
อ.สมชัย จิตสุชนเผยข่าวเศร้าแวดวงวิชาการ ‘อัมมาร สยามวาลา’ เสียชีวิตแล้ว ตั้งศwทำพิธีทางศาสนาที่สุสานมูลนิธิสุลัยมานี
สำนักข่าวอิศรา . รายงานว่า วันที่ 4 ตุลาคม 2568 นายสมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กระบุว่า อัมมาร…อาลัย
‘คนตรงในประเทศคด’ หรือ “A straight man in a crooked country”
ประโยคนี้เป็นการยกย่องและสรุปบุคลิกภาพของ ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ได้อย่างกระชับและมีพลัง กลายเป็นภาพจำของอาจารย์ป๋วยในใจหลายคนมาจนทุกวันนี้ เพราะสื่อความหมายได้อย่างชัดเจนถึงความเป็นคนซื่อตรง มีความซื่อสัตย์สุจริต และยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้อง
ผู้รังสรรค์ประโยคที่ทรงพลังนี้คือ ดร. อัมมาร สยามวาลา นักเศรษฐศาสตร์เสาหลักแห่งยุคอีกท่านนึงของไทย
ผมรู้จักอาจารย์อัมมารมานานมาก ตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรีที่คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่อาจารย์เคยสอนอยู่ก่อนผมเข้าเรียน และได้ตกทอดมรดกทางวิชาการไว้หลายอย่างที่คณะ ผมยังจำแผนภาพ diagram ที่อธิบายนโยบายพรีเมี่ยมข้าวที่อาจารย์รุ่นหลังเอามาใช้สอนกันต่อเนื่องในวิชาเศรษฐศาสตร์จุลภาค เป็น diagram ที่ดูแล้วชัดเจนว่าผลกระทบของการแทรกแซงของรัฐบาลที่ไม่ถูกที่ควรนั้นเป็นอย่างไร ตอนที่เรียนยังรู้สึกว่า คนที่เขียนแผนภาพนี้ขึ้นมาเก่งจริง ๆ และแน่นอนว่าท่านนั้นคือ ดร. อัมมาร สยามวาลลา
และผมก็เข้าใจไม่ผิด ผมได้ประจักษ์ชัดปราศจากข้อสงสัยว่าอาจารย์เป็นคนที่เก่งมากๆ เมื่อผมได้มีโอกาสเข้าทำงานที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย (TDRI) เมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้วหลังอาจารย์ไม่นานนัก โดยอาจารย์ถือเป็นหนึ่งในขุนพลแนวหน้าของสถาบันในยุคนั้น ร่วมกับอาจารย์วีรพงษ์ รามางกูร อาจารย์ฉลองภพ สุสังกรกาญจน์ อาจารย์อาณัติ อาภาภิรมย์ อาจารย์ณรงค์ชัย อัครเศรณี เป็นต้น ซึ่งทุกท่านถือเป็นนักเศรษฐศาสตร์และนักวิชาการระดับแถวหน้าของประเทศทั้งสิ้น แต่อาจารย์อัมมารมีความโดดเด่นในแบบฉบับของท่าน ไม่ว่าความหลากหลายของความรู้ การเลือกถ้อยคำที่เปี่ยมด้วยภูมิปัญญา (และหลายครั้งอารมณ์ขัน) การใช้ภาษาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษที่ลุ่มลึก ที่ผมแปลกใจคือภาษาไทย ทั้งที่อาจารย์มีเชื้อสายอินเดีย และเข้าใจว่าไม่ได้พูดภาษาไทยที่บ้านก่อนแต่งงานด้วยซ้ำ จำได้ว่าครั้งหนึ่งอาจารย์เล่าเรื่องให้ฟังเกี่ยวกับประวัติอันโลดโผนเล็ก ๆ ของแก และใช้คำว่า “สมัยที่ผมยังก๋ากั่นอยู่….” นั่นน่าจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ผมได้ยินอาจารย์ผู้ใหญ่ใช้คำว่าก๋ากั่น
การเล่าเรื่องต่างๆ ของอาจารย์มักจะเกิดขึ้นบนโต๊ะอาหารกลางวันในสมัยหนึ่งที่สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ผู้ร่วมโต๊ะหลายคนรอคอยที่จะได้ฟังอาจารย์ โดยเฉพาะเรื่องการวิเคราะห์ ทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การเมือง สังคม ที่พวกเราทุกคนรอคอยเพราะทุกครั้งจะเป็นการเปิดโลกให้กับผู้เข้าร่วมพูดคุยเสมอ เพราะความลุ่มลึกในองค์ความรู้ การวิเคราะห์ จุดยืนทางนโยบายที่น่าเคารพยิ่ง ส่วนเรื่องความจำนั้น อาจารย์มักสร้างความประทับใจให้ผู้ร่วมคุย เช่นอาจารย์สามารถบอกได้ว่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั้งในไทยและในโลกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. อะไรโดยไม่ได้มีท่าทีว่าท่องจำมา ดูเป็นลักษณะ ‘มันจำได้เอง’ ส่วนการวิเคราะห์ก็เฉียบคมเสมอ
และที่สำคัญคือจุดยืนทางวิชาการที่ตรงไปตรงมาเสมอ มีความกล้าหาญ มีจิตเสรี กล้าตั้งคำถามกับทุกเรื่อง และยังสามารถหาคำตอบให้กับเกือบจะทุกเรื่องที่ตั้งคำถามได้เช่นกัน ซึ่งหาได้ยากมากในนักวิชาการไทย ไม่ว่าจะเป็นรุ่นของท่านหรือรุ่นหลังจากนั้น
อาจารย์เป็นคนที่หลงใหลในตัวเลข มีคนเล่าให้ผมฟังว่าก่อน อ. จะกลับมาเมืองไทย เคยติดต่อขอเข้าไปคลุกคลีดูตัวเลขการจัดทำบัญชีรายได้ประชาชาติ (GDP) กับทางสภาพัฒน์ ซึ่งหลายคนคงทราบว่ามีตัวเลขที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก และอาจเป็นที่มาของการเล่าเรื่องของอาจารย์ทำนองว่า ‘ไส้กรอกแม้อร่อย แต่ถ้าได้มีโอกาสไปดูโรงงานไส้กรอก อาจจะไม่อยากกินอีกเลย’
คุณูปการของ อ. อัมมาร ต่อนโยบายสาธารณะ และต่อแวดวงวิชาการมีมากมายแทบนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นงานวิจัยเรื่องข้าว หนี้สินเกษตรกร การเป็นประธานการ ‘ชำแหละศwเศรษฐกิจไทย’ หลังวิกฤติต้มยำกุ้ง จนนำไปสู่ ‘รายงาน ศปร.’ อันลือเลื่อง และอีกหลายบทความทั้งไทยและอังกฤษเกี่ยวกับต้มยำกุ้ง นอกจากนี้บทความเรื่องการรวมบัญชีธนาคารแห่งประเทศไทย ก็เขียนเรื่องที่เข้าใจยากมากสำหรับคนทั่วไปให้พอจะเข้าใจและสามารถร่วมถกประเด็นร้อนนี้ในตอนนั้นได้ นี่เป็นเพียงตัวอย่างส่วนน้อย
อาจารย์ยังถือได้ว่าเป็น inclusive economist รุ่นแรก ๆ ของไทยด้วย แสดงออกถึงความสนใจในชีวิตคนเล็กคนน้อยมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการเลือกเป็นนักเศรษฐศาสตร์ด้านการเกษตร ความยากจน หนี้ครัวเรือน การพัฒนาชนบท เป็นต้น
ความเป็นเสรีชนน่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ อาจารย์อัมมาร เป็นไม้เบื่อไม้เมากับนักการเมืองที่มีลักษณะเผด็จการ ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการจากรัฐประหาร หรือจากการเลือกตั้งก็ตาม สังคมไทยยุคปี 2000s คงจำได้ว่า อ. วิจารณ์คุณทักษิณและนโยบายคุณทักษิณอย่างต่อเนื่อง จนหลายครั้งหนังสือพิมพ์เอาไปพาดหัวทำนองว่า ‘อัมมารว๊ากใส่…’ แต่แน่นอนว่ายกเว้นนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคของพรรคไทยรักไทย ที่ อ. สนับสนุนเต็มที่
อารมณ์ขันของอาจารย์มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่ใช่อารมณ์ขันแบบดาษดื่น แต่มักแฝงมากับสาระ หลายครั้งก็เจือการประชดประชันอย่างคมคาย จำได้ว่าตอนที่คุณทักษิณอยูในยุครุ่งเรืองสุดขีด หาคนท้าทายยาก คุณทักษิณมักแสดง ‘วิสัยทัศน์’ ที่ดูยิ่งใหญ่อยู่บ่อยครั้ง จน อ. เคยเปรย ๆ ว่า ‘One Vision A Day’
ด้วยหลากหลายสาเหตุที่ผมกล่าวถึง เวลาเจอนักวิชาการต่างประเทศ ผมจึงมักบอกว่า ดร อัมมาร สยามวาลา คือนักเศรษฐศาสตร์ที่เก่งที่สุดในประเทศไทยในช่วงอายุคนที่ผ่านมา กระทั่งปัจจุบันผมก็ยังไม่เห็นนักเศรษฐศาสตร์คนไหนที่จะสร้างความประทับใจได้เท่ากับอาจารย์อัมมาร
ที่ผมประทับใจที่สุดคือความซื่อตรงทางวิชาการที่อาจารย์มีอยู่สูงมาก อาจารย์พร้อมรับฟังความเห็นต่าง ๆ หากมีหลักฐานทางวิชาการสนับสนุน พร้อมจะปรับองค์ความรู้และความเชื่อของอาจารย์อย่างไม่เคอะเขิน และคงเพราะเหตุนี้อาจารย์เคยหงุดหงิดเล็กน้อยกับนักวิชาการที่กอดความเชื่อตัวเองอย่างเหนียวแน่น ครั้งหนึ่ง อาจารย์เคยเรียกคนกลุ่มนึงว่า Majority Fundamentalist เพราะดูจะสนใจแต่การทำตามเสียงข้างมากโดยไม่สนใจแง่มุมอื่น เป็นต้น
อาจารย์เป็นตัวอย่างของนักเศรษฐศาสตร์ที่อาจารย์ป๋วยเคยกล่าวไว้ว่าต้องไม่เพียงรู้เศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่ต้องรู้ศาสตร์อื่น ๆ ด้วย ความรู้รอบของอาจารย์น่าจะเป็นที่มาของเรื่องที่ผมเคยได้ยินว่าเพื่อนอาจารย์ที่คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เคยเรียกอาจารย์ว่า ‘encyclopedia เคลื่อนที่’
พวกเรามีความเป็นห่วงเรื่องสุขภาพอาจารย์เสมอมาตั้งแต่เมื่อทราบว่าอาจารย์เป็นเบาหวาน (และชอบแอบขโมยกินของหวาน โดยเฉพาะลับหลังภรรยาท่าน) และโรคอื่น ๆ รุมเร้า
และในที่สุดวันที่พวกเราไม่อยากให้มาถึงก็มาถึง
อำลา….อัมมาร
อีกหนึ่ง ‘คนตรง’ ในประเทศที่คดมากขึ้นเรื่อย ๆ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับประวัติของนายอัมมาร สยามวาลา เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2482 จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลยลอนดอน ประเทศอังกฤษ และระดับปริญญาเอก สาขาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลยฮาวาร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา
สำหรับพิธีศwจะจัดที่สุสานมูลนิธิสุลัยมานี ซ.ประชาอุทิศ 69 แยก 8
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )