
เสียงปืนดังเป็นระลอก 2-3 ชุด เมื่อตอนประมาณเช้าตรู่ตี 5 ของวันที่ 28 พ.ค. 2568 บริเวณช่องบก อำเภอน้ำยืน จ.อุบลราชธานี ภายหลังชาวบ้านในพื้นที่บ้านโนนสูง อ.น้ำยืน ได้รับแจ้งว่าเป็นการยิvปะทะกันระหว่างทหารกองกำลังสุรนารี และทหารกัมพูชา จนทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 ราย ส่วนสาเหตุการปะทะยังคงไม่กระจ่างชัด เพราะว่าต่างฝ่ายต่างอ้างว่าไม่ใช่ผู้เปิดฉากลั่นไกก่อน
แม้ว่าข้อเท็จจริงยังไม่ชัดเจน แต่ส่วนที่ชัดเจนกว่าตอนนี้คือกระแสความตึงเครียดระลอกใหม่ระหว่างคนไทย-กัมพูชาที่ก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ที่เห็นได้ชัดคือกระแสบนโลกออนไลน์ไทยที่แสดงความไม่พอใจอย่างรุนแรงถึงขนาดโพสต์ป้ายห้ามชาวกัมพูชาใช้บริการร้านอาหาร โพสต์ข้อความเชิงข่มขู่ว่าถ้าพบเจอชาวกัมพูชาก็อาจจะมีการเข้าไปทำร้ายร่างกาย วิจารณ์การรับมือของรัฐบาล ไปจนถึงถกเถียงวิธีการแก้ไขข้อพิพาท แต่ดูเหมือนเสียงของคนชายแดนที่อาศัยอยู่หน้าด่านของการปะทะจะเบาบางมากว่าพวกเขาคิดเห็นต่อสถานการณ์เหล่านี้อย่างไร
นั่นจึงเป็นที่มาที่ประชาไทเริ่มสำรวจสถานการณ์บริเวณชายแดนต่างๆ และความเห็นของคนชายแดนต่อข้อพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชาระลอกใหม่นี้ เป็นอย่างไร
เริ่มที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พื้นที่ใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา และเคยได้รับผลกระทบจากเหตุยิvปะทะกันระหว่างทหารไทยและกัมพูชาจากข้อพิพาทเขตแดนเขาพระวิหาร เมื่อปี 2554
ความขัดแย้งระลอกใหม่นี้ สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนเริ่มมีการเตรียมตัวรับมือเหตุการณ์รุนแรง โดยเมื่อ 30 พ.ค.ที่ผ่านมา พบว่ามีเอกสารจากฝ่ายความมั่นคง อำเภอกันทรลักษ์ แจ้งประชาชนถึงรายละเอียดแผนเผชิญเหตุให้กับชาวบ้าน มีการกำหนดจุดต่างๆ ในการอพยพเคลื่อนย้ายหาที่ปลอดภัย หากมีความรุนแรงเกิดขึ้นในบริเวณชายแดน
นอกจากนี้ ข้อความของนายอำเภอกันทรลักษ์ ถึงชาวบ้านได้ขอความร่วมมือประชาชนห้ามสิ่งเหล่านี้ ประกอบด้วย
- งดขึ้นภูเขาหาของป่า
- ห้ามติดต่อชาวกัมพูชา
- ห้ามโพสต์ห้ามแชร์บนโซเชียลมีเดีย เมื่อเห็นกองกำลังทหารเคลื่อย้ายกำลังพล
- ขอให้ฟังข่าวจากเสียงส่วนกลางของทางราชการเท่านั้น
ผู้สื่อข่าวติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง อ.กันทรลักษ์ เพื่อขอความเห็นเพิ่มเติมเรื่องมาตรการรับมือ และสถานการณ์บริเวณชายแดน แต่ทางเจ้าหน้าที่ขอปฏิเสธให้สัมภาษณ์ เนื่องจากตนเองยังเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา แต่ให้ข้อมูลเบื้องต้นว่าสถานการณ์ชายแดนตอนนี้ประชาชนยังอยู่ปกติ มีการให้นักเรียนซักซ้อมอพยพเข้าหลบหลุมหลบภัย และประสานกับประชาชนในเรื่องจุดอพยพเอาไว้แล้วว่าหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นจะต้องไปที่ใดบ้าง
อย่างไรก็ดี แม้สถานการณ์ยังคงปกติ ณ ห้วงเวลานี้ แต่จากการสอบถามแหล่งข่าวในพื้นที่พบว่า ชาวบ้านก็มีความวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการประกาศซักซ้อมแผนเผชิญเหตุก่อนหน้านี้ และเริ่มมีทหารเดินทางเข้ามาในพื้นที่เยอะขึ้น เรื่องนี้ทำให้พวกเขารู้สึกว่าข่าวลือที่จะมีการรบกันอาจเกิดขึ้นจริง
‘ช่องบก' ซูเปอร์มาร์เกตของชาวบ้าน
หลบมาอีกด้านบ้านโนนสูง ต.โดมประดิษฐ์ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี หมู่บ้านสุดท้ายก่อนที่จะขึ้นไปยังพื้นที่จุดปะทะช่องบกเมื่อ 28 พ.ค.2568 ชายแดนไทย-ลาว-กัมพูชา
สถานการณ์ใกล้บริเวณช่องบกเท่าที่รับทราบจากชาวบ้าน มีการแจ้งแผนเผชิญเหตุให้ประชาชนได้ทราบแล้วว่า หากเกิดความรุนแรงขึ้น จะต้องรวมพล และอพยพไปยังที่ไหน
บังเกอร์ หรือภาษาท้องถิ่นเรียกว่า ‘เบิม' ตอนนี้ผู้ใหญ่บ้านบ้านโนนสูงพาคนมาทำความสะอาดเบิมกันช่วงนี้ และจะเอาทรายมาถมส่วนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ โดยเบิมอันหนึ่งจะอยู่ได้ประมาณ 20-30 คน (ภาพจาก สานแสงดาว นามวา)
สำหรับบ้านโนนสูง มีบ้านเรือนประมาณ 200 กว่าหลังคาเรือน และมีประชากรในพื้นที่ประมาณ 500 คน พูด 4 ภาษาคือ ไทย ลาว กัมพูชา และภาษาชาติพันธุ์ ‘ส่วย’ สะท้อนถึงความเป็นพหุวัฒนธรรมในพื้นที่
สานแสงดาว นามวา อดีตอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านอนุรักษ์ธรรมชาติเขตภูจองนายอย ให้ความเห็นว่า วิถีของผู้คนแถบนี้นอกจากทำนา ทำไร่ และทำสวนแล้วยังมีอาชีพเสริมตามฤดูกาลเช่นเข้าป่าหาเห็ด พืชผักผลไม้ น้ำผึ้งป่า เพื่อบริโภคในครัวเรือนและซื้อขายในศาลากลางหมู่บ้าน
สานแสนดาว กล่าวว่า ถ้าเกิดมีการปิดด่านนานๆ ก็น่าจะกระทบชาวบ้าน เพราะว่าศาลาตรีมุข หรือ ‘สามเหลี่ยมมรกต' เป็นจุดค้าขายสำคัญ แม่ค้าบ้านโนนสูงจะไปขายเสื้อผ้า เครื่องอุปโภคบริโภค มาม่า และน้ำดื่ม ส่วนทางคนกัมพูชาจะเอาของป่ามาขายอย่างน้ำผึ้งป่า โดยเขาขอใช้คำเปรียบเทียบว่าเป็น ‘ซูเปอร์มาร์เกต' ของคนท้องถิ่น
นอกจากสามเหลี่ยมมรกตแล้ว ‘เนิน 500' ที่อยู่ไม่ห่างกันมาก ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชมวิว 3 ประเทศได้พร้อมกัน และเป็นจุดถ่ายภาพพรีเวดดิ้งของคู่รัก ดังนั้น เขาจึงมองว่าถ้ามีการปิดด่านกิจกรรมทางเศรษฐกิจเหล่านี้ก็คงจะสะดุดหยุดลง
“จุดที่เกิดเหตุเลยคือ ‘ซูเปอร์มาร์เกต' ของชาวบ้านโนนสูงครับ”
“เนิน 500 เป็นสถานที่พรีเวดดิ้ง ศาลาตรีมุข จะเป็นสถานที่ค้าขายแลกเปลี่ยน เพราะว่าเป็นจุดที่เขาเอาของมาขายกัน และอุทยานฯ เขาไม่ได้เข้มงวดเหมือนเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขาสามารถให้ชาวบ้านเข้าไปหาเห็ดหาผักได้ เป็นแหล่งหาน้ำผึ้งป่า ก็อยู่ด้วยกันแบบพี่กับน้อง
“อย่างน้อยๆ ชาวบ้านโนนสูงเขาจะขึ้นไปหาบักจอง (ลูกสำรอง) โลละ 400 บาท ที่มาของชื่อภูจองนายอย ตอนนี้เข้าฤดูของบักจองหรือลูกสำรอง ก่อนที่จะเกิดการปะทะแค่ประมาณแค่สัปดาห์กว่าๆ เท่านั้น เพราะงั้นก็จะยิ่งกระทบในมิติของการหาอยู่หากิน” สานแสงดาว พยายามทำให้ผู้สื่อข่าวที่อยู่ห่างไกลจากชายแดน ฝั่ง อ.น้ำยืน เห็นภาพตาม
จุดชมวิวเนิน 500 (ที่มา: แฟ้มภาพ เมื่อ 21 ม.ค. 2568 เฟซบุ๊ก ททท.สำนักงานอุบลราชธานี Tat UbonRatchathani)
เรื่องนี้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดนัดจุดผ่อนปรนช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี แม้ว่าจะเป็นวันที่มีตลาดนัด แต่ก็เงียบเหงาลงไปถนัดตา จากความตึงเครียดชายแดนพุ่งสูง
รายงานของสำนักข่าว ไทยพีบีเอส เมื่อ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ระบุว่า บรรยากาศตลาดนัดชายแดนจุดผ่อนปรนสินค้า ‘อานม้า’ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ชาวบ้านไทย-กัมพูชาที่แต่เดิมเดินทางมาซื้อของจากเดิม 400-500 คน ตอนนี้เหลือแค่ 100-200 คนเท่านั้น
แม่ค้าชาวไทย เผยว่า กระแสข่าวปิดด่านจากเหตุปะทะระหว่างทหารไทยและกัมพูชา ส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดน พ่อค้าแม่ค้าไม่ขึ้นมาขายสินค้าเพราะกังวลกับสถานการณ์
ส่วนแม่ค้าชาวกัมพูชาบอกว่า ชาวไทยและกัมพูชาตามแนวชายแดนยังไปมาหาสู่กัน แม้จะมีข่าววางกำลังของทหารทั้ง 2 ฝ่าย อยากให้สถานการณ์คลี่คลาย เพราะตอนนี้ลำบากมาก
ทั้งนี้ ช่องอานม้า เป็นจุดผ่อนการค้า ไทย-กัมพูชา เปิดให้มีการค้าขาย 2 วันคือวันอังคาร วันพฤหัสบดี และวันเสาร์ ระหว่างเวลา 08.00 – 16.00 น. สินค้าที่ชาวกัมพูชานำมาขายคือของป่าตามฤดูกาล เช่น เห็ด ผักพื้นบ้าน ส่วนสินค้าที่ชาวกัมพูชาซื้อจากฝั่งไทย คือสินค้าอุปโภคบริโภค นม น้ำดื่ม ไก่ และมะพร้าว
ชาวบ้านมองเหตุการณ์ไม่น่าบานปลาย
ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติ กล่าวว่า เรื่องที่มีรายงานข่าวว่ากองทัพเขมรรุกล้ำหรือมาขุดสนามเพลาะเขตแดนไทย ชาวบ้าน บ้านโนนสูง แบ่งความเห็น 2 ฝ่าย โดยบางคนเชื่อตามกระแสข่าวว่าทหารกัมพูชารุกล้ำเข้ามาจริง ขณะเดียวกัน บางคนไม่แน่ใจนัก เพราะว่าสภาพภูมิประเทศกัมพูชาค่อนข้างอยู่ต่ำกว่าเขตแดนไทย การที่ทหารกัมพูชาจะเข้ามาขุดสนามเพลาะน่าจะเป็นเรื่องที่ลำบาก
นอกจากนี้ จากการคุยกับชาวบ้านบ้านโนนสูง พวกเขามองว่าเหตุการณ์ไม่น่าจะบานปลาย เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนอุบลฯ และคนกัมพูชา เขาไปมาหาสู่กัน เขาถึงมองว่ามันไม่น่าจะมีอะไรรุนแรง เขาก็รู้จักกัน ไม่ได้มีอคติเรื่องเชื้อชาติ
เมื่อถามเรื่องความกังวลของคนบ้านโนนสูง สานแสงดาว เล่าว่า ชาวบ้านมีความเห็นแตกต่างกัน 3 มุมมอง ทั้งคนที่กังวลทั้งด้านความปลอดภัย กังวลในเรื่องการเก็บของป่าและวิถีชีวิต และบ้างก็มองเป็นโอกาสในแง่รายได้ในพื้นที่
- คนที่กังวลเพราะว่าเห็นทหารเข้ามาในพื้นที่จำนวนมาก เห็นรถทหารวิ่ง-ไปมามันก็น่ากังวล อาจมีความรุนแรง
- คนที่อยากให้เปิดด่านเร็วๆ เพื่อที่ชาวบ้านจะได้เข้าไปเก็บของป่าตามวิถีชีวิตของคนที่นี่
- มองเป็นโอกาสสร้างรายได้จากการเข้ามาตรึงกำลังของทหาร
“ชาวบ้านเขามีอยู่ 2-3 มุมมอง มุมมองที่หนึ่งก็คือว่า เขาอยากให้รีบเปิดด่าน เพราะคิดถึงเห็ด เพราะว่าฤดูกาลนี้เป็นหน้าฤดูเห็ด เพราะว่าเป็นวิถีชีวิตของเขา เห็ดเผาะ เห็ดระโงก เห็ดปลวก เห็ดน้ำหมาก หลายเห็ดที่เอาไปทำอาหารอร่อย เห็ดธรรมชาติ
“แม่ค้าเงาะพูดให้ผมฟัง โนนสูงเขามีพืชเศรษฐกิจ อาศัยแรงน้ำจากห้วยพลาญเสือตอนล่าง มีทั้งเงาะ มีทั้งทุเรียน แม้กระทั่งแม่ค้าเงาะก็ยังบอกว่าคิดถึงเห็ด ถ้าด่านเปิดเมื่อไรจะหยุดขายเงาะเพื่อไปเก็บเห็ดก่อน
“อีกส่วนหนึ่งก็คือเขาได้ขายของ พวกข้าวเหนียวส้มตำ ปิ้งไก่ เหล้าเบียร์ ขายให้ทหาร” สานแสงดาว ระบุ
ทหารที่เข้ามาซื้อของที่ร้านค้าในบ้านโนนสูง (ภาพจาก สานแสงดาว นามวา)
แม่ค้าเงาะในบ้านโนนสูง อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี (ภาพจาก สานแสงดาว นามวา)
บทเรียนจาก ‘ภูมิซรอล'
เหตุพิพาทเขตแดนที่เกิดขึ้นระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกอย่างที่ทราบ แต่เคยมีการปะทะกันหนักหน่วงช่วงกรณีปราสาทเขาพระวิหารเมื่อปี 2554 และบ้านภูมิซรอล ต.เขาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ คือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบอย่างมากในแง่เศรษฐกิจ และคนที่ให้ความเห็นเราเรื่องนี้คือ ทรงฤทธิ์ โพนเงิน นักวิชาการอิสระ
“ถ้าคุณเคยไปพื้นที่ภูมิซรอล ก่อนขึ้นปราสาทเขาพระวิหาร มันมีตลาดชายแดน มีศูนย์อาหารมีอะไรเยอะแยะมากมาย และการมีนักท่องเที่ยวไป มันก็ทำให้ชาวบ้านที่นั่นมีรายได้
“แต่พอรบกัน ทุกอย่างเป็นศูนย์ คำตอบมันก็ชัดเจนว่าคงไม่มีใครอยากเห็น พื้นที่ตรงนั้นมันเป็นมรดกโลกแล้ว มันควรจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของทุกคนในโลกนี้ ที่จะไปเยี่ยมและไปชมมันจะสง่างามขนาดไหน ยืนอยู่ได้ยังไง” ทรงฤทธิ์ กล่าว
ถ้าเราจำได้ ชาวบ้านภูมิซรอล เคยถือป้ายประท้วงการก่อสงคราม และประท้วงกลุ่มเสื้อเหลือง หรือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ขอคืนพื้นที่ทับซ้อนจากกัมพูชา แต่แน่นอนถ้าเกิดการยิvกัน คงไม่มีใครชอบอยู่แล้ว
หวังคนชายแดนมีสิทธิมีเสียงแก้ไขปัญหา
สานแสงดาว กล่าวว่า ในเรื่องการแก้ไขปัญหา ปกติไม่เคยมีคนชายแดนอยู่ในเรื่องนี้อยู่แล้ว ส่วนใหญ่เป็นส่วนกลางที่ตัดสินใจแก้ไขปัญหา คนชายแดนเขาก็อยากมีสิทธิมีเสียงในการแก้ไขปัญหาในพื้นที่ เพราะว่าตอนนี้ทหารมามันกระทบชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา และที่ได้ไปคุยมาบริเวณอุทยานแห่งชาติภูจองนายอย ตอนนี้สงวนไว้สำหรับฝ่ายความมั่นคงลาดตระเวน ชาวบ้านไม่สามารถไปตรงนั้นได้
“ได้คุยกับทางท้องถิ่น ถ้าเขามีสิทธิมีเสียงในเรื่องนี้ มันน่าจะแก้ไขปัญหาร่วมกันได้กับฝั่งกัมพูชา ส่วนกลางก็ไม่ต้องทำอะไรให้มันเกินเหตุ เขาพูดทำนองนี้” สานแสงดาว ระบุ
อดีตอาจารย์จากอำเภอน้ำยืนมองด้วยว่า กองทัพตอนนี้ทำตัวเหมือนนักฟุตบอลที่โดนแตะตัวหน่อย ก็เรียกให้กรรมการแจกใบแดงฝั่งตรงข้ามอยู่
“ผมว่าเกมนี้ถ้าเป็นฟุตบอล ฝ่ายความมั่นคงไทยนี่ เจอสลึงอยากได้บาท เจอกระแทกนิดหน่อย อยากพุ่งล้มเอาใบแดง อยากให้กรรมการแจกใบแดงให้อีกฝั่ง
“วิธีแก้ไขคือต้องให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการตัดสินใจชะตาชีวิตของพวกเขา เขาอยากให้เรื่องชายแดนมันเป็นอย่างไร” สานแสนดาว ระบุ
อย่าตอบโต้นอกวิถีการทูต
ขณะที่ทรงฤทธิ์ เสนอว่า รัฐบาลไทยยังไงก็ต้องแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการทางการทูตเป็นหลัก ไม่ทำอะไรนอกกรอบ ไม่ใช้วิธี ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ และอย่าตกหลุมพรางของฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่ตอนนี้พยายามใช้ข้อพิพาทเขตแดนสร้างความนิยมและเบี่ยงประเด็นจากปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ซบเซาหลังเจอประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นภาษีศุลากร 49% หนักที่สุดในภูมิภาคอาเซียน
“ใช้ขั้นตอนสเต็ปทางการทูต ถ้าเขาเคลื่อนกำลังพล เราก็เคลื่อน ถ้าเขายิvก่อน เราก็ยิvกลับ ถ้าเขารุกล้ำเข้ามา ก็เรียกทูตเข้ามาเตือน และเรียกทูตเข้าพบ รัฐมนตรีต่างประเทศต้องทำหน้าที่ เราประท้วงข้อนั้นข้อนี้ไปเลย และอย่ายื่นเงียบ ทำให้โปร่งใส เรียกสื่อเสรีมาเลย แถลงเลย อย่าไปตอบโต้สิ่งที่อยู่นอกกรอบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” นักวิชาการอิสระ กล่าว
ทรงฤทธิ์ มองว่า ทางการไทยควรใช้วิธีการแก้ไขปัญหาตามหลักข้อตกลงร่วมปี 2543 (MOU43) โดยเจตนาของ MOU43 คือทำเขตแดนที่ไม่ชัดเจนให้ชัดเจน วิธีการทำให้ชัดเจนคือการเดินสำรวจร่วมกัน ซึ่งเป็นวิธีที่สากลโลกให้การยอมรับ
ข้อมูลปัจจุบันไทยมีหลักเขตแดนพื้นที่ราบทั้งหมดกับกัมพูชา 73 หลักเขต แต่สำรวจไปแล้ว Forty eight หลัก เห็นพ้องต้องกันเพียง 33 หลัก และ 15 หลักยังคงขัดแย้งกัน
ความเห็นของทรงฤทธิ์ มองว่าควรเดินสำรวจทั้งหมดก่อน และมาตกลงกัน แต่นี่ขั้นตอนแรกของการปักปันเขตแดนยังไม่ได้เลย จะไปขั้นตอนอื่นๆ ได้อย่างไร
ส่วนที่กัมพูชา ปฏิเสธการใช้วิธีการสำรวจตาม MOU43 ถือว่าเป็นการกระทำที่นอกเหนือกรอบปฏิบัติสากล เพราะว่าการยกเลิก MOU43 ต้องเป็นความพร้อมใจกันทั้ง 2 ฝ่ายว่าจะไม่ปฏิบัติตามอันนี้แล้ว ปฏิเสธฝ่ายเดียวไม่ได้
ไทยเริ่มใช้มาตรการกดดันแบบขั้นบันได ‘จำกัดปิด-เปิดด่านชายแดน' โต้กัมพูชาเสริมกำลัง
เพจพรรคเพื่อไทย รายงานวันที่ 7 มิ.ย. 2568 ระบุว่า นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ดังใจ สุวรรณกิตติ โฆษกกระทรวงกลาโหม และ พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ร่วมกันแถลงข่าวประกาศใช้มาตรการกดดันแบบขั้นบันได “ควบคุม–ปิดจุดผ่านแดน” ใกล้บ่อนพนัน
สืบเนื่องเมื่อ 28 พ.ค. 2568 ฝ่ายไทยได้ใช้ความอดทนอย่างที่สุด และแสดงความจริงใจต่อกัมพูชา ด้วยการผลักดันให้ใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ โดยเฉพาะ JBC เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในวงจำกัด หลีกเลี่ยงการลุกลามที่กระทบประชาชน โดยเน้นสันติวิธีเป็นหลัก
จนกระทั่ง ต่อมา เมื่อ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ทั้งสองประเทศได้หารือที่ จ.สระแก้ว ฝ่ายไทยเสนอให้ “ถอนกำลังกลับสู่ระดับปกติ” และ “เคารพแนวปฏิบัติร่วม” เพื่อป้องกันปะทะที่ไม่จำเป็น แต่ข้อเสนอกลับถูกฝ่ายกัมพูชาปฏิเสธทันที และมีการเสริมกำลังเพิ่มขึ้น รวมถึงการไม่ปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจ MOU43 ซึ่งเป็นหลักสำคัญของกลไกสันติภาพ
ฝ่ายไทยจึงเห็นว่าจำเป็นต้องยื่นคำขาด และเดินหน้ามาตรการตอบโต้เป็นขั้นบันได โดยเริ่มจากการ “ควบคุม–ปิดจุดผ่านแดน” อย่างรอบคอบ
ตามมติสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เมื่อ 6 มิ.ย. 2568 รัฐบาลได้มอบหมายให้กองทัพบกเป็นแกนนำดำเนินการ โดยคำนึงถึงความมั่นคง ความปลอดภัย และผลกระทบต่อประชาชนทั้งสองประเทศ
ฝ่ายไทยยืนยันจะหลีกเลี่ยงการใช้กำลังทหาร แต่หากมีการละเมิดอธิปไตยหรือการกระทำที่ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง ไทยจะดำเนินมาตรการอย่างเป็นระบบ และค่อยเป็นค่อยไป
การควบคุม-ปิดด่าน มี 4 ขั้นตอน โดยเฉพาะ “การปิดจุดผ่านแดนที่ใกล้กับบ่อนการพนัน” ถือเป็นมาตรการสำคัญในระยะเร่งด่วน
พล.ต.วินธัย ชี้แจงว่า กองทัพภาคที่ 1 และ 2, หน่วยบัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด ได้รับอำนาจดำเนินการร่วมกับหน่วยปกครองและตำรวจ โดยมีขั้นตอนดังนี้:
1. จำกัดบุคคลเข้า-ออก
– กลุ่มเป้าหมายคือผู้มีพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ผู้เดินทางไปเล่นการพนันข้ามแดน หรือเกี่ยวข้องกับกิจกรรมผิดกฎหมาย พร้อมกับเปิดทางให้กลุ่มจำเป็น เช่น นักเรียน ผู้ป่วย ผู้สูงอายุ เดินทางได้ตามปกติ
2. จำกัดเวลา
– ปรับเวลาการเปิด–ปิดด่านให้สั้นลง ตามความเหมาะสมในแต่ละพื้นที่
3. ปิดจุดที่ไม่จำเป็น
– โดยเฉพาะจุดที่ตั้งอยู่ใกล้ บ่อนการพนันผิดกฎหมายฝั่งกัมพูชา หรือมีประวัติการลักลอบผิดกฎหมายซ้ำซาก จะถูกพิจารณาปิดก่อนเป็นอันดับแรก
4. ปิดตลอดแนวชายแดน (ในกรณีจำเป็น)
– หากสถานการณ์ลุกลามโดยไม่มีความร่วมมือใด ๆ มาตรการสุดท้ายคือการปิดด่านทั้งหมด ซึ่งต้องผ่านการประเมินร่วมในทุกระดับ โดยยึดหลัก “ความปลอดภัยของประชาชนและกำลังพล” เป็นอันดับหนึ่ง
ล่าสุด ด่านอรัญประเทศ จ.สระแก้ว ได้เริ่มทดลองปิดเร็วขึ้นเป็นเวลา 16.30 น. ซึ่งถือเป็นมาตรการนำร่อง พล.ต.วินธัย ย้ำว่า การปิด-เปิดด่านแต่ละแห่ง จะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทหาร ปกครอง และตำรวจในพื้นที่ โดยเน้นความยืดหยุ่นและสอดคล้องกับข้อเท็จจริงเฉพาะจุด
โฆษกกลาโหม กล่าวเสริมว่า ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ได้ให้แนวทางชัดเจนตั้งแต่ต้นว่า ไม่ต้องการใช้กำลัง ไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามไม่มีความจริงใจ จึงต้องเริ่มดำเนินมาตรการตอบโต้ โดยให้กองทัพบกนำแผนไปสู่การปฏิบัติ
ในช่วงท้าย นิกรเดช ตอบคำถามผู้สื่อข่าวด้วยว่า ไทยยังคงยืนยันจะใช้กลไกทวิภาคีอย่าง JBC ซึ่งมีกำหนดประชุมในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ และหวังว่าจะยังสามารถจัดการประชุมได้ตามกำหนด เพื่อหาทางออกที่ยั่งยืน ลดความตึงเครียดในพื้นที่ และรักษาความสัมพันธ์ในภาพรวมระหว่างสองประเทศ
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )