กรณีพิพาทไทย-กัมพูชา หลักฐานเด็ดที่ทางกัมพูชาอาจนำมาใช้ในศาลโลก คืออะไร

ที่มาของภาพ : Getty Images

สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีของกัมพูชา และ พล.อ.ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน

  • Creator, จิราภรณ์ ศรีแจ่ม
  • Feature, ผู้สื่อข่าว.

ในปัญหาปมพิพาทเขตแดนไทย-กัมพูชาล่าสุด รัฐบาลไทยส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะยืนหยัดในอธิปไตยของประเทศ ยึดมั่นในกลไกแบบทวิภาคี และไม่ต้องการบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้

ขณะที่ ทางรัฐบาลกัมพูชาเดินหน้านำ 4 พื้นที่พิพาท ได้แก่ พื้นที่สามเหลี่ยมมรกต ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย เข้าสู่ศาลโลกพร้อมกับเชื้อเชิญฝั่งไทยให้เข้าร่วมกระบวนการดังกล่าว โดย พล.อ. สมเด็จมหาบวรธิบดีฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา ได้แต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมเอกสารยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว เพื่อให้เป็นไปตามมติวันที่ 2 มิ.ย. ของสองสภา

ทั้งนี้ ทั้งสองประเทศยังคงร่วมประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ เจบีซี (Joint Boundary Commission – JBC) ที่กรุงพนมเปญในวันที่ 14 มิ.ย. นี้ โดยทางฝั่งกัมพูชายืนยันว่าจะไม่นำ 4 พื้นที่พิพาทเข้าหารือในการประชุม และเห็นว่าศาลโลกจะช่วยจบข้อพิพาทระหว่างสองประเทศได้ แม้ไทยยืนกรานว่าไม่ยอมรับอำนาจศาลโลกตั้งแต่ปี 1960

ด้าน ผศ.อัครพงษ์ ค่ำคูณ ผู้เชี่ยวชาญด้านเขตแดนไทย-กัมพูชา จากวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ บอกกับ.ว่า ปมพิพาทครั้งนี้เป็นเกมยาวระยะเวลาหลายปี ดังนั้น การตั้งหลักและตั้งรับอย่างไม่ประมาทเท่านั้นที่จะทำให้ไทยมีแต้มต่อในเวทีนานาชาติได้

หลักฐานเด็ดที่คาดว่าทางกัมพูชาจะนำมาใช้คืออะไร ?

ผศ.อัครพงษ์ ให้สัมภาษณ์กับ.ต่อว่า ทางกัมพูชาเชื่อว่าฝ่ายตนเองมีไม้เด็ดเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ นอกจากแผนที่ที่แนบมากับสนธิสัญญาสยามกับฝรั่งเศสเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว อีกหลักฐานหนึ่งที่คาดว่าทางกัมพูชาจะงัดนำมาใช้ คือ บันทึกวาจาหลักเขตที่ 23 ซึ่งทำขึ้นในปี ค.ศ.1908

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

โดยเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว ศาสตราจารย์ลัม เจีย นักกฎหมายชื่อดังของกัมพูชา เคยออกรายการโทรทัศน์แห่งหนึ่งของกัมพูชา ซึ่งคาดว่าเป็นส่วนหนึ่งของสารคดีที่เผยแพร่ในปี 2011 และจัดทำโดยสำนักงานคณะรัฐมนตรีของกัมพูชา โดยเขาให้สัมภาษณ์เป็นภาษาฝรั่งเศสว่า หลักฐานของกัมพูชาชี้ว่า ตัวปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด และปราสาทตาควาย อยู่ในเขตอธิปไตยของกัมพูชา

ทั้งนี้ ปัจจุบันกลุ่มปราสาทตาเมือน (ตาเมือน, ตาเมือนธม, ตาเมือนโต๊ด) อยู่บนแนวเทือกเขาบรรทัด บริเวณบ้านหนองคันนาสามัคคี หมู่ 18 ต.ตาเมียง อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ขณะที่ปราสาทตาควายตั้งอยู่ในเขตบ้านไทยนิยมพัฒนา ม.17 ต.บักได จ.สุรินทร์

รายการโทรทัศน์ดังกล่าว ทาง ผศ.อัครพงษ์ อัปโหลดขึ้นช่องยูทิวบ์ (YouTube) เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยเนื้อหาในคลิปดังกล่าวระบุว่า ทางกัมพูชามีเอกสารทางประวัติศาสตร์ รวมถึงแผนที่ที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติจำนวนมากพอ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปราสาทหิน 3 แห่งที่ทางกัมพูชากำลังยื่นฟ้องศาลโลกนั้นอยู่ในพื้นที่ของกัมพูชา

พร้อมกันนี้ คลิปดังกล่าวได้หยิบยกแผนที่ประกอบหลักเขตแดนที่ 23 ที่แสดงให้เห็นว่า ปราสาทหิน 2 หลัง ได้แก่ ปราสาทตาเมือนโต๊ดและปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชาด้วย

“แผนที่นี้สร้างขึ้นจากแผนที่ที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติและเป็นผลงานของคณะกรรมการธิการร่วมกันระหว่างฝรั่งเศสและสยามในปี 1908 ซึ่งประเทศไทยเองก็ยอมรับแผนที่นี้ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าปราสาททั้ง 3 แห่ง ตั้งอยู่ในอาณาเขตและอธิปไตยของกัมพูชา” ศ.ลัม เจีย ระบุ

“ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย เป็นของเรา เป็นของกัมพูชา” ศ.ลัม เจีย กล่าวในคลิปดังกล่าว

ที่มาของภาพ : สำนักงานคณะรัฐมนตรีของกัมพูชา

สารคดีที่จัดทำขึ้นโดยสำนักงานคณะรัฐมนตรีของกัมพูชาในปี 2011 ระบุว่า แผนที่ประกอบหลักเขตแดนที่ 23 แสดงให้เห็นว่าปราสาทตาเมือนโต๊ดและปราสาทตาเมือนธม ตั้งอยู่ในอาณาเขตของกัมพูชา

เพิ่มเติมจากถ้อยคำบอกเล่าของ ผศ.อัครพงษ์ ทาง.พบสารคดีเรื่องเดียวกันนี้ในบัญชีอื่นบนยูทิวบ์เช่นกัน ซึ่งเพิ่งอัปโหลดขึ้นเมื่อวันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมา และมีความยาวมากกว่า แต่คลิปดังกล่าวก็ไม่ได้แสดงเนื้อหาสารคดีฉบับเต็ม ทว่ามันก็ทำให้เห็นความเข้าใจของกัมพูชาต่อพื้นที่พิพาทในกลุ่มปราสาทหินดังกล่าวเพิ่มขึ้น

ทางกระทรวงวัฒนธรรมและวิจิตรศิลปะของกัมพูชาระบุว่าในช่วงปี 1995-2008 ทางกระทรวงได้ขึ้นทะเบียนแหล่งมรดกแห่งชาติทั่วประเทศ ซึ่งมีปราสาทตาเมือน และปราสาทตาควายอยู่ในรายการที่ถูกขึ้นทะเบียนไว้ด้วย โดยปราสาทตาเมือน รวมถึงปราสาทตาเมือนธม สร้างขึ้นโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 ในศตวรรษที่ 11 ส่วนปราสาทตาเมือนโต๊ดสร้างโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในช่วงศตวรรษที่ 12 เช่นเดียวกับปราสาทตาควายซึ่งตั้งอยู่ห่างกันออกไป 11 กิโลเมตร

“อย่างไรก็ตาม สยามเป็นประเทศที่เพิ่งเกิดในช่วงปลายศตวรรษที่ 13 ถึงต้นศตวรรษที่ 14” ดร.รส จันทราพธ นักประวัติศาสต์ชาวกัมพูชากล่าวในสารคดี พร้อมกับให้ความเห็นว่าสถาปัตยกรรม-ประติมากรรมของปราสาทตาเมือนและปราสาทตาควายก่อสร้างขึ้นตามแบบศิลปะปราสาทปักษีจำกรุงและเกาะแกร์

“ประเทศไทยเป็นประเทศเกิดใหม่หลังจากปราสาท” เขากล่าว “เรายังสามารถสังเกตได้ว่าในอดีต ชาวสยามไม่รู้วิธีสร้างปราสาทลักษณะนี้ พวกเขาสร้างแต่เจดีย์ในรูปแบบพุทธศาสนาและรูปเคารพทางพุทธศาสนาเท่านั้น”

ในสารคดียังแสดงภาพชาวกัมพูชาเดินขึ้นไปยังปราสาทตาเมือนในช่วงวันที่ 14 เม.ย. 2011 โดย ดร.รส อ้างด้วยว่าชาวกัมพูชาขึ้นไปยังปราสาทหินเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ (หรือสงกรานต์) และเทศกาลประชุมแบน (Pchum Ban) ตลอดมา แม้กระทั่งในช่วงเกิดสงครามกลางเมืองในกัมพูชา พื้นที่ดงรัก (Dengrak) และ อ็อมปึย (Ampil) ก็เป็นฐานที่มั่นของแนวร่วมปลดปล่อยชาติเขมรมาก่อน นักประวัติศาสตร์ชาวกัมพูชาจึงเห็นว่าปราสาทเหล่านี้เป็นของกัมพูชา

“ดังนั้นสิ่งที่ประเทศไทยอ้างว่าตนเองมีสิทธิเหนือปราสาทนั้นเป็นเพียงการบิดเบือนข้อเท็จจริงและการโกหกตามจิตวิญญาณของหัวขโมยผู้รุกรานกัมพูชา” ดร.รส กล่าวในสารคดี

ที่มาของภาพ : สำนักงานคณะรัฐมนตรีของกัมพูชา

ตอนจบของสารคดีขึ้นตราสัญลักษณ์สำนักงานคณะรัฐมนตรีของกัมพูชา พร้อมกับระบุวันที่ผลิตเนื้อหาเป็นภาษาเขมร

.ยังพบเอกสารประกอบการพิจารณากรอบการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบกไทย-กัมพูชา ที่เข้าสู่ร่วมการประชุมของรัฐสภาในปี 2008 ที่ช่วยอธิบายได้ว่า เหตุใดไทยและกัมพูชายังตกลงเรื่องเขตแดนบริเวณนี้ไม่ได้

เอกสารฉบับนี้ระบุว่า ช่วงปี 2011 ราษฎรกัมพูชาได้แพร่กระจายข่าวว่าปราสาทตาเมือนและปราสาทตาควายเป็นของกัมพูชา และกัมพูชาเรียกร้องอ้างสิทธิเหนือปราสาททั้งสองแห่ง

ต่อมาในการประชุมเจ้าหน้าที่เทคนิคไทย-กัมพูชา นำโดยนายประชา คณะเกษม ที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธาน JBC ฝ่ายไทย และนายวาร์ กิมฮง ที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาด้านกิจการชายแดนในฐานะประธาน JBC ฝ่ายกัมพูชา เมื่อวันที่ 7-8 พ.ย. 2011 ฝ่ายไทยเสนอว่าขอให้จัดชุดสำรวจร่วมเดินตรวจสอบแนวสันปันน้ำในภูมิประเทศบริเวณปราสาท เพื่อพิสูจน์ทราบตำแหน่งปราสาททั้งสามหลัง โดยยึดแนวสันปันน้ำต่อเนื่องในภูมิประเทศเป็นเส้นเขตแดน

แต่ทางกัมพูชาชี้แจงว่าได้ตรวจสอบตำแหน่งปราสาทตาเมือนธมและตาเมือนโต๊ดแล้ว ประกอบกับหลักฐานบันทึกว่าจากการปักปันเขตแดนหมายเลขที่ 23 ระหว่างไทย-ฝรั่งเศส ปี 1908 แสดงสัญลักษณ์ว่าปราสาท 2 หลังนี้อยู่ในเขตกัมพูชา

“ขณะที่แผนที่ชุด L7107 มาตราส่วน 1:50,000 ปี 2527 (ค.ศ.1984) ที่ฝ่ายไทยยึดถือ และแผนที่ชุด L7016 มาตราส่วน 1:50,000 ปี 2514 (ค.ศ.1971) จัดทำโดยสหรัฐอเมริกาที่ฝ่ายกัมพูชายึดถือ ปรากฏเส้นเขตแดนตรงกัน คือ ตัวปราสาทตาเมือนธมอยู่ในเขตกัมพูชา และอีก 2 ปราสาท (ตาเมือนโต๊ด, ตาเมือน) อยู่ในเขตไทย ปัจจุบันปัญหาบริเวณดังกล่าวจึงไม่ได้ข้อยุติ” เอกสารของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ระบุ

กัมพูชาน่าจะเดินเกมอย่างไร

ที่มาของภาพ : Getty Images

ทหารไทยยืนประจำการอยู่ที่ตัวปราสาทเมืองธม ภาพนี้บันทึกไว้เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2025

ด้าน ผศ.อัครพงษ์ กล่าวกับ.ต่อว่า ไทยต้องทำให้ศาลโลกเข้าใจว่าตัวศาลเองไม่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดี และคดีนี้ไม่มีมูล เนื่องจากทางกัมพูชาเป็นฝ่ายสร้างสถานการณ์ โดยแนบแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศของทางกองทัพไทยที่แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายละเมิดข้อตกลงระหว่างกันอย่างไร

“ต้องทำให้ทั่วโลกเห็นว่ากัมพูชาเป็นฝ่ายรุกรานเข้ามาและเป็นผู้สร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง ความเสียหาย มีผู้คนเสียชีวิตไป 1 คน และเกิดการรุกล้ำ MoU 2543 เราต้องเน้นย้ำว่าทางกัมพูชาทำ MoU43 กับเรา ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎบัตรสหประชาชาติ เราต้องแสดงให้เห็นว่าเราใช้ Appropriate office (การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างประเทศ) เราจะใช้การเจรจาสองฝ่าย เราต้องแสดงให้เห็นว่าศาลไม่มีความจำเป็นต้องพิจารณาคดีเช่นนี้ เพราะทั้งสองฝ่ายได้ทำข้อตกลงไว้แล้ว และข้อตกลงนั้นยังมีอยู่” ผู้เชี่ยวชาญจากวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ กล่าว

ทั้งนี้ MoU43 หรือ MoU 2543 เป็นบันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก

เขาบอกว่าต้องทำให้กัมพูชาและนานาชาติเข้าใจด้วยว่า การนำ 4 พื้นที่พิพาทเข้าสู่การพิจารณาในศาลโลกต่างหากที่ทำให้ “กัมพูชาไม่เคารพ Appropriate office หรือไม่เคารพบรรทัดฐานที่ดีในการเป็นสมาชิกสหประชาชาติ” โดยหยิบยกกรณีปราสาทเขาพระวิหารที่แม้ศาลโลกมีคำตัดสินแล้วในปี 1962 แต่ก็ยังทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชามาจนถึงทุกวันนี้

ที่มาของภาพ : Getty Images

ปราสาทเขาพระวิหารถูกศาลโลกตัดสินว่าเป็นของกัมพูชา

อย่างไรก็ดี ผศ.อัครพงษ์ เห็นว่าทางกัมพูชาน่าจะใช้ช่องทางการฟ้องฝ่ายเดียวผ่านทางข้อกำหนดของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นแนวทางที่ ศ.ดร.ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ได้เขียนบทความวิเคราะห์ในเว็บไซต์ประชาไท เมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ที่ผ่านมา

ศ.ดร.ประสิทธิ์ เชื่อว่า กัมพูชาคงใช้ช่องทางการฟ้องฝ่ายเดียวผ่านทางข้อกำหนดของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (Options of Court) (1978) ข้อ 38 (5) เพื่อหวังให้ศาลโลกมีเขตอำนาจตามหลัก discussion board prorogatum (ความยินยอมโดยปริยาย) พร้อมกับหวังให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ออกมติให้คำแนะนำว่าทั้งสองฝ่ายเสนอข้อพิพาทไปยังศาลโลก

อาจารย์จากคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ให้ความเห็นในประชาไทด้วยว่า “ช่องทาง discussion board prorogatum เป็นหลุมพรางที่ไทยต้องระวังอย่างยิ่ง การทำหนังสือโต้ตอบทางการทูตก็ดี การประชุมในระดับทวิภาคีก็ดี หรือการแสดงความเห็นของผู้นำระดับสูงก็ดีจะต้องไม่มีข้อความหรือพฤติกรรมที่จะชวนเข้าใจไปในทางว่าไทยจะยอมรับเขตอำนาจศาลโลก เนื่องจากการยอมรับเขตอำนาจศาลโลกนั้นไม่มีแบบ (create) จะแสดงออกโดยวาจาหรือการกระทำอย่างใดก็ได้ที่มีลักษณะเป็นการยอมรับโดยปริยาย (tacit consent)”

ศ.ดร.ประสิทธิ์ ยังเน้นย้ำด้วยว่า หากสุดท้ายแล้วคณะมนตรีความมั่นคงมีมติให้คำแนะนำว่าให้ทั้งสองฝ่ายเสนอข้อพิพาทไปยังศาลโลก ไทยต้องไม่ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะดังกล่าว เนื่องจากในอดีตเคยมีคดีช่องแคบคอร์ฟู (Corfu Channel case) ซึ่งคณะมนตรีความมั่นคงมีมติเป็นคำแนะนำให้สหราชอาณาจักรและแอลเบเนียนำข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลโลก และถ้อยคำตอนหนึ่งในจดหมายของแอลเบเนียทำให้ศาลเข้าใจว่าประเทศยอมรับเขตอำนาจศาลโลก ทั้ง ๆ ที่ถ้อยคำในจดหมายพยายามสื่อว่า “ไปปรากฏตัวต่อศาล” เพื่อคัดค้านอำนาจศาลโลกก็ตาม

ผศ.อัครพงษ์คาดการณ์ว่า เกมการเมืองในเวทีระดับประเทศเช่นนี้น่าจะดำเนินต่อไปอีกราว 3-4 ปี ซึ่งยาวนานกว่าวาระของรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน

“รัฐบาลไทยคงจะถ่วงเวลาไปก่อน เพราะหากมีเรื่องขึ้นศาลแล้วเกิดเหตุอะไรขึ้นมา อาจจะถูกตราหน้าว่าเสียแผ่นดินในสมัยเขา ไม่มีใครอยากเป็นรัฐบาลในชุดที่เสียดินแดนหรอก” เขากล่าว

ที่มาของภาพ : THAI NEWS PIX

ตำรวจรักษาความปลอดภัยหน้าสถานทูตราชอาณาจักรกัมพูชาประจำประเทศไทย​​ เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน นายกัณวีร์ สืบแสง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อจากพรรคเป็นธรรม ซึ่งเคยทำงานในหน่วยงานของสหประชาชาติมาก่อน ให้ความเห็นกับ.ว่าทางรัฐบาลกัมพูชาน่าจะนำเรื่องพื้นที่พิพาทเข้าสู่การประชุมสมัชชาใหญ่องค์การสหประชาชาติ (UNGA) แต่ไปไม่ถึงขั้นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) ซึ่งไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงการประชุมวงนี้ได้ เนื่องจากประเทศเป็นสมาชิกสหประชาชาติ

เขาอธิบายว่ากระบวนการ คือ กัมพูชาต้องเสนอเรื่องไปยังกลุ่มสมัชชาต่าง ๆ ของแต่ละภูมิภาค เพื่อขอความเห็นชอบ หากกลุ่มต่าง ๆ เห็นชอบและมีคนเอาด้วย ไทยกับกัมพูชาก็ต้องมาแข่งกัน เพื่อผลักดันร่างข้อมติสมัชชาสหประชาชาติ (resolution) ของตัวเอง

ทั้งนี้ ข้อมติสมัชชาสหประชาชาติเป็นเอกสารคำแนะนำแก่ประเทศสมาชิก ไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย แต่ก็มีน้ำหนักทางการเมือง เพราะถือเป็นความเห็นโดยทั่วไปของประเทศส่วนใหญ่ในโลก หรือประชาคมระหว่างประเทศที่สมัชชาเป็นตัวแทน จากข้อมูลของกระทรวงการต่างประเทศของไทย

“คนที่จะมาสนับสนุนฝั่งกัมพูชาก็ต้องดูว่ากัมพูชามีความพยายามในการผลักดันเรื่องนี้ที่อื่นบ้างหรือยัง กัมพูชาก็สามารถบอกได้ว่าไปยื่น ICJ (ศาลโลก) แล้ว แต่ประเทศไทยไม่ยอมเข้า เพราะไม่ยอมรับเขตอำนาจศาล กัมพูชาจึงต้องคำพิพากษาฝ่ายเดียวของศาลมาให้ UNGA พิจารณา ทำเป็นร่างข้อมติออกมา” นายกัณวีร์ประเมิน

“ทั้งหมดนี้คือเวทีการเมืองระดับโลก” เขาบอก “สมมติทางเขาชนะทุกอย่าง ทั้งใน ICJ และ UNGA แล้วไทยไม่ยอมทำตาม เวลาไปเวทีไหนก็ตามเขาสามารถพูดได้ว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ประเทศกัมพูชาได้จากคำวินิจฉัยของศาลโลก UNGA ก็มี resolution (มติ) มาแล้วแต่ไทยไม่ยอมทำตาม เห็นได้ว่าแม้มันไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่มันมีน้ำหนัก”

สส.จากพรรคเป็นธรรมซึ่งเป็นฝ่ายค้านยังแสดงความกังวลด้วยว่าไทยอาจเพลี่ยงพล้ำ เนื่องจากยังไม่เห็นรายละเอียดการตั้งรับเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมจากฝั่งรัฐบาล

ด้าน ผศ.อัครพงษ์ เห็นต่างและบอกว่ารัฐบาลไทยกับกองทัพเริ่มทำงานสอดคล้องประสานกันเพื่อตั้งหลักรับมือเรื่องนี้ได้แล้ว เช่นเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศของไทย

รู้จัก ลัม เจีย ผู้อาจสานต่อ “ความทะเยอทะยาน” ของสมเด็จฮุน เซน ได้สำเร็จ

ที่มาของภาพ : FACEBOOK/CHEA LAN

ศ.ลัม เจีย ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง รมว.กิจการชายแดนของกัมพูชา และเป็นประธาน JBC ฝ่ายกัมพูชา

คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือ JBC ฝ่ายไทยซึ่งเตรียมเดินทางไปยังกรุงพนมเปญในวันเสาร์ที่จะถึงนี้ นำโดยนายประศาสน์ ประศาสน์วินิจฉัย อดีตเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญ ซึ่งเคยทำงานในกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศมาก่อน

ขณะที่ JBC ฝ่ายกัมพูชา นำโดย ศ.ลัม เจีย นักวิชาการด้านกฎหมายที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส มีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศและสามารถพูดภาษาอังกฤษ รวมถึงภาษาฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว ปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการชายแดน

ผลงานที่โดดเด่นของ ศ.ลัม เจีย คือ สามารถเจรจาเรื่องเขตแดนระหว่างกัมพูชา-เวียดนาม และ กัมพูชา-ลาว ได้สำเร็จ หลังรับไม้ต่อจากนายวาร์ กิมฮง อดีต รมว.กิจการชายแดนคนที่แล้ว ซึ่งเป็นผู้ลงนามใน MoU 2543 กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รมช.ต่างประเทศของไทยในขณะนั้น

ผศ.อัครพงษ์เห็นว่าสมเด็จฮุน เซน มีทะเยอทะยานที่จะทวงคืนบูรณภาพแห่งดินแดนจากไทยให้ได้ หลังเห็นว่ากัมพูชาเคยทำสำเร็จมาแล้วในสมัยพระเจ้านโรดม สีหนุ กรณีนำปราสาทเข้าพระวิหารขึ้นสู่ศาลโลก

“มันเป็น ambitious (ความทะเยอทะยาน) ส่วนตัวของสมเด็จฮุน เซน หากเขาทำได้ จะถือว่าเป็นเกียรติยศสูงสุดของชีวิต” นักวิชาการจากวิทยาลัยนานาชาติปรีดี พนมยงค์ กล่าว

“คุณอย่าลืมว่าทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลของกัมพูชาเห็นต่างกันหลายเรื่อง แต่ประเด็นเดียวที่พวกเขาเห็นตรงกันคือการต้องทวงคืนดินแดนที่เขาเชื่อว่าเป็นของเขา ตามหลักฐานที่ฝรั่งเศสได้ตกทอดมาให้เขา เพราะลัม เจีย เป็นคนที่พูดเรื่องนี้มาเป็นสิบปีแล้ว” ผศ.อัครพงษ์ กล่าว

ที่มาของภาพ : สำนักงานคณะรัฐมนตรีของกัมพูชา

ศ.ลัม เจีย ให้ความเห็นในสารคดีเมื่อปี 2011 ว่า “ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาเมือนธม และปราสาทตาควาย เป็นของเรา เป็นของกัมพูชา”

ผู้เชี่ยวชาญจาก ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวต่อว่า ศ.ลัม เจีย รวบรวมเอกสารทางประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ได้ในสมัยที่เขาอยู่ฝรั่งเศสและตื่นเต้นกับสิ่งที่ค้นพบมาก และเรื่องนี้แทบจะเป็นภารกิจทางประวัติศาสตร์ของชีวิต ศ.ลัม เจีย เลยก็ว่าได้

“สำหรับทางกัมพูชาเอง ในประวัติศาสตร์ที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว เขารู้ว่าดินแดนที่เรียกว่าอาณาจักรพระนครนั้นเคยกว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน เขาเลยรู้สึกว่าทำไมปัจจุบันประเทศของเขาถึงมีอาณาเขตลดลง และเชื่อว่าอาณาเขตที่ลดลงเช่นนี้ มันทำให้ประเทศของเขามีปัญหาเรื่อยมา มันเป็นจิตวิทยาทางสังคมและเป็นประวัติศาสตร์บาดแผลของเขาเองด้วยเช่นกัน”

ผศ.อัครพงษ์ กล่าวต่อว่าการเจรจาเรื่องเขตแดนระหว่างกัมพูชากับเวียดนามและลาวไม่ได้ราบรื่นตลอดเส้นทาง แต่ดำเนินไปได้ดีกว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่มีบรรยากาศเป็นมิตรมากกว่า ต่างจากไทยที่มีประวัติศาสตร์บาดแผลและประวัติศาสตร์บาดหมางสะสมกันมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะกรณีการนำปราสาทเขาพระวิหารขึ้นศาลโลกที่ทำให้ทั้งสองประเทศเดินไปสู่ความสัมพันธ์ “ทั้งรักและชัง” มากขึ้น

เขายังเห็นด้วยว่าจุดประสงค์การนำ 4 พื้นที่พิพาทของกัมพูชาไปสู่ศาลโลกในครั้งนี้ ไม่ได้มีเป้าหมายทางการเมืองเป็นหลัก เพราะตระกูลฮุนมีความมั่นคงทางการเมืองดีอยู่แล้ว ขณะที่เศรษฐกิจก็กำลังไปได้ดี และมีจีดีพี (GDP) เติบโตมากกว่าประเทศไทยเสียอีก

ข้อมูลจากกลุ่มองค์กรธนาคารโลก ระบุว่าในปี 2023 จีดีพีไทยโตเพียง 1.9% ขณะที่กัมพูชาโต 5.0%

ความเห็นนี้สอดคล้องกับ ศ.ดร.ธิบดี บัวคำศรี ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์การเมืองกัมพูชา จากคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่เคยให้สัมภาษณ์กับ.ว่าระบอบตระกูลฮุนได้รับความนิยมทางการเมืองมากขึ้นจากการเคลื่อนไหวครั้งนี้ในลักษณะผลพลอยได้เท่านั้น หาใช่การใช้กระแสชาตินิยมกลบเกลื่อนปัญหาการเมืองภายในประเทศแต่อย่างใด