหมด 2,672 คัน แต่อินเดียมีมากกว่านั้นถึงหนึ่งเท่าครึ่ง หรือ 4,201 คัน
รถถังของปากีสถานถือว่ามีน้ำหนักเบา โดยมีน้ำหนัก 46,000 กิโลกรัม เมื่อเทียบกับรถถัง Leopard 2 ที่ผลิตในเยอรมนีและ M1 Abrams ที่ผลิตในอเมริกา ซึ่งมีน้ำหนัก 60,000 กิโลกรัม
รถถังเหล่านี้ได้รับการพัฒนาขึ้นในประเทศปากีสถาน โดยใช้เครื่องยนต์ดีเซลระบายความร้อนด้วยของเหลวที่ใช้ในรถถัง ‘Six TD2' Tecnis ของยูเครน ซึ่งมีกำลัง 1,200 แรงม้า และความเร็วสูงสุด 70 กม./ชม.
เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างสองประเทศ อินเดียมีรถถัง Arjun Mk 1A และ Mk 2 โดย Mk 2 ซึ่งเป็นรุ่นอัปเกรดของ Arjun Mk 1 รถถังนี้มีเครื่องยนต์ 1,400 แรงม้า และสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็ว 70 กม./ชม.
อาวุธอื่น ๆ ได้แก่ ปืนกลขนาด 7.62 มม. ปืนสกัดกั้นอากาศยาน และปืนกลขนาด 12.7 มม. สำหรับเป้าหมายภาคพื้นดิน นอกจากนี้ รถถังยังมีระบบการมองเห็นในเวลากลางคืน เพื่อการมองเห็นในที่มืด ซึ่งไม่มีในรถถังรุ่นก่อนหน้า
โดยอินเดียมีรถถังดังกล่าว 3,147 คัน ในขณะที่ปากีสถานมี 2,604 คัน
ในแง่ของปืนใหญ่ ปากีสถานมีความเหนือกว่าอินเดียในแง่ของปืนอัตโนมัติ โดยปากีสถานมีปืนแบบนี้ 662 กระบอก มากกว่าอินเดียที่มี 100 กระบอก
อย่างไรก็ตาม อินเดียมีปืนติดยานยนต์ 3,975 กระบอก ขณะที่ปากีสถานมีปืนดังกล่าว 2,629 กระบอกในคลังแสง
นอกจากนี้แล้ว ยังดูเหมือนว่าปากีสถานจะเหนือกว่าในแง่ของยานยนต์ยิvจรวดหลายลำกล้อง โดยที่ปากีสถานมีปืนใหญ่จรวดหลายลำกล้อง 600 กระบอก ในขณะที่กองทัพอินเดียมีปืนใหญ่ดังกล่าว 264 กระบอก ตามข้อมูลของ World Firepower
กองทัพเรือ
ในแง่ของกองกำลังทางเรือ อินเดียอยู่เหนือกว่าปากีสถานในแง่ของจำนวนกองเรือ
อินเดียมีเรือบรรทุกเครื่องบิน 2 ลำคือ INS Vikram Aditya และ INS Vikrant ในจำนวนนี้ Vikrant เป็นเรือที่อินเดียสร้างขึ้นเองและส่งมอบให้กับกองทัพเรือในปี 2022
ในทางตรงกันข้าม ปากีสถานไม่มีเรือบรรทุกเครื่องบินเลย
กองทัพเรืออินเดียมีเรือทั้งหมด 293 ลำ ซึ่งรวมถึงเรือตรวจการณ์ 135 ลำ เรือพิฆาต 13 ลำ เรือฟริเกต 14 ลำ และเรือคอร์เวต (เรือรบขนาดเล็ก) 18 ลำ ตามข้อมูลของ World Firepower
กองทัพเรืออินเดียยังมีเรือดำน้ำ 18 ลำด้วย โดย 3 ลำเป็นเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ได้แก่ ‘Arihant' ‘Arigath' และ ‘Aridhman'
ขณะที่ปากีสถานมีเรือดำน้ำ 8 ลำ ซึ่งในจำนวนนี้คือเรือดำน้ำคลาส Agusta 90B จำนวน 3 ลำ เรือดำน้ำคลาส Agusta 70 จำนวน 2 ลำ และเรือดำน้ำคลาส Cosmos ขนาดเล็กอีก 3 ลำ
นอกจากนี้ ปากีสถานยังกำลังจัดหาเรือดำน้ำคลาส Hangur มาเพิ่มอีกจำนวน 8 ลำ ด้วยความช่วยเหลือจากจีน โดย 4 ลำจะถูกผลิตขึ้นในปากีสถาน
เรือในกองทัพของปากีสถานมี 121 ลำ ในจำนวนี้รวมถึงเรือตรวจการณ์ 69 ลำ เรือฟริเกต 9 ลำ และเรือคอร์เวต 9 ลำ รวมถึงเรือวางทุ่นsะเบิดอีก 3 ลำ

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
โครงการขีปนาวุธ
โครงการขีปนาวุธของปากีสถานประกอบด้วยขีปนาวุธทางยุทธวิธีแบบร่อน และแบบยิvในสนามรบ รวมถึงขีปนาวุธพิสัยใกล้และพิสัยกลาง
ขีปนาวุธทางยุทธวิธี ได้แก่ ขีปนาวุธ Hatf-1 และ Nasr ของซีรีส์ Hatf ซึ่งสามารถโจมตีเป้าหมายได้ในระยะ 60 ถึง 100 กิโลเมตร
ทั้งนี้ ขีปนาวุธพิสัยใกล้ของปากีสถาน ได้แก่ ขีปนาวุธ Abdali ที่มีระยะยิv 200 กิโลเมตร, ขีปนาวุธ Ghaznavi ที่มีระยะยิv 300 กิโลเมตร, ขีปนาวุธ Raad ที่มีระยะยิv 350 กิโลเมตร, ขีปนาวุธ Babur ที่มีระยะยิv 700 กิโลเมตร และขีปนาวุธ Shaheen-1 ที่มีระยะยิv 750-1,000 กิโลเมตร
ในช่วงที่ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานปะทุขึ้น หลังจากการโจมตีนักท่องเที่ยวในเมืองพาฮาลแกม แคว้นแคชเมียร์ ที่อินเดียปกครองในเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ปากีสถานได้ทำการทดสอบขีปนาวุธอับดาลี (Abdali) อีกรุ่นหนึ่ง ข้อมูลของหน่วยงานด้านสื่อสารมวลชนและประชาสัมพันธ์ของกองทัพปากีสถาน ระบุว่า ขีปนาวุธพื้นสู่พื้นรุ่นนี้สามารถโจมตีเป้าหมายได้ในระยะทาง 450 กิโลเมตร
ขีปนาวุธพิสัยกลางของปากีสถาน ได้แก่ Ghauri-1 และ Ghauri-2, Ababeel, Shaheen II และ Shaheen III
ในจำนวนดังกล่าวนี้ Ghauri-1 สามารถโจมตีเป้าหมายได้ในระยะทาง 1,500 กิโลเมตร, Ghauri-2 โจมตีได้ในระยะทางมากกว่า 2,000 กิโลเมตร และขีปนาวุธ Ababeel มีพิสัยการยิvอยู่ที่ 2,200 กิโลเมตร
Shaheen II และ III เป็นขีปนาวุธพิสัยไกลที่สุดของปากีสถาน โดยมีพิสัยการยิvอยู่ที่ 2,500 ถึง 2,750 กิโลเมตร ตามลำดับ
Ababeel และ Shaheen III เป็นขีปนาวุธหลายลำกล้อง (More than one Reentry Autos – MRVs) ที่ออกแบบมาเพื่อทำลายตัวขีปนาวุธและโล่ป้องกันขีปนาวุธข้ามทวีปของศัตรู ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่า ขีปนาวุธทั้งสองชนิดนี้เป็นระบบขีปนาวุธที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในคลังขีปนาวุธของปากีสถาน
ดร.มานซูร์ อาห์เหม็ด อาจารย์ด้านการศึกษาด้านยุทธศาสตร์และการป้องกันประเทศที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติแคนเบอร์รา กล่าวว่า Ababeel เป็นขีปนาวุธรุ่นแรกในเอเชียใต้ที่สามารถบรรจุหัวรบนิวเคลียร์หรืออาวุธนิวเคลียร์ระยะทางไกลถึง 2,200 กิโลเมตรได้หลายลูก และสามารถโจมตีหลายเป้าหมายได้

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
ในทางกลับกัน โครงการขีปนาวุธของอินเดีย มีตั้งแต่ขีปนาวุธ Prithvi ที่มีพิสัย 250-600 กิโลเมตร ไปจนถึงขีปนาวุธซีรีส์ Agni ที่มีพิสัย 1,200-8,000 กิโลเมตร รวมถึงขีปนาวุธร่อนซีรีส์ Nirbhaya และ Brahmos
Agni เป็นขีปนาวุธข้ามทวีป และ Agni-V ก็มีพิสัยกว่า 7,000-8,000 กิโลเมตร
ขีปนาวุธ Dhanush ของอินเดียเป็นขีปนาวุธพิสัยใกล้ที่ต้องถูกยิvออกจากเรือ เป็นขีปนาวุธรุ่นที่สามในซีรีส์ Prithvi ซึ่งประกอบด้วย Prithvi-1, Prithvi-2 และ Prithvi-3 โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการป้องกันประเทศเชื่อว่า Dhanush เป็นขีปนาวุธที่ใช้เชื้อเพลิงเหลว และสามารถบรรทุกหัวรบนิวเคลียร์หรือหัวรบแบบธรรมดาได้
นอกจากนี้ อินเดียยังมีขีปนาวุธ K-15 หรือ B-05 ซึ่งเรียกอีกอย่างว่า Sagarika หรือ Shaurya เป็นขีปนาวุธที่ยิvจากเรือดำน้ำ และมีพิสัยประมาณ 700 กิโลเมตร
อีกทั้ง BrahMos ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง ซึ่งเป็นได้ทั้งอาวุธทั่วไปและอาวุธนิวเคลียร์ แต่ยังมีข้อควรจำด้วยว่า ในปี 2022 ขีปนาวุธ BrahMos เคยไปตกในปากีสถานเช่นกัน ซึ่งกระทรวงกลาโหมของอินเดียระบุว่าขีปนาวุธดังกล่าวถูกยิvมาจากอินเดียโดยอุบัติเหตุ
นอกจากนี้ อินเดียยังทดสอบขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงพิสัยไกลสำเร็จเมื่อเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว ซึ่งรัฐมนตรีกลาโหม ราชนาถ สิงห์ เรียกว่าเป็น “ความสำเร็จครั้งสำคัญของประเทศ” และเป็น “ช่วงเวลาประวัติศาสตร์”
ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงพิสัยไกลนี้สามารถโจมตีเป้าหมายได้ในระยะทางมากกว่า 1,500 กิโลเมตร และสามารถโจมตีศัตรูได้จากทั้งสามสถานที่ ได้แก่ อากาศ บนบก และในน้ำ
ขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง (hypersonic) เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงกว่าเสียงถึง 5 เท่า ไปยังเป้าหมาย ในขณะที่ขีปนาวุธความเร็วต่ำกว่าเสียง (subsonic) ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเสียง และขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงทั่วไป (supersonic) เคลื่อนที่ได้เร็วกว่าเสียง 2-3 เท่า
โดรน
ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างก็กำลังเพิ่มจำนวนโดรนทางทหารในคลังอาวุธของตน โดยไม่เพียงแต่ซื้อโดรนจากต่างประเทศหลายลำเท่านั้น แต่ยังพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองที่สามารถติดตาม สอดส่อง หรือกำหนดเป้าหมายศัตรูโดยไม่ต้องมีนักบินด้วย
โดรนที่ใช้ในวัตถุประสงค์ทางทหารสามารถบินได้ในระดับสูงเป็นเวลานาน สามารถตรวจสอบกิจกรรมทางทหารบนพื้นดิน การวางกำลัง การติดตั้งที่สำคัญ การก่อสร้างใหม่ ฐานทัพทหาร ฯลฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ปรากฏบนเรดาร์ และสามารถทำลายเป้าหมายอย่างเจาะจงได้
หากเราเปรียบเทียบขีดความสามารถทางทหารของอินเดียและปากีสถานในแง่ของโดรน จะเห็นได้ชัดว่าทั้งสองประเทศได้เพิ่มขีดความสามารถของตนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ราหุล เบดี นักวิเคราะห์ด้านการป้องกันประเทศ กล่าวกับบีบีซีว่า “อินเดียคาดว่าประเทศจะมีโดรนประมาณ 5,000 ลำในอีก 2-4 ปีข้างหน้า”
ในเดือน ต.ค. ปีที่แล้ว อินเดียได้ลงนามข้อตกลงกับสหรัฐอเมริกาเพื่อซื้อโดรน Predator จำนวน 31 ลำ มูลค่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ Predator ถือเป็นโดรนที่ประสบความสำเร็จและอันตรายที่สุดในโลก
แม้ว่าปากีสถานจะมีโดรน “น้อยกว่า” อินเดีย แต่โดรนที่ปากีสถานครอบครองก็มีความสามารถที่แตกต่างกัน และมีการออกแบบที่แตกต่างกันอีกกว่า 10-11 แบบ ตามคำให้สัมภาษณ์ของ ราหุล เบดี
ทั้งนี้ ปากีสถานมีโดรนหลากหลายประเภท ทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้า

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
โดรนที่ผลิตในประเทศปากีสถาน ได้แก่ โดรนซีรีส์ Shahpar, Buraq และ Uqab
Shahpar-3 เป็นโดรนรบระยะกลางที่ทันสมัยและบินได้นาน 30 ชั่วโมง และมีการติดตั้งขีปนาวุธ ในขณะที่ Buraq เป็นโดรนรบลำแรกของปากีสถานที่ใช้ต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายในปี 2015
โดรน Uqab ใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางยุทธวิธี (เช่น การเฝ้าระวังและแก้ไขทิศทางการยิv) โดรนเหล่านี้ส่วนใหญ่ผลิตในปากีสถานทั้งหมด โดยมีการนำเข้าส่วนประกอบเพียงไม่กี่ชิ้น เช่น เครื่องยนต์
นอกจากนี้ ปากีสถานยังนำเข้าโดรนสมัยใหม่จากตุรกีและจีน รวมถึง Bayraktar Akanji TB2, Bayraktar Akanji และ CH-4 ของจีน ซึ่งติดตั้งเทคโนโลยีล่าสุดและสามารถเฝ้าระวัง กำหนดเป้าหมาย และบินระยะไกลได้
อาวุธนิวเคลียร์
ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างก็มีอาวุธนิวเคลียร์ แต่รายงานของ World Firepower ไม่ได้มีการกล่าวถึงอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งทางองค์กรดังกล่าวระบุว่าไม่ได้มีการประเมินศักยภาพด้านนิวเคลียร์ในรายงานของตน
อย่างไรก็ตาม ตามรายงานปี 2024 ของสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสต็อกโฮล์ม พบว่าทั้งสองประเทศมีหัวรบนิวเคลียร์ที่เท่าเทียมกัน
ทั้งนี้ หากอ้างอิงตามรายงานดังกล่าว อินเดียมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 172 หัว และปากีสถานมีหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 170 หัว แต่ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า ทั้งสองประเทศมีหัวรบนิวเคลียร์ที่พร้อมปฏิบัติการอยู่กี่หัว
จีนซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของทั้งอินเดียและปากีสถาน อีกทั้งยังเป็นมหาอำนาจนิวเคลียร์ที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก ได้เพิ่มคลังอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นร้อยละ 22 โดยเพิ่มหัวรบนิวเคลียร์จาก 410 หัวเป็น 500 หัว
ที่มา BBC.co.uk