“ฉันเปิดคาเฟ่ให้คนมาคุยกันเรื่องความเสียชีวิต แล้วคุณจะรู้ว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด”

ที่มาของภาพ : Jenny Watt

เจนนี วัตต์ เปิดร้านคาเฟ่แห่งความเสียชีวิต หลายแห่งในเมืองกลาสโกว์ (Glasgow) ประเทศสกอตแลนด์ ตั้งแต่ปี 2022

Article info

  • Creator, โจนาธาน เกดเดส และ ฟิโอน่า สตอล์คเกอร์
  • Feature, บีบีซี สกอตแลนด์

สำหรับเจนนี วัตต์ ความเสียชีวิต คือส่วนสำคัญของชีวิตเธอ

ในวัย 31 ปี เจนนี่ใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามคืนต่อสัปดาห์ในการพูดคุยกับผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็นคนคุ้นเคยหรือคนที่พบกันครั้งแรก ในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับความเสียชีวิต ตั้งแต่การจัดการกับความโศกเศร้าไปจนถึงการเลือกเพลงที่จะใช้ในงานศw

เจนนี่ บริหารคาเฟ่แห่งความเสียชีวิตไม่กี่สาขาในเมืองกลาสโกว์ ประเทศสกอตแลนด์ โดยให้เป็นพื้นที่ที่สนับสนุนให้เกิดบทสนทนา และการแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับหัวข้อที่ผู้คนมักไม่อยากพูดถึง

บีบีซี สกอตแลนด์ เข้าร่วมงานวงสนทนาที่คาเฟ่แห่งความเสียชีวิต ซึ่งโดยปกติแล้วมีขึ้นเป็นประจำทุกอาทิตย์ โดยเจนนี เชื่อว่า วงสนทนาเหล่านี้จะสามารถทลายความเชื่อที่ว่า การพูดเรื่องความเสียชีวิตเป็นเรื่องต้องห้ามได้

แต่อะไรกันที่ทำให้ใครสักคนอยากจะใช้เวลาพูดถึงเรื่องจุดจบของชีวิต ?

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Demolish of ได้รับความนิยมสูงสุด

เจนนีคาดการณ์ว่า ราวครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้เข้าร่วมต้องการจัดการความโศกเศร้า ไม่ว่าจะมาจากการสูญเสียที่เพิ่งเกิด หรือเกิดขึ้นมานานถึง 20 หรือ 30 ปีแล้ว

“เหมือนกับการถูกเรียกให้เข้าเป็นพยาบาล หรือการเข้าศาสนา ฉันสนใจในเรื่องของความเสียชีวิตมาตลอด” เธออธิบาย

“ความเสียชีวิตเกิดขึ้นกับทุกคน มันอาจเป็นประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับคุณกับความสัมพันธ์ที่ทำให้คุณกำลังเศร้าโศก แต่ถ้าคุณรู้สึกเช่นนั้นเพียงลำพัง มันอาจเป็นประสบการณ์ที่โดดเดี่ยวได้”

“เมื่อคุณเริ่มพูดถึงมัน ความเสียชีวิต คุณจะรู้ว่ามันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด”

เจนนี เข้าร่วมวงสนทนาของคาเฟ่แห่งความเสียชีวิตครั้งแรกในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ทางออนไลน์ และเธอย้ำว่า เธอไม่ได้ต้องการจัดการกับ “ภาวะความโศกเศร้าอันเลวร้าย” แต่เพียงสนใจในหัวข้อการสนทนาเท่านั้น

โดยเมื่อการพูดคุยแบบพบหน้ากันเริ่มกลับมาดำเนินการตามปกติได้อีกครั้ง เธอกลับไม่สามารถหากลุ่มที่สนับสนุนบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องโศกเศร้านี้ในเมืองกลาสโกว์ได้

นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เธอตัดสินใจจัดตั้งพื้นที่สำหรับตั้งวงสนทนาดังกล่าวเอง เมื่อประมาณสองปีครึ่งที่แล้ว ในเขตแบทเทิลฟิลด์ (Battlefield) เมืองกลาสโกว์ พร้อมกับความกังวลที่ว่าจะไม่มีใครมาเข้าร่วม แต่ผู้คนก็หลั่งไหลเข้ามา บางครั้งก็เป็นการมาเพียงครั้งคราว แต่บางคนก็เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อจิบชาและกินเค้กสักชิ้นในขณะที่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องความเสียชีวิตและการมีชีวิต

“ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้เลย”

ในคืนหนึ่งที่ผู้สื่อข่าวบีบีซี สกอตแลนด์ เข้าร่วมวงสนทนาที่คาเฟ่ของเจนนี ผู้เข้าร่วมนั้นมีทั้งคนที่มาเป็นประจำและผู้ที่มาเป็นครั้งแรก และความสนใจที่ทำให้เข้าร่วมวงสนทนาก็แตกต่างกันออกไป

นอกเหนือจากผู้ที่กำลังจัดการกับความโศกเศร้าอยู่ เจนนีเชื่อว่า ผู้เข้าร่วมอีกราว 25% เป็นผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการร้ายแรง หรือที่ผู้ที่กำลังดูแลใครสักคนอยู่ โดยผู้เข้าร่วมอื่นคนอื่น ๆ มักจะเป็นผู้ที่เข้ามาเพียงเพราะความสนใจในหัวข้อสนทนา

“เรื่องอะไรก็ตามที่ผู้คนอยากจะพูด ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้เลย” เจนนี กล่าว

“ผู้คนหัวเราะ แล้วก็ร้องไห้ และในท้ายที่สุด ฉันคิดว่าทุกคนได้เรียนรู้อะไรบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการไตร่ตรองถึงประสบการณ์ของตนเองหรือการตระหนักได้ทันทีว่า พวกเขาควรทำใบมอบอำนาจ”

นิโคลา สมิธ กล่าวว่า การพูดคุยเกี่ยวกับความเสียชีวิตมากขึ้นเป็นสิ่งสำคัญ

ความคิดเห็นข้างต้นของเจนนี สอดคล้องกับนิโคลา สมิธ หนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมวงสนทนาเป็นประจำในเขตแบทเทิลฟิลด์

โดยมีวันหนึ่งที่เธอเข้าร่วมวงสนทนาในวันเดียวกัน กับวันที่เธอเสียเพื่อนสนิทคนหนึ่งไป และเธอก็ “น้ำตาไหล” หากแต่การได้ปลดปล่อยอารมณ์ก็ไม่ใช่เพียงเหตุผลเดียวที่ทำให้นิโคลา เข้าร่วมวงสนทนานี้อย่างสม่ำเสมอ

“มัน ความเสียชีวิต เป็นส่วนที่สำคัญมากของชีวิต แต่ถึงกระนั้นเรากลับไม่พูดถึงมัน” เธอกล่าวกับบีบีซี สกอตแลนด์

“เราไม่รู้จะจัดการกับมัน ความเสียชีวิต อย่างไร เพราะเราไม่พูดถึงมันมากพอ ฉันสูญเสียญาติที่ฉันรักเมื่อตอนที่ลูกฉันยังเล็ก และนั่นเป็นครั้งแรกที่ลูกสาวเห็นฉันร้องไห้

“ลูกถามฉันว่า ทำไมหน้าของฉันเปียก และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันได้อธิบายว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะร้องไห้ และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นเวลาที่คุณต้องเสียใครสักคนที่คุณรักไป มันไม่ใช่ความอ่อนแอ และมันไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องทำอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ”

ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้ในวงสนทนาเกี่ยวกับความเสียชีวิต ที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกสัปดาห์

นิโคลา กล่าวเสริมด้วยว่า หัวข้อสนทนาเรื่องความเสียชีวิตกลายมาเป็นเรื่องต้องห้ามในยุคปัจจุบันเนื่องจาก การดูแลแบบประคับประคองที่ได้รับความนิยมมากขึ้น ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1960 ซึ่งทำให้จำนวนคนที่เสียชีวิตในบริเวณบ้านลดลง

แนวโน้มดังกล่าวสามารถอธิบายการเติบโตที่เพิ่มมากขึ้นของคาเฟ่แห่งความเสียชีวิตได้ โดยคาเฟ่ดังกล่าวเกิดขึ้นในสหราชอาณาจักรครั้งแรกเมื่อปี 2011 ในกรุงลอนดอน แต่ปัจจุบันมีคาเฟ่แห่งความเสียชีวิตกว่า 3,794 แห่งทั่วทั้งสหราชอาณาจักร

ประเทศสกอตแลนด์ มีคาเฟ่เหล่านี้จำนวนหลายสิบแห่ง ตั้งแต่ที่ตั้งอยู่ในเมืองอูลลาพูล (Ullapool) ไปจนถึง เมืองเคิร์กคูด์บรีท์ (Kirkcudbright) แต่ส่วนใหญ่แล้วคาเฟ่เหล่านี้มักจะกระจุกตัวอยู่ในบริเวณตัวเมืองเช่น ในเมืองกลาสโกว์ หรือ เมืองเอดินเบอระ (Edinburgh)

หัวข้อบทสนทนาจะหมุนเวียนไปมาในระหว่างการประชุม ตั้งแต่คำแนะนำเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับพินัยกรรมและหนังสือมอบอำนาจ ไปจนถึงการตกผลึกเกี่ยวกับประสบการณ์ส่วนตัว

หัวข้อเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของหัวข้อบทสนทนาที่กว้างขวางเกี่ยวกับการสูญเสียและการดูแล ซึ่งสามารถถูกขยายความได้จากงาน “ไขปริศนาของความเสียชีวิต” (Demystifying Loss of life) ประจำสัปดาห์ในเดือน พ.ค. ที่มุ่งเน่นช่วยเหลือให้ผู้คนสนับสนุนซึ่งกันและกันในช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เลวร้าย

จอห์น แม็คเคย์ ผู้เข้าร่วมอีกรายในคาเฟ่แห่งความเสียชีวิตของเจนนี ได้เขียนวิทยานิพนธ์ ปริญญาเอกเกี่ยวกับความเสียชีวิต และกระบวนการไว้ทุกข์ โดยเขาเข้าร่วมคาเฟ่แห่งความเสียชีวิตครั้งแรกในเมืองกลาสโกว์ ด้วยความตั้งใจที่อยากจะพูดคุยแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมเกี่ยวกับหัวข้อข้างต้น

“มีเรื่องต้องห้ามมากมายเกี่ยวกับความเสียชีวิต แต่คุณสามารถมองมันอย่างเบาสมองลงได้” เขากล่าว

“ปัญหาคือผู้คนไม่พูดถึงเรื่องนี้ หากคุณเห็นงานศwจากวัฒนธรรมอื่น มันมักจะเสียงดังและมีการแสดงออกทางความรู้สึกอย่างมาก แต่กับประเทศนี้ งานศwมักจะเป็นงานที่สงวนตัวมาก

“คุณต้องแน่ใจว่าคุณไม่ได้พูดอะไรผิด ๆ ออกไป และสวมเสื้อผ้าที่เหมาะสม บางทีการปล่อยวางบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี”

มุมมองต่อชีวิต

ผู้เข้าร่วมวงสนทนาคนอื่น ๆ กล่าวว่า ประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าร่วมนั้นช่างเรียบง่าย มันคือการได้เห็นมุมมองต่อชีวิต

สเปนเซอร์ เมสัน เคยพยายามที่จะจบชีวิตของตนเองแต่ตอนนี้เมสัน กำลังจัดการกับการที่ต้องดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่เขาใกล้ชิดด้วย

“ผมคิดว่ายิ่งเราพูดถึงความเสียชีวิตมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเห็นคุณค่าของการมีชีวิตมากขึ้นเท่านั้น” เมสัน กล่าว พร้อมเสริมด้วยว่า “ในสถานการณ์ที่ฉันเคยเฉียดเสียชีวิต ฉันกลับหลุดพ้นออกมาด้วยความต้องการอยากมีชีวิตอยู่มากที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็น”