
ย้อนอ่านประวัติศาสตร์ “ปาตานี” ฉบับย่อ ในวันที่ไฟใต้ยังไม่สงบ

ที่มาของภาพ : Wasawat Lukharang/BBC Thai
Article files
- Creator, ธันยพร บัวทอง
- Role, ผู้สื่อข่าว.
ในประสบการณ์ของผู้ที่ผ่านระบบการศึกษาทางการของไทย ประวัติศาสตร์ของ “ปาตานี” หรือปัตตานี อันหมายถึงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ของไทยในปัจจุบัน อาจเป็นเรื่องที่ไม่ได้ผ่านการรับรู้มาเท่าใดนัก เมื่อเทียบกับประวัติศาสตร์สุโขทัย อยุธยา รัตนโกสินทร์ หรือแม้แต่เพื่อนบ้านอย่างพม่า
ขณะเดียวกันเมื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ความขัดแย้งความรุนแรงที่เกิดขึ้นร่วมสมัยตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ปัจจุบันก็กินเวลาเกิน 20 ปีแล้ว และภายใต้รัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ก็ยังไม่เห็นความคืบหน้าของโต๊ะเจรจาสันติภาพเท่าใดนัก ในขณะเดียวกันเหตุความรุนแรงก็เกิดถี่ขึ้น นี่จึงอาจเป็นจังหวะที่ดีที่จะย้อนดูความเป็นมาของพื้นที่ปลายด้ามขวานแห่งนี้
บทความนี้พยายามรวมและเรียงประวัติศาสตร์ของปาตานี ผ่านหลากหลายมุมมอง โดยอ้างอิงจากหนังสือ งานศึกษาวิจัยและบทความวิชาการทางประวัติศาสตร์ 3 ชิ้นหลัก ซึ่งอ้างอิงหลักฐานจากแห่งอื่น ๆ เพิ่มเติม ประกอบการสัมภาษณ์ผู้ทำวิจัยและนักวิชาการประวัติศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสามจังหวัดชายแดนใต้
สำหรับเอกสารอ้างอิง 3 แหล่งหลัก ที่บทความนี้อ้างอิง ได้แก่
1. บันทึกเหตุการณ์สำคัญในปาตานี-จังหวัดชายแดนใต้ ผลการศึกษาเบื้องต้นของทีมวิชาการ Deep South Museum & Archives (DSMA), สิงหาคม 2567
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด
Stop of ได้รับความนิยมสูงสุด
2. บทความวิจัยเรื่อง ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐไทยกับปัต (ปา) ตานี ก่อนรัฐสมัยใหม่จนถึงสนธิสัญญาแองโกลสยาม พ.ศ. 2452 (ค.ศ. 1909): มุมมองที่แตกต่างหลากหลาย โดยอรอนงค์ ทิพย์พิมล, สิงหาคม 2564
3. หนังสือ ปาตานี ฉบับชาติ(ไม่)นิยม สงครามช่วงชิงอำนาจก่อนปักปันเส้นเขตแดน เขียนโดย วันอิฮซาน ตูแวสิเดะ สำนักพิมพ์มติชน ตีพิมพ์ 2567 (หนังสือพัฒนามาจากวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ในหัวข้อ “ปาตานีภายใต้ความเคลื่อนไหวทางการเมือง ค.ศ. 1808-1909”
กำเนิด ‘ปาตานี' ในสมัยอยุธยา
ประวัติศาสตร์ของปาตานี (หรือปัตตานี โดยบทความนี้จะใช้คำว่า ปาตานี เป็นหลัก) ซึ่งหมายถึงพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ของไทยในปัจจุบัน ก่อนถูกผนวกรวมเป็นส่วนหนึ่งของสยาม มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สืบย้อนไปได้ถึงสมัยอยุธยา
จากข้อมูลบันทึกเหตุการณ์สำคัญในปาตานี-จังหวัดชายแดนใต้ ของทีมวิชาการพิพิธภัณฑ์และหอจดหมายเหตุชายแดนใต้ (DSMA, 2567) ระบุว่า ตามพงศาวดารกรุงเก่า (ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์) อยุธยาถูกก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการโดยพระเจ้าอู่ทอง เมื่อปี พ.ศ. 1893
ขณะที่ปาตานี ถูกก่อตั้งขึ้นโดยเจ้าเมืองโกตามะลิฆัยแห่งราชวงศ์ศรีวังสา ซึ่งเป็นเมืองตอนในของคาบสมุทรลังกาสุกะ (นักวิชาการส่วนใหญ่เชื่อว่าลังกาสุกะนั้นตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองโบราณยะรัง) และได้ย้ายมาจากเมืองเดิมออกมาอยู่บริเวณชายฝั่งทะเล หรือบริเวณกรือเซะ (ปัจจุบันคือเขตเมือง จ.ปัตตานี) และให้ชื่อว่า “ปาตานี” เมื่อ พ.ศ. 1943 (ค.ศ. 1400) หลังจากอยุธยากำเนิด 50 ปี
เอกสารของ DSMA ระบุว่า เดิมทีดินแดนนี้นับถือผีถิ่น พราหมณ์ฮินดู และพุทธนิกายมหายาน แต่ต่อมาชาวบ้านเริ่มเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม ก่อนที่เจ้าเมืองปาตานี คือพญาอินทิรา จะเปลี่ยนตามในปี พ.ศ. 2043 พร้อมกับเปลี่ยนชื่อเป็น “อิสมาอีล ชาห์”

ที่มาของภาพ : Wasawat Lukharang/BBC Thai
อรอนงค์ (2564) ระบุว่า หัวใจหลักของความสัมพันธ์ทั้งสองฝ่ายคือ “รัฐไทยถือว่าปัต (ปา) ตานี เป็นประเทศราชหรือเมืองขึ้นจากการที่ปัต (ปา) ตานีส่งเครื่องราชบรรณาการให้อยุธยา ซึ่ง รศ.ดร.ทวีศักดิ์ เผือกสม อาจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ ม.นเรศวร เสนอว่า ผู้ที่สถาปนามุมมองเช่นนี้คือ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่นิพนธ์ในงานทางประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่งไว้ว่า “ปัตตานีเปนเมืองขึ้นของไทยมาแต่ดึกดำบรรพ์” และทวีศักดิ์วิเคราะห์ว่า “ดึกดำบรรพ์” น่าจะหมายถึงอาณาจักรสุโขทัย” (ณ ที่แสงเทียนสลัวเลือน: ประวัติศาสตร์นิพนธ์ปัตตานีในสถานการณ์สู้รบ, 2560)
ในขณะเดียวกัน “ปาตานีมองการส่งเครื่องราชบรรณาการว่าเป็นแค่การยอมรับการมีอำนาจที่เข้มแข็งกว่าของอยุธยาในบางช่วงเท่านั้น และการส่งเครื่องราชบรรณาการก็ไม่ได้กระทำอย่างต่อเนื่อง หากแต่มีบางช่วงที่ปาตานีไม่ส่งเครื่องราชบรรณาการเช่นกัน จึงมิอาจกล่าวได้ว่าปาตานีอยู่ภายใต้การครอบครองหรือเป็นเมืองขึ้นของอยุธยา”
การสู้รบครั้งสุดท้ายระหว่างปาตานีและอยุธยาเกิดในปี พ.ศ. 2234 ทำให้ปาตานีต้องกลับมาส่งบรรณาการอีกครั้ง หลังจากนั้นไม่ปรากฏการสู้รบกันอีกจนกระทั่งอยุธยาเสียกรุงใน พ.ศ. 2310 (ชุลีพร วิรุณหะ, 2558 ในงานของ อรอนงค์ ทิพย์พิมล)
ปาตานีสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และการถูกแบ่งออกเป็น 7 หัวเมือง
สมัยต้นรัตนโกสินทร์ในช่วงรัชกาลที่ 1 เกิดสงครามใหญ่ขึ้นระหว่างสยามและปาตานี
หลังจากสงครามเก้าทัพกับพม่า รัชกาลที่ 1 ทรงสั่งให้ “สุลต่านเจ้าเมืองตานี” ยอม “เป็นขอบขัณฑสีมาดังแต่ก่อน” แต่เจ้าเมืองไม่ยอม จึงยกทัพมาปราบปาตานีเพื่อให้ยอมเป็นประเทศราชในปี พ.ศ. 2329 (ค.ศ. 1786) จากนั้นได้กวาดต้อนชาวบ้านและเชลยลงเรือกลับมาพร้อมข้าวของ อาวุธ และปืนใหญ่ ซึ่งปัจจุบันปืน “กระบอกของปาตานีตั้งอยู่หน้ากระทรวงกลาโหม” (DSMA)
ผลของสงครามครั้งนี้ ปาตานีพ่ายแพ้เละเสียหายย่อยยับ DSMA ระบุว่า “สงครามครั้งนี้นำมาซึ่งการสูญเสียเอกราชจากมุมมองของปาตานี” ด้วย และเป็นไปได้ว่ามัสยิดกรือเซะก็ได้รับความเสียหายจากสงครามนี้เช่นกัน
จากสงครามครั้งนั้น สยามสามารถควบคุมปาตานีได้โดยให้อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าเมืองสงขลา และสยามยังตั้งผู้ปกครองเมืองปาตานี ซึ่งหลังจากนั้นได้เกิดการก่อกบฏโดยผู้นำเก่าเชื้อสายมลายูอยู่หลายครั้ง และบางครั้งผู้ก่อกบฏก็เป็นผู้นำที่สยามแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองด้วย

ที่มาของภาพ : Wasawat Lukharang/BBC Thai
เมื่อมีการกบฏหลายครั้ง จึงนำมาสู่การแบ่งแยกปาตานีออกเป็น 7 หัวเมือง ได้แก่ ปาตานี, ยะหริ่ง, สายบุรี, หนองจิก, รามันห์, ระแงะ และยะลา ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปลาย ร.1 หรือ ร.2 ยังไม่เป็นที่แน่ชัด
งานวิจัยของอรอนงค์ (2564) ระบุว่า “การแบ่งปัตตานีออกเป็น 7 หัวเมืองถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของประวัติศาสตร์ปัตตานี นั่นคือการที่รัฐไทย (สยาม) เข้าไปควบคุมอำนาจทางการเมืองการปกครองโดยตรง ซึ่งต่างจากสมัยอยุธยาที่ไม่ได้มีการควบคุมในด้านการเมืองปกครองโดยตรงแบบนี้”
สถานะเดิมของปาตานีที่มีสุลต่านและรายา (เปรียบได้กับกษัตริย์) 1 คน กลายสถานะเป็นมีเจ้าเมืองหลายคน วันอิฮซาน ผู้เขียนหนังสือ ปาตานี ฉบับชาติ (ไม่) นิยม กล่าวกับ.ว่า “หากเป็นภาษาทางรัฐศาสตร์ นี่คือ การ divide and rule หรือแบ่งแยกแล้วปกครอง จากกษัตริย์มีคนเดียวคือเพิ่มอีก 6 คน กลายเป็น 7 คน” ซึ่งเป็นการทำให้ทั้ง 7 หัวเมืองคานอำนาจกันเอง
“เมื่อเป็น 7 หัวเมือง จึงเกิดการทะเลาะกันเองบ้าง ทำสงครามกันเองบ้าง จุดนี้เองที่ทำให้ปาตานีมีความอ่อนแอ แล้วเจ้าเมืองทุกคนทั้ง 7 คน ต้องถูกแต่งตั้งจากสยามเท่านั้น”
ด้านอาจารย์ ดร.ฐนพงศ์ ลือขจรชัย อาจารย์ภาควิชาสาขาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เสนอว่า ในเชิงข้อเท็จจริงแล้ว เขามองว่า “อาณาจักร/รัฐ” ปาตานี ได้ถูกสลายตั้งแต่ช่วงเวลาแบ่งแยก 7 หัวเมืองแล้ว ดังนั้น คำถามคือ “ปาตานียังดำรงอยู่หรือไม่” และหากย้อนไปยังสมัยอยุธยาตอนปลาย ราชวงศ์ของปาตานีได้ถูกทำลายหมดแล้ว และสยามได้ตั้งสุลต่านขึ้นใหม่จากสายตระกูลกลันตันทั้งหมด
“เมื่อรัชกาลที่ 1 รบชนะปาตานี ก็ได้ตัดสายตระกูล (ปาตานี) ทิ้งหมด แล้วตั้งคนที่เป็นขุนนางระดับรอง ขึ้นมาปกครองแทน ดังนั้น ในแง่ของการฟื้นคืนชีพขึ้นมาของปาตานีในยุคหลังเป็นการฟื้นคืนในเชิงจิตวิญญาณ แต่หากดู truth (ข้อเท็จจริง) ทางประวัติศาสตร์การสืบสาย (ราชวงศ์ปาตานี) ไม่เหลือแล้ว” ดร.ฐนพงศ์ กล่าว
การถอดยศสุลต่านองค์สุดท้ายของปาตานี ในสมัย ร.5
การปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งทรงโปรดให้มีการจัดระบบการปกครองเป็น 3 ส่วน หนึ่งในการจัดการปกครองใหม่คือ จัดตั้งมณฑลเทศาภิบาลขึ้น 18 มณฑล โดยมีพระราโชบายเมื่อปี พ.ศ. 2435 (ค.ศ. 1892)
ปาตานีเองก็อยู่ในกระแสการถูกปฏิรูปการปกครองครั้งนั้นด้วย
“มีการรวมหัวเมืองต่าง ๆ ให้เป็นหนึ่งเขตเรียกว่า ‘มณฑล' มี ‘ข้าหลวงเทศาภิบาล' เป็นผู้ว่าราชการ ยุบเลิกการปกครองแบบสุลต่าน และให้เรียกสุลต่านเมืองปัตตานี เต็งกูอับดุลกาเดร์ กามารุดดิน ว่า ‘พระยาวิชิตภักดี' หรือ ‘พระยาตานีศรีสุลต่าน'” เอกสารจากทีมวิชาการ DSMA ระบุ
งานของอรอนงค์ (2564) ระบุว่า ผลของการปฏิรูปการปกครองที่เกิดกับปาตานี คือการลดทอนอำนาจของเจ้าเมือง โดยข้าหลวงใหญ่เป็นคนสยามแทนบรรดารายา/สุลต่านเดิม นำไปสู่ความไม่พอใจของบรรดาเจ้าพระยาเมือง และเกิดการต่อต้าน
นอกจากนี้ ข้าราชการและผู้สำเร็จราชการที่สยามส่งไปประจำหัวเมืองมลายูทั้งเจ็ด ไม่มีความรู้ทางภาษาและขนบธรรมเนียม กฎหมายท้องที่ที่นำไปใช้ก็ค่อย ๆ ลิดรอนอำนาจของเจ้าเมืองโดยเฉพาะการเก็บภาษี ร่วมกับการปฏิบัติตัวของข้าราชการสยามที่ “ทำลายวัฒนธรรมของชาวมลายูมุสลิมโดยการออกกฎหมายต่าง ๆ ที่ขัดต่อหลักยุติธรรมในศาสนาอิสลาม พยายามนำพิธีกรรมของศาสนาพุทธเข้าไปในสังคมมลายูมุสลิม”
จากนั้นได้เกิดกระบวนการต่อรองทางการเมืองระหว่างปาตานีกับสยามหลายครั้ง และมีความพยายามจากปาตานีที่ขอให้อังกฤษเข้ามาแทรกแซงด้วย
ปี พ.ศ. 2444 (ค.ศ. 1901) เต็งกูอับดุลกาเดร์ กามารุดดิน เจ้าเมืองปาตานี ถูกลวงให้ลงนามในเอกสารที่กลายเป็นการยอมรับ “การปกครองท้องที่ ร.ศ.116” กฎหมายของสยามที่กำหนดให้มีกำนันผู้ใหญ่บ้าน ยกเลิกตำแหน่งสุลต่าน และยอมให้สยามมีอำนาจเด็ดขาดในพื้นที่ (เอกสาร DSMA อ้างอิง ชัยวัฒน์ สถาอานันท์, ความรุนแรงกับการจัดการ “ความจริง”: ปัตตานีในรอบกึ่งศตวรรษ, 91)
ท้ายที่สุดข้าราชการสยามได้บังคับให้เจ้าเมืองปาตานีผู้นี้ลงนามยอมรับกฎหมายอีกฉบับ โดยนำกำลังทหารนับร้อยนายมาด้วย แต่เจ้าเมืองปฏิเสธ จึงถูกจับและถูกจำคุกในข้อหาขัดคำสั่งพระมหากษัตริย์สยาม
เต็งกูอับดุลกาเดร์ กามารุดดิน ถูกถอดจากตำแหน่งเจ้าเมืองปาตานี นับเป็นสุลต่านองค์สุดท้ายในประวัติศาสตร์ปาตานี ในปี พ.ศ. 2445 (ค.ศ. 1902) เขาถูกกักขังอยู่ 2 ปี 9 เดือน ก่อนถูกปล่อยตัวและย้ายไปอยู่กลันตันและเสียชีวิตที่นั่น
สนธิสัญญาแองโกล-สยาม 1909 ปาตานีถูกผนวกรวมเป็นสยาม
เจ็ดหัวเมืองมลายูหรือปาตานีถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยามอย่างเป็นทางการ ในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากอังกฤษและสยามทำสนธิสัญญาแองโกล-สยาม ปี 1909 (Anglo-Siamese Treaty of 1909) หรือใน พ.ศ. 2452
สนธิสัญญาฉบับนี้เกิดขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์การรุกคืบของชาติตะวันตกในดินแดนอินโดจีน โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส
ก่อนหน้านี้สยามเผชิญกับวิกฤตปากน้ำ ร.ศ. 112 เมื่อปี พ.ศ. 2436 (ค.ศ. 1893) ซึ่งฝรั่งเศสส่งเรือรบมาถึงกรุงเทพฯ และปะทะกับทหารไทยเพื่อกดดันให้สยามเพิกถอนการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และจบลงด้วยสยามยอมลงนามในสนธิสัญญา 1893
ต่อมาอังกฤษและฝรั่งเศสตกลงทำปฏิญญาเพื่อกำหนดให้สยามเป็นรัฐกันชน แต่ไม่ได้ระบุถึงดินแดนภาคใต้และมลายู จึงทำให้สยามกังวลกับปฏิญญาฉบับนี้ นำมาสู่การทำสัญญาลับระหว่างสยามและอังกฤษ (อรอนงค์, 2564) ในปี พ.ศ. 2440 (ค.ศ. 1897) หรือที่เรียกว่าอนุสัญญาลับปี 1897
ดร.ฐนพงศ์ ลือขจรชัย จาก ม.ศิลปากร อธิบายประวัติศาสตร์ช่วงนี้กับ.ว่า เดิมทีอังกฤษไม่ต้องการดินแดนมลายูที่เป็นของสยาม แต่สิ่งที่อังกฤษทำ อังกฤษได้เซ็นสนธิสัญญาลับดังกล่าว หลังวิกฤตปากน้ำที่ไทย สยามรบกับฝรั่งเศส
“อังกฤษเซ็นสนธิสัญญา (ลับกับสยาม) ว่าดินแดนภาคใต้ของสยาม ตั้งแต่บางสะพานของประจวบคีรีขันธ์ จนมาถึงจรดเขตแดนอังกฤษ คือ กลันตัน ตรังกานู ยกให้เป็นของสยาม แต่ทรัพยากรทั้งหมดอังกฤษขอสัมปทาน ดังนั้น อังกฤษจึงได้ทรัพยากรทั้งหมดตรงนั้น โดยที่อังกฤษไม่ต้องปกครองเอง” ดร.ฐนพงศ์ กล่าว
ดร.ฐนพงศ์ ชี้ด้วยว่า ด้วยสนธิสัญญาที่ทำให้อังกฤษได้ทรัพยากรที่ต้องการแล้ว ซึ่งก็คือแร่ดีบุก “โดยการควบคุมผ่านราชสำนักสยาม” ดังนั้นแล้วอังกฤษจะต้องการดินแดนมลายูในส่วนของสยาม (ปาตานี) ไปทำอะไร เนื่องจากที่ปาตานี ไม่มีแร่ดีบุก แต่เป็นดินแดนปลูกข้าว
แต่จุดที่นำมาสู่สนธิสัญญาดังกล่าว อาจารย์ ดร.ฐนพงศ์ กล่าวว่า เกิดในปี พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) เมื่อเยอรมนีสนใจเกาะลังกาวี โดยพยายามขอเช่าเกาะเพื่อสร้างท่าเรือรบ ซึ่งในห้วงนั้นกำลังเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษจึงเริ่ม “รู้สึกว่า จะเอาหรือไม่เอาดี” สุดท้ายจึงเกิดการรวบรัด ระหว่างนั้นสยามโดย ร. 5 จ้างนักกฎหมายอเมริกัน เป็นที่ปรึกษาคนใหม่

ที่มาของภาพ : Getty Photos
ดร.ฐนพงศ์ กล่าวว่าสยามเองในปี พ.ศ. 2450 (ค.ศ. 1907) เป็นช่วงหลังจากที่ตกลงเรื่องพระตะบอง เสียมราฐ กับฝรั่งเศสได้ สยามเองจึงเสนอต่ออังกฤษว่า “หากยกดินแดนตรงนี้ให้อังกฤษ อังกฤษจะเสนออะไรคืน” ดังนั้น เรื่องดินแดนมลายู “สยามจึงเป็นฝ่ายที่เสนอไป”
“สยามเสนอเคดะห์ (หรือไทรบุรี) กลันตัน ตรังกานู แต่ไม่เสนอปาตานี เพราะสยามบอกว่า สยามได้เปลี่ยนแปลงการปกครองปาตานีเป็นมณฑลเทศาภิบาลไปแล้ว และมีคุณค่าทางจิตวิญญาณกับสยามพอสมควร แม้ไม่ได้มีคุณค่าทางเศรษฐกิจหรือการเมือง แต่เป็นเรื่องของอาณาจักรใหญ่สมัยก่อน” อาจารย์ ดร.ฐนพงศ์ กล่าว
อาจารย์ ดร.ฐนพงศ์ กล่าวว่าภายใต้สนธิสัญญานี้ สยามได้ “แลกดินแดน” ส่วนนี้ (กลันตัน ตรังกานู เคดะห์) “โดยแลกกับการให้อังกฤษยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ให้เงินกู้สร้างทางรถไฟสายใต้” และยกเลิกอนุสัญญาลับปี 1897
“สนธิสัญญา (แองโกล-สยาม) ปี 1909 คือการแลกดินแดนกับผลประโยชน์บางอย่าง… การตกลงดินแดนทั้งหมดหลังวิกฤตปากน้ำ ร.ศ. 112 (ค.ศ. 1893) ไม่ใช่เป็นการเสียดินแดน แต่เป็นการแลก ถ้าเป็นเรื่องก่อนวิกฤตปากน้ำ อาจจะพูดได้ว่าเสีย ดินแดน ประเด็นคือประวัติศาสตร์ไทยมันเหมารวมกันเกินไป” ดร.ฐนพงศ์ ระบุ
ส่วนในมุมมองของปาตานี “การผนวกดินแดนครั้งนี้เป็นการตัดสินใจกันเองจากคนนอกสองฝ่ายโดยที่คนปาตานีไม่มีส่วนในการกำหนดอนาคตของตนเลย” (DSMA) ขณะเดียวกันก็ไม่มีการต่อต้านจากชนชั้นนำทางการเมืองในปาตานีแต่อย่างใด
ปาตานีหลัง 1909 และข้อเรียกร้อง 7 ประการของหะยีสุหลง
หลังจากสยามปกครองปาตานีโดยสมบูรณ์แล้ว ต่อมาในสมัย ร.6 จึงเริ่มมีการจัดการด้านวัฒนธรรม เช่น การให้สอนอ่านเขียน “ภาษาไท” และ “ปลูกฝังความจงรักภักดีในกรุงสยาม” ผ่านกฎหมายการศึกษาภาคบังคับ
หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี พ.ศ. 2475 ยังมีจุดสำคัญในทางประวัติศาสตร์อีกจุด นั่นคือ การสร้างชาติภายใต้นโยบาย “รัฐนิยม” ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งยังผลให้เกิดการยกเลิกการใช้กฎหมายอิสลามว่าด้วยครอบครัวมรดกในพื้นที่ในปี พ.ศ. 2486 (DSMA)
ต่อมาปี พ.ศ. 2489 รัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ พยายามแก้ปัญหาโดยการออก “พ.ร.บ.ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสตูล พ.ศ. 2489” และตั้ง “กรรมการสอดส่องภาวการณ์ใน 4 จังหวัดภาคใต้”
นำมาสู่ กรณีที่ หะยีสุหลง อับดุลกอเดร์ โต๊ะมีนา ประธานกรรมการอิสลาม จ.ปัตตานี ยื่นข้อเรียกร้อง 7 ประการต่อรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ในเดือน เม.ย. 2490 ซึ่งมีสาระสำคัญ เช่น ให้มีผู้ปกครองใน 4 จังหวัดได้รับเลือกจากมุสลิมในภาคนี้ เป็นต้น รัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ เห็นว่าไม่อาจทำตามคำขอข้อเรียกร้อง 7 ประการ ก่อนถูกรัฐประหารในอีก 3 เดือนต่อมา

ที่มาของภาพ : มูลนิธิอาจารย์ฮัจยีสุหลง อับดุลกอเดร์ โต๊ะมีนา
ปี พ.ศ. 2491 หะยีสุหลง ทำหนังสือ “ฉันทานุมัติ” ระบุว่าชาวมลายูขอมอบฉันทานุมัติให้บุตรชายของเต็งกูอับดุลกาเดร์ พระยาเมืองปัตตานีซึ่งอยู่กลันตัน “มีอำนาจเต็มในการหาช่องทางใดก็ได้ที่เป็นไปได้และเหมาะสม เพื่อให้ชาวมลายูได้ดำรงชาติมลายู…” ทำให้เขาถูกจับฐานดูหมิ่นรัฐบาลไทยและ “ตระเตรียมและสมคบคิดกันคิดการจะเปลี่ยนแปลงราชประเพณีการปกครองและเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมไป”
หะยีสุหลง ถูกพิพากษาให้รับโทษจำคุก 4 ปี 8 เดือน ในข้อหาดูหมิ่นรัฐบาล แต่ยกฟ้องข้อหาแบ่งแยกดินแดน ก่อนได้รับอิสรภาพอีกครั้งในปี 2495 แต่ทว่าเป็นอิสรภาพที่ถูกจับตาจากรัฐ
ต่อมาในปี 2497 ตำรวจคนสนิทของ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ มีคำสั่งให้หะยีสุหลงพร้อมลูกชายคนโตและเพื่อนอีกสองคนเดินทางไปพบตำรวจสันติบาลที่สงขลา แต่หลังจากเข้าพบแล้วกลับหายตัวไปทั้งหมด
เมื่อมีการเปลี่ยนกลุ่มอำนาจหลังปี พ.ศ. 2500 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสะสางคดีนี้ ซึ่งมีข้อสรุปว่า ทุกคนเสียชีวิตในวันที่ไปพบตำรวจ โดยถูกรัดคอแล้วผ่าศwผูกเสาซีเมนต์ไปทิ้งที่ทะเลสาบสงขลา

ที่มาของภาพ : RACHAPHON RIANSIRI/BBC THAI
ปาตานี จากมุมมองของใคร
อรอนงค์ (2564) มองว่า องค์ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ปัต(ปา)ตานี มาจากตำราประวัติศาสตร์ไทยในแบบฉบับของทางการไทยเป็นหลัก ซึ่งการเขียนประวัติศาสตร์ชาติที่เน้นชาตินิยม แบ่งแยกไม่ได้ “ทำให้ขบวนการหรือองค์กรใด ๆ ก็ตามที่มีการกระทำในลักษณะที่ต้องการแบ่งแยกดินแดนออกไปจึงกลายเป็นผู้ร้าย เป็นโจร เป็นผู้ก่อการร้ายในการเขียนประวัติศาสตร์แบบทางการไทย”
ในขณะเดียวกัน “นักชาตินิยมมลายู” ที่มีมุมมองประวัติศาสตร์ของปัต(ปา)ตานีอีกชุดหนึ่ง “ก็มีการนำประวัติศาสตร์ไปใช้ในการปลุกเร้าความรู้สึกชาตินิยม” ด้วย
ด้านอาจารย์ ดร.ฐนพงศ์ ลือขจรชัย อาจารย์ภาควิชาสาขาประวัติศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวกับ.ถึง “เรื่องเล่า” ทางประวัติศาสตร์ระหว่างสยามและปาตานีกับ.ว่า จริง ๆ แล้ว เรื่องเล่าจากทั้งสองฝ่ายถูกเขียนขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 และเป็นการเขียนย้อนกลับไปในอดีตที่ “เลือกจะจำคนละอย่าง”
“ประวัติศาสตร์ไทยและปาตานีถูกสร้างโดยต้องการกำหนดศัตรูร่วมขึ้นมา ศัตรูของปัตตานีคือสยาม แต่ศัตรูของสยามคือพม่า… ปัญหาของเรื่องนี้ มันไม่ใช่ truth (ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์) ที่ขัดแย้งกัน แต่ปัญหาจริง ๆ คือ ทั้งสองเรื่องนี้อยู่บนโครงเรื่องแบบไหน พล็อต (map) แบบไหนต่างหาก” นักประวัติศาสตร์จาก ม.ศิลปากร กล่าวกับ.
“ปาตานีที่อยู่บนฐานของศาสนาอิสลาม”
การศึกษาประวัติศาสตร์ปาตานี นอกจากการศึกษาความสัมพันธ์กับสยามและอาณาจักร/เมือง หรือรัฐโดยรอบแล้ว พลวัตในกลุ่มชนชั้นนำในปาตานีก็มีความน่าสนใจ
กลุ่มที่สำคัญกลุ่มหนึ่งคือ เครือข่ายนักการศาสนาอิสลาม ซึ่งวันอิฮซาน ตูแวสิเดะ ได้ศึกษาไว้ในวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท ภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ ม.เชียงใหม่ ในหัวข้อ “ปาตานีภายใต้ความเคลื่อนไหวทางการเมือง ค.ศ. 1808-1909”
วันอิฮซาน กล่าวกับ.ว่า เครือข่ายนักการศาสนาเกิดขึ้นมาหลังจากเหตุการณ์ที่สยามเข้ามาตีปัตตานีในช่วงปี พ.ศ. 2329 (ค.ศ. 1786) ในสมัย ร.1 เมื่อสยามเข้ามาตีปาตานี บ้านเมืองในปาตานีถูกทำลาย ชนชั้นนำบางส่วนถูกฆ่-า บ้างก็ถูกทำให้หมดอำนาจและต้องหนีออกจากปาตานีไป
เขาอธิบายว่า ชนชั้นนำปาตานี” 3 กลุ่ม ได้แก่ ชนชั้นนำสายสุลต่าน/รายา อพยพไปอยู่ที่เมืองมลายูฝั่งมาเลเซีย, ชนชั้นนำสายทหาร อพยพหนีมาในแถบบังนังสตาร์ เบตง ธารโต และกลุ่มนักการทางศาสนา เลือกที่จะอพยพไปที่นครเมกกะที่ซาอุดีอาระเบีย ศูนย์กลางของศาสนาอิสลาม ซึ่งกลุ่มสุดท้ายได้กลายมาเป็นชนชั้นทางศาสนาอิสลามและมีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงปาตานีในเวลาต่อมา

ที่มาของภาพ : Wasawat Lukharang/BBC Thai
วันอิฮซาน กล่าวต่อไปว่า นักการศาสนาได้รวมเป็นกลุ่มสมาคม และหลังจากเรียนศาสนาที่นครเมกกะจนช่ำชองแล้วจึงเขียนกีตาบ (หนังสือศาสนา) ขึ้น และช่วยกันคัดลอกด้วยมือก่อนนำกลับมาเปิดสถาบันปอเนาะในปาตานี จึงทำให้ปอเนาะกลายเป็นศูนย์กลางการยึดเหนี่ยวในสังคมปาตานี เนื่องจากผู้ปกครองปาตานีไม่ได้เข้มแข็งเช่นเดิม ส่งผลให้ความรู้ทางศาสนาอิสลามเผยแพร่กว้างขวางมากขึ้น
ต่อมาเมื่อหนังสือศาสนากีตาบ ถูกกระจายเป็นวงกว้างมากขึ้นผ่านระบบการพิมพ์ อิทธิพลของกีตาบนี้เองได้กลายเป็น “ปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการยกระดับบทบาทของเครือข่ายชนชั้นนำทางศาสนาอิสลาม ในการก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้กุมอำนาจนำกลุ่มใหม่ในสังคมปาตานี” (วันอิฮซาน)
“สิ่งเหล่านี้ทำให้อำนาจทางสังคม ณ ตอนนั้น มาอยู่ในมือของนักการศาสนา ขนาดที่ว่าเจ้าเมืองยังต้องฟังเลยว่านักการศาสนาจะเอายังไง” วันอิฮซาน กล่าวกับ.
วันอิฮซาน กล่าวว่า บทบาทของเครือข่ายนักการศาสนาลักษณะนี้เป็นมาตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ จนถึงยุคปัจจุบันเลยก็ว่าได้ ผู้คนในชายแดนใต้ตอนนี้เองก็ “ฟังนักการศาสนามากกว่านักการเมือง เพราะอยู่กับสังคมปาตานีมานาน และเมื่อเกิดสนธิสัญญา 1909 ชนชั้นนำทางการเมืองถูกสลายไปแล้ว แต่ชนชั้นนำทางศาสนารอดแล้วก็แผ่อิทธิพลมาถึงตอนนี้”
อาจารย์ ดร.ฐนพงศ์ กล่าวในส่วนนี้ด้วยว่า “ความเป็นปาตานี” บนฐานของศาสนาอิสลามนี้เกิดขึ้น เพราะว่า ฐานประวัติศาสตร์ของอาณาจักรปาตานี แต่เดิมถูกสยามทำลายลง ดังนั้น การสร้าง “ความเป็นปาตานี” จึงขยับจาก “ชาตินิยมที่มีฐานเป็นสุลต่าน รายา กลายเป็นปาตานีที่อยู่บนฐานของศาสนาอิสลาม” ซึ่งเป็นฐานเรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ใหม่ของปาตานีจนถึงทุกวันนี้

ที่มาของภาพ : Getty Photos
เหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของจังหวัดชายแดนใต้หลังจากช่วง พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา เมื่ออิงตามช่วงเวลาจากเอกสารของ DSMA ได้สรุปว่าเป็นช่วงที่ความขัดแย้งเปลี่ยนรูป โดยที่ “รัฐปิดพื้นที่ทางการเมืองบนดิน ขณะที่ขบวนการเปิดพื้นที่ความรุนแรงใต้ดินขึ้น”
ดังที่ในปี พ.ศ. 2502 ได้เกิดขบวนการต่อต้านรัฐติดอาวุธกลุ่มแรกขึ้น คือแนวร่วมแห่งชาติปลดปล่อยปาตานี (BNPP) ตามมาด้วยการเกิด แนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานี (BRN) ในปี 2503
จากนั้นกลุ่มขบวนการแนวร่วมได้เกิดขึ้นอีกหลายกลุ่ม ท่ามกลางการบังคับใช้นโยบายทั้งในทางการเมือง วัฒนธรรม และความมั่นคงของรัฐไทยในยุคต่าง ๆ
จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2547 ในยุคที่มีนายทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เกิดเหตุการณ์ปล้นปืนที่ค่ายปิเหล็ง อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ซึ่งได้กลายมาเป็นปฐมบทของไฟใต้รอบใหม่ และยังไม่ยุติลงจนถึงปัจจุบัน
ที่มา BBC.co.uk