จีนขยายแสนยานุภาพทัพเรือแบบก้าวกระโดด ใกล้ครองตำแหน่ง “เจ้าสมุทร” แล้วหรือไม่ ?

อู่ต่อเรือของจีนซึ่งถือว่ามีผลิตภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลก กำลังช่วยเพิ่มแสนยานุภาพให้กองทัพเรือของประเทศ

Article Data

    • Creator, ลอรา บิกเกอร์
    • Role, ผู้สื่อข่าวประจำประเทศจีน
    • Reporting from เมืองต้าเหลียน ประเทศจีน

“สังคมนิยมช่างดีจริง” หญิงจีนวัยเกษียณอายุผู้หนึ่งร้องเพลงเสียงสั่นระรัว โดยเธอส่งเสียงเบา ๆ และผิดคีย์เล็กน้อย ใส่ไมโครโฟนของเครื่องเล่นคาราโอเกะแบบพกพา แม้ว่าเสียงพูดคุยของกลุ่มเพื่อนวัยเดียวกัน จะดังลั่นกว่าจนกลบเสียงเพลงของเธอไปก็ตาม

แต่เมื่อถึงท่อนฮุก กลุ่มหญิงสูงวัยต่างหันมาร้องประสานเสียงกันอย่างพร้อมเพรียง “พรรคคอมมิวนิสต์นำจีนไปบนเส้นทางสู่อำนาจและความมั่งคั่ง !”

นี่ไม่ใช่เพลงฮิตอันดับต้น ๆ ของกลุ่มผู้นิยมร้องคาราโอเกะในจีน แต่ก็ถือว่าเข้ากับบรรยากาศของสวนสาธารณะซั่วหยูวันแห่งเมืองต้าเหลียน ซึ่งมีทิวทัศน์เป็นภาพท้องทะเลที่ถูกล้อมกรอบด้วยปั้นจั่นของอู่ต่อเรือ ซึ่งพากันตั้งตระหง่านอยู่เหนือเรือจำนวนหลายลำและหลายขนาด

สวนสาธารณะในภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีนแห่งนี้ ขึ้นชื่อเรื่องทิวทัศน์อันงดงามของทะเลเหลือง (Yellow Sea) ซึ่งมีความพิเศษไม่เหมือนใคร ตรงที่ผู้ชมวิวจะได้เห็นอู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไปด้วย คนจำนวนมากพากันมาชมวิวดังกล่าวเพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ในขณะที่บางคนก็จับกลุ่มร้องคาราโอเกะกัน

ทว่าสำหรับนักวิเคราะห์การเมืองและการทหารในทำเนียบขาว ซึ่งอยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์ในกรุงวอชิงตันของสหรัฐฯ ทิวทัศน์ที่งดงามน่าทึ่งของอู่ต่อเรือจีนกลับไม่น่าพิสมัย ทั้งยังเป็นสัญญาณส่อแสดงถึงภัยคุกคามที่น่ากังวลเกรงขึ้นเรื่อย ๆ

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Cease of ได้รับความนิยมสูงสุด

ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา จีนได้ทุ่มงบประมาณส่งเสริมอุตสาหกรรมการต่อเรือ และได้ผลกำไรอย่างงดงาม คำสั่งต่อเรือกว่า 60% ทั่วโลกในปีนี้ ตกเป็นของอู่ต่อเรือในประเทศจีน พูดง่าย ๆ ก็คือจีนต่อเรือมากกว่าประเทศอื่นใดในโลก เพราะสามารถทำเสร็จได้รวดเร็วยิ่งกว่าผู้ใด

นิก ไชด์ส ผู้เชี่ยวชาญด้านการเดินเรือและกองทัพเรือ จากสถาบันระหว่างประเทศเพื่อการศึกษาเชิงยุทธศาสตร์ (IISS) ของสหราชอาณาจักร บอกว่า “ขนาดของอุตสาหกรรมต่อเรือจีน ยิ่งใหญ่เหนือธรรมดาจริง ๆ ในหลายด้านนั้นน่าตื่นตะลึงจนน้ำตาแทบร่วงเลยทีเดียว”

ตำแหน่งผู้นำระดับโลกดังกล่าว ตกเป็นของกองทัพเรือจีนด้วยเช่นกัน เพราะบัดนี้พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้เป็นเจ้าของกองทัพเรือที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีเรือรบในสังกัดถึง 234 ลำ ในขณะที่กองทัพเรือสหรัฐฯ มีเพียง 219 ลำเท่านั้น

สาเหตุที่จีนพุ่งทะยานแบบจรวดขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจทางทะเล ส่วนหนึ่งมาจากความรุ่งเรืองเฟื่องฟูของการค้าทางทะเลด้วย โดยประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกอย่างจีนนั้น มีเมืองท่าถึง 7 แห่ง ที่ติด 10 อันดับแรกของเมืองท่าที่คึกคักที่สุดของโลก เมืองท่าเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ต่อเส้นทางการจัดส่งสินค้าระหว่างประเทศ ส่วนเมืองแถบชายฝั่งทะเลของจีนก็มั่งคั่งอย่างยิ่งเพราะการค้าขาย

ยิ่งจีนมีความทะเยอทะยานในการเป็นมหาอำนาจทางทะเลมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งเร่งสะสมอาวุธในรูปแบบของเรือรบมากขึ้นเท่านั้น ซ้ำยังมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือเกาะและน่านน้ำในทะเลจีนใต้ รวมทั้งน่านน้ำอื่น ๆ ที่อยู่ห่างไกลออกไป อย่างแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ

ชาวรัสเซียสร้างต้าเหลียนให้เป็นเมืองท่าในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ปัจจุบันเป็นหนึ่งในอู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดของจีน

เห็นได้ชัดว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ต้องการให้จีนเป็นมหาอำนาจทางทะเล แต่เขาจะทำได้สำเร็จหรือไม่นั้น ยังคงเป็นคำถามที่ต้องรอดูกันต่อไป โดยพิธีสวนสนามครั้งใหญ่ซึ่งจะมีขึ้นที่กรุงปักกิ่งในวันที่ 3 ก.ย. นี้ สามารถจะเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่า จีนเข้าใกล้เป้าหมายในการเป็นมหาอำนาจทางทะเลแค่ไหนแล้ว

ทางการจีนยังได้เชิญประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย และนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ มาเข้าร่วมพิธีสวนสนามดังกล่าวด้วย เพื่อแสดงการท้าทายต่อชาติตะวันตกที่เป็นปฏิปักษ์กับพวกเขา

สหรัฐฯ และบรรดาพันธมิตรชาติตะวันตก ต่างกำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ เพื่อจะได้ชมการแสดงแสนยานุภาพของจีนในพิธีสวนสนามดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะมีการนำขีปนาวุธต่อต้านเรือรบ, โดรนโจมตีใต้น้ำ, และอาวุธความเร็วเหนือเสียงยิ่งยวดหรืออาวุธไฮเปอร์โซนิก ออกมาอวดโฉมสู่สายตาชาวโลกในครั้งนี้ด้วย

“แม้กองทัพเรือสหรัฐฯ จะยังคงได้เปรียบจีนอยู่มาก แต่ก็เล็งเห็นแล้วว่า จีนเริ่มตีตื้นเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ ในเรื่องของศักยภาพทางทหาร ทว่าสหรัฐฯ ยังคงไม่มีทางออกให้กับปัญหานี้ เพราะความสามารถของอุตสาหกรรมการต่อเรือในสหรัฐฯ ได้หดหายและเสื่อมถอยลงไปมาก ตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา” ไชด์สกล่าว

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เคยประกาศว่าจะแก้ไขปัญหานี้อย่างเร่งด่วน โดยได้ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหาร ให้เร่งฟื้นฟูอุตสาหกรรมการต่อเรืออเมริกัน เพื่อเรียกคืนความได้เปรียบทางทะเลของสหรัฐฯ ให้กลับมาเป็นดังเดิม แต่เรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญอย่างไชด์ส มองว่า “เป็นคำสั่งที่ทำให้สำเร็จได้ยากมาก”

สร้างทัพเรือเพื่อยุติ “ความทรงจำอันขมขื่น”

ข้อมูลจากศูนย์เพื่อการศึกษายุทธศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศ (CSIS) ของสหรัฐฯ ระบุว่าระหว่างปี 2019-2023 อู่ต่อเรือที่ใหญ่ที่สุด 4 แห่งของจีน ได้แก่ที่เมืองต้าเหลียน, กวางโจว, เจียงหนาน, และหูตง-จงหัว สามารถต่อเรือรบได้ถึง 39 ลำ โดยมีระวางขับน้ำรวมกันทั้งหมด 550,000 ตัน

ระวางขับน้ำ (displacement) คือปริมาตรของน้ำที่เรือเข้าไปแทนที่ โดยเป็นวิธีสากลในการวัดและบอกขนาดของเรือลำหนึ่งหรือกองเรือทั้งหมด ซึ่งเมื่อเทียบกับจีนแล้ว ปัจจุบันราชนาวีอังกฤษมีระวางขับน้ำของเรือรบรวมกันเพียง 399,000 ตันเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม แม้จีนจะมีกองทัพเรือขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เพราะมีจำนวนเรือรบมากกว่าใคร แต่กองทัพเรือสหรัฐฯ มีระวางขับน้ำรวมกันมากกว่า และในตอนนี้ยังทรงพลังแข็งแกร่งกว่าจีน โดยมีจำนวนของเรือบรรทุกเครื่องบินมากกว่าด้วย

ทว่าจีนก็พยายามไล่กวดสหรัฐฯ ในเรื่องของแสนยานุภาพทางทะเลอย่างไม่ลดละ โดยอเล็กซานเดอร์ พาล์มเมอร์ นักวิเคราะห์จากสถาบัน CSIS ผู้เขียนรายงาน “เผยเบื้องลึกการสะสมกำลังของกองทัพเรือจีน” (Unpacking China's Naval Buildup) แสดงความเห็นว่า “ไม่มีสัญญาณใด ๆ ที่บ่งชี้ว่าจีนรามือ หรือชะลอความเร็วในการไล่กวดสหรัฐฯ เลยแม้แต่น้อย”

“จำนวนเรือรบไม่ใช่ตัวชี้วัดเดียว ที่จะบ่งบอกถึงประสิทธิภาพของกองทัพเรือได้ แต่ที่ผ่านมา ความสามารถในการต่อเรือรบลำใหม่ของจีนน่าทึ่งมาก และอาจจะสร้างความแตกต่างในเชิงยุทธศาสตร์ได้” พาล์มเมอร์กล่าว

อู่ต่อเรือในเมืองต้าเหลียนกำลังประกอบเรือพิฆาต

หนึ่งในบรรดาอุปสรรค ที่ยังคงขัดขวางไม่ให้จีนก้าวขึ้นแท่นมหาอำนาจทางทะเลแทนที่สหรัฐฯ แม้จะมีจำนวนเรือรบมากกว่านั้น ก็คือการที่จีนมีเรือบรรทุกเครื่องบินที่ประจำการแล้วเพียง 2 ลำ และมีเรือดำน้ำน้อยกว่าสหรัฐฯ มาก นักวิเคราะห์บางรายยังมองว่า เทคโนโลยีที่ทัพเรือจีนใช้ยังล้าหลังและต่ำชั้นกว่าทัพเรืออเมริกัน ซึ่งได้เริ่มพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารมาก่อนตั้งแต่ยุคสงครามเย็นแล้ว

เรือดำน้ำของจีนถูกออกแบบมาให้ใช้งานในน้ำตื้น อย่างเช่นในแถบทะเลจีนใต้ ซึ่งตอนนี้สหรัฐฯ กับจีน กำลังเล่นเกมแมวไล่จับหนูกันอยู่ที่นั่น ทว่าความสามารถของทัพเรือจีน ในการเดินทางสู่น่านน้ำที่ไกลจากแนวชายฝั่งของตนเอง ยังคงจำกัดอยู่มาก

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ข้างต้นกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว โดยภาพถ่ายดาวเทียมของเกาะไห่หนานหรือไหหลำ ซึ่งเป็นมณฑลหนึ่งของจีนในทะเลจีนใต้ ที่ทีมงานบีบีซี เวริฟาย (BBC Take a look at) เพิ่งได้มาล่าสุด แสดงให้เห็นว่าจีนกำลังทุ่มงบประมาณเพื่อขยายฐานทัพเรือหลายแห่ง

ฐานทัพเรือที่เมืองอวี้หลิน ในทางตะวันออกของมณฑลไห่หนาน บัดนี้มีท่าเรือใหม่ถึง 5 แห่ง ซึ่งดูเหมือนว่าจะก่อสร้างเสร็จในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา และคาดการณ์กันว่าจีนเตรียมประจำการเรือดำน้ำขนาดใหญ่ที่สุด 5 ลำ ที่ท่าเรือเหล่านี้ โดยล้วนเป็นเรือดำน้ำชั้นจิน (Jin-class) หรือที่เรียกว่า Form 094 ซึ่งสามารถบรรทุกขีปนาวุธนิวเคลียร์ได้ลำละ 12 หัวรบ

ภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่เผยแพร่ทางสื่อสังคมออนไลน์ของจีน ยังแสดงให้เห็นการทดสอบและซ้อมใช้งานโดรนโจมตีใต้น้ำ ที่เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดอย่างน้อย 2 รุ่น โดยโดรนใต้น้ำที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายตอร์ปิโด จะถูกนำออกแสดงในพิธีสวนสนาม “วันแห่งชัยชนะ” ในวันที่ 3 ก.ย. ที่จะถึงนี้

โดรนใต้น้ำดังกล่าวจะช่วยให้กองทัพเรือจีน สามารถจะดำน้ำลาดตระเวนเพื่อตรวจการณ์ในเขตน้ำลึก รวมทั้งตรวจจับเรือดำน้ำของศัตรูหรือสายเคเบิลสื่อสารใต้ทะเลได้ โดยไม่ต้องเอาชีวิตของกำลังพลไปเสี่ยง

แมตทิว ฟูนาอีโอลี นักวิเคราะห์ประจำโครงการ “อำนาจจีน” (Chinese language Vitality Project) ของสถาบัน CSIS บอกว่าเทคโนโลยีทางทหารของจีนนั้น “ส่วนใหญ่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ และเส้นเวลาในการพัฒนายังคงไม่ชัดเจน ดังนั้นคำถามใหญ่ในตอนนี้จึงเป็นเรื่องที่ว่า จะต้องใช้เวลานานแค่ไหน กว่าที่เทคโนโลยีจีนจะพัฒนาจนถึงขั้นที่ใช้ได้”

แต่ถึงกระนั้น ฟูนาอีโอลีกล่าวเตือนด้วยว่า สหรัฐฯ ไม่อาจมองข้ามภัยคุกคามจากอุตสาหกรรมการต่อเรือของจีนได้ เพราะการเสริมสร้างแสนยานุภาพทางทะเลของจีนนั้น ถูกขับเคลื่อนด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ที่ยังคงไม่ลืมความเจ็บปวดในอดีต และพร้อมจะค้ำจุนทุกสิ่งที่สนับสนุนอุดมการณ์ของพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องความจงรักภักดี พลังอำนาจ และความรักชาติ

การจัดพิธีสวนสนามแสดงแสนยานุภาพครั้งใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบวันที่จีนได้ชัยชนะเหนือกองทัพญี่ปุ่น และครบรอบวันสิ้นสุดการยึดครองจีนอันโหดร้ายนั้น เท่ากับประกาศเจตนารมณ์ข้างต้นของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างชัดเจน

ที่มาของภาพ : Getty Photos

เรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิง กำลังเตรียมแล่นทดสอบในทะเลที่อู่ต่อเรือเมืองต้าเหลียน เมื่อเดือนก.พ. ปี 2024

สิ่งที่ทั่วโลกมองว่าเป็นการผงาดขึ้นสู่ความเป็นมหาอำนาจของจีนนั้น ในสายตาของประธานาธิบดีสีแล้ว เป็นการฟื้นตัวจากอดีตอันน่าอัปยศอดสูมากกว่า ที่ผ่านมาเขาเฝ้าเน้นย้ำถึงคุณค่าของ “การมีทัพเรือที่แข็งแกร่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ” เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม ในตอนที่จีนถูกรุกรานหลายครั้งระหว่างปี 1840-1949 จนราชวงศ์ชิงที่เคยเกรียงไกรล่มสลาย บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพจลาจล มีทั้งการปฏิวัติและสงครามกลางเมือง ทำให้ประชาชนต้องประสบกับ “ความทุกข์ยากเหลือจะกล่าว”

ประธานาธิบดีสีให้คำมั่นว่า จีนจะต้องไม่ถูกหยามเกียรติเช่นนั้นอีก และชาวจีนจะไม่ต้องพบเจอกับ “ความทรงจำอันขมขื่นจากการถูกต่างชาติรุกราน” อีกแล้ว

ความได้เปรียบอย่างหนึ่งของจีนที่ไม่อาจปฏิเสธได้ คือการที่อู่ต่อเรือของพวกเขาสามารถใช้งานได้ถึงสองทาง ทั้งในการต่อเรือสินค้าเพื่อประโยชน์เชิงพาณิชย์ และในการต่อเรือรบให้กับกองทัพเรือ ในบางกรณีอู่ต่อเรือของทหารและพลเรือนสามารถทำงานร่วมกัน ในแบบที่สื่อของทางการจีนเรียกว่า “หลอมรวมผสมผสาน ทหาร-พลเรือน” ซึ่งเป็นแนวคิดที่ประธานาธิบดีสีเร่งผลักดันอย่างมาก โดยเมืองต้าเหลียนที่เป็น “อู่เรือธง” ของประเทศ มีบทบาทสำคัญในการนี้อย่างยิ่ง

ทิวทัศน์ของเมืองต้าเหลียนที่เห็นอู่ต่อเรือได้อย่างชัดเจน เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยว

แม้ภาพทิวทัศน์ในสายตาของคนที่มาปิกนิกหรือจับกลุ่มร้องคาราโอเกะ ที่สวนสาธารณะซั่วหยูวันของเมืองต้าเหลียน จะเป็นภาพเรือบรรทุกสินค้าขนาดยักษ์ ซึ่งบางลำมีความยาวเท่ากับสนามฟุตบอลสามแห่งรวมกัน แต่ในมุมหนึ่งจะมีช่องจอดเทียบเรือที่ไม่อนุญาตให้คนทั่วไปบันทึกภาพ ถูกจัดให้เป็นสถานที่สำหรับเรือรบและเรือของกองทัพ โดยในวันนี้ที่จุดดังกล่าว มีการใช้ปั้นจั่นหย่อนเฮลิคอปเตอร์ลงไปบนดาดฟ้าขนาดใหญ่ของเรือลำหนึ่ง ในขณะที่มีเสียงดนตรีบรรเลงจากวงโยธวาทิต แผดดังขึ้นจากด้านในสวนสาธารณะซั่วหยูวัน

ฟูนาอีโอลีให้คำอธิบายต่อเรื่องนี้ว่า “นี่คือแผนการที่มีแรงจูงใจทางการเมืองอยู่เบื้องหลัง เพื่อผนวกรวมองค์กรทางการค้าและการทหารเข้าด้วยกัน ตอนนี้ทางการจีนพยายามนำเทคโนโลยีที่จำเป็น มาสร้างสถานที่ทั้งสองแบบไว้ในศูนย์กลางแห่งเดียวกัน ซึ่งเมืองต้าเหลียนก็เป็นหนึ่งในนั้น”

มีการใช้เครนหย่อนเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่ง ลงบนเรือรบที่กำลังจอดเทียบท่าที่เมืองต้าเหลียน

ฟูนาอีโอลียังกล่าวเสริมว่า นั่นคือเหตุผลที่แม้จีนจะไม่มีเรือบรรทุกเครื่องบินหรือเรือดำน้ำที่ทรงพลัง แต่กองเรือสินค้าและเรือเดินสมุทรเพื่อการพาณิชย์ของจีน รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการต่อเรือได้อย่างรวดเร็ว จะช่วยให้จีนอยู่รอดและข้ามพ้นอุปสรรคต่าง ๆ ในยามวิกฤตได้

“ในยามที่เกิดสงครามหรือการสู้รบที่ยืดเยื้อยาวนาน การมีอู่ต่อเรือหลายแห่งที่สามารถสร้างเรือลำใหม่ได้อย่างรวดเร็ว ถือเป็นข้อได้เปรียบทางยุทธศาสตร์อย่างยิ่ง” ฟูนาอีโอลีกล่าว “เรือสินค้ายังสามารถขนส่งลำเลียงเสบียงอาหาร รวมทั้งยุทธปัจจัยอื่น ๆ ไปยังเขตสงครามได้ หากไม่มีสิ่งนี้เหมือนกับจีน ก็ไม่แน่ว่ากองทัพเรือสหรัฐฯ จะสามารถยืนหยัดทำสงครามในระยะยาวได้หรือไม่ ท้ายที่สุดแล้ว ใครสามารถนำทรัพยากรลงสู่น่านน้ำได้มากกว่าและรวดเร็วกว่าจะเป็นฝ่ายชนะ ซึ่งตอนนี้คำตอบก็คือจีน”

“ซ่อนความแข็งแกร่ง เฝ้ารอโอกาส”

ด้านศาสตราจารย์หู ป๋อ ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ทางทะเล แห่งมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ยืนยันว่าประชาคมนานาชาติไม่จำเป็นจะต้องห่วงกังวล หรือกังวลเกรงว่าจีนจะเป็นภัยคุกคามทางทะเล

“เราไม่ต้องการจะเข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการทหาร” ศ.หูกล่าวอธิบาย โดยคำพูดของเขามีนัยที่เน้นย้ำว่า จีนกำลังต่อเรือลำยักษ์จำนวนมาก เพียงเพราะพวกเขามีศักยภาพที่จะทำได้ ไม่ใช่เพราะต้องการจะครองโลกแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม มีสถานที่บางแห่งที่จีนมองว่าไม่ใช่ดินแดนของต่างชาติ ซึ่งก็คือเกาะไต้หวันนั่นเอง โดยทางการจีนได้ลั่นวาจาให้คำมั่นมานานแล้วว่า จะต้องรวมชาติเป็นหนึ่งเดียวกับไต้หวันให้ได้อีกครั้ง และไม่ปฏิเสธว่าอาจใช้กำลังทหารเข้าทำการนี้ให้สำเร็จ ซึ่งไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ได้ออกมาเผยว่า จีนมีแผนจะรุกรานไต้หวันภายในปี 2027 แต่ทางการจีนปฏิเสธว่าไม่มีการขีดเส้นเสียชีวิตดังกล่าวแต่อย่างใด

“ตอนนี้จีนมีกำลังความสามารถที่จะเอาไต้หวันคืนมาได้แล้ว แต่เราไม่อยากจะทำเช่นนั้น เพราะเรามีความอดทนอดกลั้น จีนไม่เคยถอดใจที่จะรอคอยการรวมชาติกับไต้หวันอย่างสันติ พวกเรารอได้” ศ.หูกล่าว

แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่น่าห่วงยิ่งกว่าคือหากจีนบุกโจมตีไต้หวันจริง การสู้รบดังกล่าวอาจก่อให้เกิดสงครามที่ขยายวงกว้างลุกลามออกไป นอกจากนี้สหรัฐฯ ยังมีภาระผูกพันทางกฎหมาย ที่จะต้องส่งมอบอาวุธเพื่อช่วยไต้หวันให้สามารถป้องกันตนเองในกรณีดังกล่าวด้วย ซึ่งข้อตกลงนี้จีนไม่อาจยอมรับได้ เพราะถือว่าไต้หวันเป็นมณฑลหนึ่งที่แยกตัวออกไป และจะต้องกลับคืนมาเป็นส่วนหนึ่งของจีนในวันข้างหน้า

เมื่อช่วงต้นปีนี้ พีต เฮกเซธ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ ออกมาเตือนว่า ภัยคุกคามจากจีนกำลังคืบคลานเข้ามาจนใกล้จะประชิดตัวไต้หวันแล้ว ทั้งยังเรียกร้องให้ชาติต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย เพิ่มงบประมาณทางการทหารและร่วมมือกับสหรัฐฯ เพื่อช่วยกันป้องปรามไม่ให้สงครามใหญ่เกิดขึ้น

แม้ศ.หู จะกล่าวรับประกันให้ทั่วโลกเชื่อมั่นในความรักสันติของจีน แต่ก็ยากจะเมินเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่า เรือรบจีนเริ่มแล่นออกสู่น่านน้ำที่ไกลจากชายฝั่งของตนเองมากขึ้นทุกขณะ โดยเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา เรือรบจีนเฝ้าวนเวียนสำรวจชายฝั่งของออสเตรเลียนานกว่า 3 สัปดาห์ ทั้งยังซ้อมยิvด้วยกระสุนจริงในน่านน้ำดังกล่าว ซึ่งเป็นการกระทำที่จีนไม่เคยปฏิบัติมาก่อน

ศ.หู ป๋อ บอกว่าความเชี่ยวชาญในการต่อเรือของจีน ไม่เป็นภัยคุกคามต่อโลก

ล่าสุดเรือบรรทุกเครื่องบินของจีน ยังทำการซ้อมรบทางทะเลใกล้กับประเทศญี่ปุ่น เป็นเหตุให้เกิดความวิตกกังวลกันไปทั่วภูมิภาค เพราะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต แม้จะเป็นการซ้อมรบในเขตน่านน้ำสากลก็ตาม

ในขณะที่จีนกล้าอวดเบ่งอำนาจในน่านน้ำมหาสมุทรแปซิฟิกมากขึ้น เพื่อนบ้านของจีนตั้งแต่ไต้หวันไปจนถึงออสเตรเลีย ต่างเริ่มเป็นห่วงกันว่า คำขวัญเชิงยุทธศาสตร์ดั้งเดิมของจีนที่ให้ยึดหลัก “ซ่อนความแข็งแกร่ง รอคอยโอกาส” กำลังผลิดอกออกผลอย่างงดงามในปัจจุบัน

แต่ศ.หูเชื่อว่า ความหวาดกลัวภัยสงครามในหมู่ของสหรัฐฯ และพันธมิตรชาติตะวันออกอย่างญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รวมทั้งออสเตรเลีย ซึ่งต่างก็ไม่ถูกกับจีนมาโดยตลอด ถูกขยายให้ใหญ่โตและน่ากลัวเกินจริง เพราะทุกฝ่ายรู้ดีว่าสงครามดังกล่าวจะนำมาซึ่งหายนะอันใหญ่หลวง “ตลอดช่วงสามปีที่ผ่านมา สัญญาณจากทั้งสองฝ่ายนั้นชัดเจนมากว่าไม่ต้องการสู้รบกัน แม้จีนจะได้เตรียมการรับมือเอาไว้แล้ว แต่เราก็ไม่ต้องการจะสู้รบเช่นกัน”

“พิทักษ์ปกป้องความฝันทางทะเลของเรา”

ห่างออกไปจากตัวเมืองต้าเหลียนด้วยการขับรถเพียงหนึ่งชั่วโมง นักท่องเที่ยวจำนวนหลายคันรถบัส พากันหลั่งไหลมาเยือนเมืองลวี่ชุนเข่า เขตฐานทัพเรือที่ชาวตะวันตกในอดีตรู้จักกันดีในชื่อว่า “พอร์ตอาร์เธอร์” (Port Arthur) ปัจจุบันเมืองแห่งนี้มีสวนสนุกของกองทัพที่ตั้งอยู่บนเรือบรรทุกเครื่องบินด้วย

บรรดามัคคุเทศก์ต่างใช้ไมโครโฟนส่งเสียงดังเจื้อยแจ้ว เพื่อนำคณะทัวร์ของตนเข้าไปในสวนสนุกดังกล่าว พลางชี้ไปยังป้ายคำเตือนของเจ้าหน้าที่ ซึ่งห้ามไม่ให้ผู้มาเยือนถ่ายภาพเรือรบ ที่ทอดสมออยู่ในอ่าวรูปพระจันทร์เสี้ยวแห่งนั้น รวมทั้งขอความร่วมมือให้ช่วยรายงาน หากพบเห็นพฤติกรรมที่ต้องสงสัยว่าอาจเป็นการจารกรรม “เพื่อปกป้องมาตุภูมิของเรา”

นอกจากนี้ยังมีป้ายประกาศของทหาร ปรากฏบนสะพานและกำแพงด้วยว่า “เรารวมกันเป็นหนึ่ง เพื่อพิทักษ์ปกป้องความฝันทางทะเลของเรา” ซึ่งคำขวัญนี้สะท้อนให้เห็นว่า จีนมุ่งบ่มเพาะความภาคภูมิใจในกำลังความสามารถด้านการต่อเรือของตน ให้เป็นที่ประทับใจในหมู่ประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองต้าเหลียน

สวนสนุกของกองทัพเรือใกล้เมืองต้าเหลียน ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้จำนวนมาก

จากด้านบนของสวนสนุกแห่งนี้ สามารถมองเห็นอู่ต่อเรือได้เช่นกัน ซึ่งที่นั่นบล็อกเกอร์ชายวัย 50 ปีคนหนึ่ง ที่สวมเสื้อเชิ้ตลายดอกตามแฟชั่นท้องถิ่น แจกเอกสารสรุปข้อมูลเกี่ยวกับเรือลำล่าสุดที่กำลังประกอบอยู่ในอู่ต่อเรือดังกล่าว ให้กับคนในคณะติดตามของเขา “ผมภูมิใจมากจริง ๆ ดูสิว่าเมืองนี้ให้อะไรกับเรา” ส่วนแม่กับลูกสาววัยเจ็ดขวบที่มาจากมณฑลข้างเคียงในวันหยุดบอกว่า “ช่างน่าอัศจรรย์ใจจริง ๆ มันใหญ่โตมาก ฉันสงสัยว่ามันแล่นเหนือน้ำในทะเลได้ยังไงกันนะ”

คำถามหลักสำหรับสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรในตอนนี้ คือเรื่องที่ว่ากองเรือสงครามของจีน จะมีความสามารถเดินทางไปได้ไกลขนาดไหน และจีนมีแผนการที่จะล่องเรือออกสำรวจ โดยไปไกลจากชายฝั่งของตนเองเป็นระยะทางมากน้อยเพียงใดกันแน่

นิก ไชด์ส กล่าวสรุปทิ้งทายว่า “สิ่งสำคัญที่ต้องจับตามอง คือเมื่อใดกันแน่ที่ทัพเรือจีนจะสำแดงตัวออกมา และสร้างอิทธิพลในน่านน้ำที่ห่างไกลออกไปได้ ตัวอย่างเช่นในมหาสมุทรอินเดียและน่านน้ำอื่น ๆ ที่ไกลเกินกว่านั้น”

“จีนยังคงต้องไปอีกไกล แต่แน่นอนว่าในขณะนี้ พวกเขาพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดที่มีอยู่อย่างสุดกำลัง”