
สัมภาษณ์ ‘เวียงรัฐ เนติโพธิ์’ อาจารย์จุฬาฯ และหนึ่งในกรรมาธิการนิรโทษกรรม โควตาพรรคเพื่อไทย ต่อประเด็นที่มีการถกเถียงวิจารณ์กันกว้างขวางในโซเชียลมีเดียเมื่อปลาย ส.ค.ว่า เหตุใด กมธ.โควตาพรรคเพื่อไทยจึงไม่โหวตในสิ่งที่ กมธ.ของพรรคประชาชนเสนอเพิ่มเติมในมาตรา 3 คือ การนิรโทษกรรมคดี 112 ให้กับเยาวชนต่ำกว่า 18 ปี เหตุผลหลักดูเหมือนจะเป็นความกังวลว่าจะไม่ผ่านการโหวตของสภา หากบรรจุเรื่องนี้เพราะเลยจาก ‘หลักการ’ ที่สภารับร่างในวาระ 1 นอกจากนี้มาตรา 3 ยังมีการแก้ไขถ้อยคำแล้ว เพื่อเปิดโอกาสให้คณะกรรมการวินิจฉัยตามกฎหมายฉบับนี้พิจารณาผ่อนคลายโทษทัณฑ์ของผู้ต้องขังได้หลากหลายมากขึ้น
รศ.ดร.เวียงรัฐ เนติโพธิ์
หลังจากร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ…. ผ่านสภา ได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญขึ้นเพื่อพิจารณากฎหมาย โดยเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมที่ผ่านมา ทาง กมธ.วิสามัญ มีการพิจารณาเนื้อหาของมาตรา 3 ว่าด้วยข้อยกเว้นของการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดฐานทุจริตประพฤติมิชอบ, ทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และความผิดที่ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความเสียชีวิต หรือเป็นความผิดต่อส่วนตัวหรือการกระทำที่ต้องรับผิดต่อบุคคลที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐเป็นเฉพาะรายหรือกลุ่ม
การประชุมดังกล่าว มีการลงมติที่ต้องเลือกระหว่าง
1. ญัตติของ ‘วิชัย สุดสวาสดิ์’ สส.ชุมพร พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ซึ่งเสนอให้คงตามร่างเดิมที่รับหลักการมา อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ที่ประชุมมีมติให้แก้ไขถ้อยคำสำคัญในมาตรานี้ไปแล้ว อย่าง “มิให้บังคับใช้” เปลี่ยนเป็น “มิให้มีผลนิรโทษกรรม” มาตรา 112 (ซึ่งมีนัยอย่างไร คำอธิบายของเวียงรัฐจะอยู่ในเนื้อหาลำดับถัดไป)
2.ญัตติของ ‘ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์’ สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน (ปชน.) ที่เสนอให้มีการนิรโทษกรรมผู้ที่กระทำความผิดมาตรา 112 ที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เพิ่มเติมเข้าไปในมาตรานี้ด้วย
ผลปรากฏว่าที่ประชุมเห็นด้วยกับญัตติของวิชัย 15 เสียง เห็นด้วยกับศศินันท์ 8 เสียง
ใน 15 เสียงพบว่ามี กมธ. ทั้ง 7 เสียงของพรรคเพื่อไทยร่วมโหวตด้วย เป็นเหตุให้ฝ่ายที่ต้องการให้นิรโทษกรรมคดี 112 แก่เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีมองว่ากรรมาธิการฝ่ายพรรคเพื่อไทยไม่มีความจริงใจในการช่วยเหลือผู้ต้องหาคดี 112 เกิดเสียงวิจารณ์อย่างดุเดือดบนโซเชียลมีเดีย
ขณะที่ทางพรรคเพื่อไทยและ กมธ.วิสามัญก็ไม่ได้มีการชี้แจงอย่างเป็นทางการถึงเหตุผลและแนวทางดำเนินการ ‘ประชาไท’ จึงไขข้อสงสัยโดยสัมภาษณ์ ‘รศ.ดร.เวียงรัฐ เนติโพธิ์’ หนึ่งใน กมธ.วิสามัญ โควต้าจากพรรคเพื่อไทย และอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยว่าทำไมจึงตัดสินใจเช่นนั้น
ทั้งนี้ การสัมภาษณ์เกิดในบริบทก่อนโหวตนายกฯ รัฐมนตรีคนใหม่ไม่กี่วัน (1 ก.ย.68) ซึ่งดูเหมือนอาจจะยิ่งเพิ่มความท้าทายสำหรับกฎหมายฉบับนี้ขึ้นอีก
คำตอบในฐานะนักกิจกรรม
เวียงรัฐเท้าความว่า ได้รับการทาบทามจากณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ให้เข้าร่วมเป็น กมธ.วิสามัญ เนื่องจากมีความเชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์และมีความเข้าใจในภูมิทัศน์การเมืองไทย ซึ่งเธอยอมรับว่าอาจไม่ได้ทำหน้าที่ กมธ.วิสามัญ ในฐานะนักรัฐศาสตร์มากเท่ากับในฐานะนักกิจกรรม
“เราคิดว่าส่วนหนึ่งเราเป็นนักกิจกรรม แม้ว่านักกิจกรรมบางส่วนอาจไม่ได้นับว่าเราเป็นนักกิจกรรมเพราะไม่ได้เห็นเหมือนเขาทั้งหมด แต่เราก็ใช้เวลาว่างทำกิจกรรมที่อยู่นอกเหนือจากงานวิชาการ ดูเรื่องที่เราคิดว่าควรจะเป็นตามหลักการ เช่น เรื่องสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม ความไม่ยุติธรรม เราก็อยากจะช่วย ซึ่งอาจไม่ได้ไปร่วมขบวนกับนักกิจกรรมที่เน้นการประชาสัมพันธ์
“อันนี้ต่างหากที่ถูกตั้งคําถาม เมื่อเราโหวตคว่ำมาตรา 3 ที่เสนอโดย ส.ส.ศศินันท์ ที่จะให้รวมนิรโทษกรรม 112 เด็กอายุต่ำกว่า 18 ด้วย มันเป็นการตั้งคำถามในฐานะนักกิจกรรมมากกว่า เพราะว่าในฐานะนักรัฐศาสตร์หรือในฐานะกรรมาธิการวิสามัญ มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“ถ้าถามในฐานะนักกิจกรรม ถามง่ายๆ เลยว่า อยากช่วยเด็กอายุต่ำกว่า 18 ไหม ก็ต้องยืนยันว่าอยากช่วย แต่การ ‘อยากช่วย’ นั้น มันไม่เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมธิการครั้งนี้ และขอยืนยันว่าการตัดสินใจในตอนนั้น เรารู้ว่าเราทำอะไรอยู่
“เบื้องต้นคือ ตามความเข้าใจของเรา กรรมาธิการชุดต่างๆ ในสภาคือ backbone ของสภา เพื่อทำให้กฎหมายรัดกุมที่สุด ตรงตามหลักการและวัตถุประสงค์ที่สุด ในขั้นตอนนี้จริงๆ นักกฎหมายและผู้เชี่ยวชาญสำคัญที่เข้ามานั่งในกรรมาธิการ ต้องยอมรับว่าพอไม่ได้เป็นนักกฎหมายก็อาจจะช่วยไม่ได้มากนัก
“ตั้งแต่มีคำสั่งแต่งตั้งเป็นกรรมาธิการแล้ว ได้คุยกันนอกรอบกับท่านประธานคือ คุณณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ว่าเป้าหมายเราต้องการช่วยคนให้มากที่สุดรวม รวมเด็ก รวมเสื้อแดง เสื้อเหลืองหรือใครก็ตาม มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยเฉพาะคดี 112 ซึ่งยากที่สุด และไม่ติดใจอะไรไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน รวมทั้งเอาข้อมูลมากางดูว่ามีคดีอะไรบ้างที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง และคนเหล่านั้นอยู่ในขั้นตอนไหน ข้อมูลตรงนี้ iLaw ทำไว้และอัพเดทเรื่อยๆ ส่วนคุณณัฐวุฒิยิ่งอัพเดทวันต่อวัน และแทบจะรู้ชื่อรู้หน้าของคนที่ยังอยู่ในกระบวนการยุติธรรม เราตระหนักตั้งแต่การคุยกันครั้งแรกว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ผ่านสภาผู้แทนฯ วาระ 1 โดยตามหลักการแล้ว ‘ไม่รวมคดี 112’ ตอนนั้นก็คิดอยู่เหมือนกันว่า เรามานั่งตรงนี้แทบจะไม่มีความหมายอะไร แต่เมื่อเข้าร่วมประชุม ฟังคำยืนยันของคุณณัฐวุฒิ และกรรมาธิการท่านอื่นๆ ก็เข้าใจว่า คงจะมี พ.ร.บ.ที่สมบูรณ์แบบไม่ได้ แต่ทำอย่างไรจึงจะทำให้ พ.ร.บ.นี้ออกมาได้”
ดันให้ผ่านเร็วที่สุด ช่วยคนให้ได้มากที่สุด
เวียงรัฐยังกล่าวถึงรายงานการศึกษาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมหลายร้อยหน้า ซึ่งเป็นคู่มือที่เป็นประโยชน์มากในการทำหน้าที่ของ กมธ. และพบว่า ถ้ารวมคดี 112 ด้วย ความเป็นไปได้ในการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรมจะยากมากหรือเป็นไปไม่ได้ ทำให้ ร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ…. ที่ผ่านวาระ 1 เข้ามาไม่รวมประเด็นนี้เอาไว้ ซึ่งเป็นกรอบใหญ่ของกฎหมายที่ทำให้การแก้ไขเนื้อหาไม่สามารถเกินไปกว่าหลักการของกฎหมายที่ผ่านวาระ 1 ได้ เพราะเมื่อเข้าสู่สภาอีกครั้งอาจจะไม่ผ่านหรือต่อให้ผ่านก็อาจถูกฟ้องศาลรัฐธรรมนูญ ดังนั้น เป้าหมายอันดับแรกจึงต้องผลักดันให้กฎหมายฉบับนี้ผ่านสภาให้ได้เพื่อช่วยคนให้ได้มากที่สุด
“ที่นี้จะรวมใครบ้าง เราก็ใส่เข้ามาให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้” เวียงรัฐพูดในฐานะนักกิจกรรม
“สมมติว่ามีอยู่ 80 เปอร์เซ็นต์ช่วยได้ก็ช่วยไป แต่ถ้า พ.ร.บ.นี้ไม่ออกมาเลย ถามว่าการที่ไม่รวมคดีของเด็กเยาวชน 112 ด้วยมันผิดหลักการในใจเราไหม เราคิดว่าถ้ารวมได้ก็ดี แต่ถ้ารวมแล้วมันทำให้ไม่ออกมา มันตกไป การยืนยันหลักการ เราอาจดูดี แต่ว่ามันไม่ได้ช่วยใครเลย แล้วเราตกลงกับคนอื่นๆ แล้วว่าเราเข้ามาต้องการช่วยให้ได้มากที่สุด ต้องการให้ พ.ร.บ.ออก มันอาจไม่ใช่ พ.ร.บ.ที่สมบูรณ์ ก็ขอให้มันได้ออก เราคิดอย่างนี้”
เวียงรัฐให้ข้อมูลประกอบว่า ขณะนี้จำนวนผู้ที่ติดคุกในคดี 112 มีประมาณ 31 คน ในจำนวนนี้มีนักโทษเด็ดขาดที่ออกมาแล้ว 6 คน และในจำนวน 20 กว่าคนที่เหลือมีนักโทษเด็ดขาดที่คดีสิ้นสุดแล้ว 8 คน ซึ่งใน 8 คนนี้เกินครึ่งหนึ่งมีโอกาสได้รับการอภัยโทษตามรูปแบบของ 6 คนที่ได้รับการปล่อยตัว ซึ่งตรงนี้น่าจะช่วยคนได้อีก ทั้งคุณณัฐวุฒิยืนยันว่ามีการเจรจาพูดคุยเพื่อหาแนวทางช่วยเหลือผู้ต้องหาคดี 112 อย่างต่อเนื่อง
เธอมองว่า หากกฎหมายฉบับนี้ออกมาได้ คดีความหลายพันคดีในข้อหาอื่นๆ เช่น ละเมิดกฎจราจร ละเมิด พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 หรือคดีอาญา มาตรา 116 ซึ่งมีผู้ต้องหาหลายร้อยคนก็จะได้รับการนิรโทษกรรมทั้งหมด
นอกจากนี้ ปัจจุบันไม่มีเยาวชนที่ทำความผิดขณะอายุไม่ถึง 18 ปีคนใดอยู่ในเรือนจำ
เวียงรัฐคิดว่าหากการนิรโทษกรรมดำเนินต่อไปได้ คดี 112 จะกลายเป็นคดีเดียวที่เหลืออยู่และเป็นที่จับจ้องของสังคม ซึ่งอาจทำให้ฝ่ายอนุรักษนิยมต้องหาแนวทางที่ยืดหยุ่นและประนีประนอมควบคู่ไปกับการพูดคุย การใช้มาตรการอื่นๆ หรือกฎหมายมาตราอื่นๆ ในการยกเว้นโทษเยาวชนหรือให้ได้รับการอภัยโทษโดยเร็วที่สุด
“ถ้าใช้คําว่า pragmatic มันก็เหมือนละเมิดหลักการ แต่เราคิดว่ามันไม่ได้ละเมิดหลักการอะไร ในแง่ที่สถานภาพของเราเป็นกรรมาธิการ คุยกันแล้วคือทำยังไงให้มันออกมาดีที่สุดในกรอบที่สภาผ่านมาแบบนี้ มันเหมือนกับว่าถ้าช่วยใครไม่ได้คุณก็ไม่ช่วยเลยไหม เราว่าไม่ใช่ คิดว่าควรเดินหน้าต่อเอาเท่าที่จะได้”
เปลี่ยนบางถ้อยคำ สร้างความเป็นไปได้อื่น ช่วยบรรเทาคดี 112
เวียงรัฐเล่าถึงการพิจารณาถ้อยคำในมาตรา 3 ในร่าง พ.ร.บ.สร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ…. ของวิชัย สุดสวาสดิ์ ซึ่งเป็นร่างหลักนั้น เดิมทีนั้นร่างกฎหมายที่ผ่านสภาวาระ 1 ระบุไว้ว่า
‘พระราชบัญญัตินี้มิให้ ใช้บังคับ กับการกระทำความผิดฐานทุจริตหรือประพฤติมิชอบ การกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และการกระทำความผิดที่ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความเสียชีวิตหรือที่เป็นการกระทำความผิดต่อส่วนตัวหรือที่เป็นการกระทำที่ต้องรับผิดต่อบุคคลใดที่มิใช่หน่วยงานของรัฐเป็นการเฉพาะรายหรือเฉพาะกลุ่ม’
แต่ในการประชุมครั้งที่ 5 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 ชูวัส ฤกษ์ศิริสุข หนึ่งใน กมธ.วิสามัญ ได้เสนอปรับถ้อยคำในมาตรา 3 จากคำว่า ‘มิให้ใช้บังคับ’ เป็น ‘มิให้มีผลนิรโทษกรรม’ ในเอกสารสรุปผลการประชุม ที่ประชุมจึงมีมติให้แก้ไขเพิ่มเติมร่างมาตรา 3 เป็น
‘พระราชบัญญัตินี้มิให้มีผลนิรโทษกรรม แก่การกระทำความผิดฐานทุจริตหรือประพฤติมิชอบ การกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และการกระทำความผิดที่ทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความเสียชีวิต หรือเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 หรือที่เป็นการกระทำความผิดต่อส่วนตัวหรือที่เป็นการกระทำที่ต้องรับผิดต่อบุคคลใดที่มิใช่หน่วยงานของรัฐเป็นการเฉพาะรายหรือเฉพาะกลุ่ม’
คำว่า ‘มิให้ใช้บังคับ’ ในร่างเดิม เวียงรัฐอธิบายว่าเท่ากับไม่ให้ใช้กฎหมายนี้พูดถึงคดี 112 เลย แต่ชูวัสเสนอให้เปลี่ยนเป็น ‘มิให้มีผลนิรโทษกรรม’ ซึ่งภายหลังชัยธวัช ตุลาธน หนึ่งใน กมธ.วิสามัญ ก็ได้เสนอถ้อยคำที่คล้ายคลึงกันว่า ‘มิให้นิรโทษกรรม’ นี่หมายความว่ากฎหมายฉบับนี้ยังปรับ ‘ใช้บังคับ’ กับคดี 112 ได้ แม้กำหนดไม่ให้มีการนิรโทษกรรม แต่สามารถใช้กลไกอื่นๆ ตามที่คณะกรรมการตามกฎหมายฉบับนี้มีอำนาจและเห็นสมควร
“เขาเสนอมาแบบประนีประนอมนะ ก็คือ คําว่า ไม่ให้นิรโทษ มันไปเปิดช่องตรงที่ว่าหากกรรมการเห็นว่าควรจะเป็นการชะลอการฟ้อง การลดโทษ การรอลงอาญา หรือ พักโทษ อภัยโทษ จนถึงยกฟ้อง ก็อาจจะเสนอไปได้ เพื่อให้เข้าธีมของการสร้างเสริมสังคมสันติสุขที่เป็นชื่อของ พ.ร.บ.
“เราคิดว่าคุณชัยธวัชก็เข้าใจตรงนี้ แต่คุณชัยธวัชก็ยังอยากเสนอต่อว่า ไม่ให้นิรโทษกรรมคดี 112 หรือนิรโทษได้แบบมีเงื่อนไข เช่นต้องไม่กระทำผิดซ้ำภายใน 3 ปี อะไรแบบนี้ ซึ่งมันยิ่งทำให้มาตรา 3 เลยไปจากร่างที่ผ่านสภาวาระรับหลักการมาแล้ว จะเยิ่นเย้อมาก และไม่มีทางที่จะผ่านได้ แต่เข้าใจความพยายามของคุณชัยธวัชที่จะหาทางรวม 112 เข้าไปแบบมีเงื่อนไข
“ตอนแรกพอชูวัสเสนอถ้อยคำว่า ‘มิให้นิรโทษ’ ปุ๊บ คุณนิกร จํานง (พรรคชาติไทยพัฒนา) ซึ่งเป็นคนสำคัญในกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม แล้วก็นั่งในกรรมาธิการหลายชุด ท่านเป็นคนที่เข้าใจเรื่องพวกนี้ดี ก็ขอสงวนสิทธิ์ เขาจะไม่เอาด้วย เพราะถือว่าไปเปลี่ยนหลักการของร่างหลัก คิดว่าจะไม่ผ่านสภาแน่นอน แต่คุณวิชัยก็กลับมาใหม่แล้วก็คล้ายๆ ยอมประนีประนอม เปลี่ยนจากคําว่า พระราชบัญญัตินี้มิให้ใช้บังคับ มาเป็น มิให้มีผลนิรโทษกรรม คือมันแคบลง ไม่ให้นิรโทษ แต่คุณจะไปทำอย่างอื่น อันนี้เขาไม่ไปก้าวล่วง ถือว่าเขาประนีประนอมกับข้อเสนอของคุณชูวัสแล้ว ณ จุดนั้น ในความเห็นเรา เราว่าพอรับได้
“แต่เดิมคําว่า มิให้ใช้บังคับ มันกว้างมากคือต้องไม่พูดถึง 112 เลย เราคิดว่าเป็นการประนีประนอมที่ก้าวขึ้นไปอีกขั้น คุณนิกร จํานง ก็ยอมรับและถอนการสงวนสิทธิ์ เพราะถือว่าคุณวิชัยซึ่งเป็นเจ้าของร่างหลักขอแก้ไขเอง มันก็เท่ากับว่ายังอยู่ในหลักการเดิม ไม่อย่างนั้นไม่จบ นิรโทษกรรมจะไม่ได้ออก”
นอกจากนี้ ประเด็นที่เวียงรัฐพิจารณาอีกประการในการโหวตก็คือ กระแสฝ่ายขวาที่ถูกตีฟูขึ้นมาจากเหตุปะทะทางอาวุธไทย-กัมพูชา หากยื่นเสนอกฎหมายที่มีเรื่องการนิรโทษกรรมเข้าไปอาจจะถูกตีตก
ส่วนกรณีที่ศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาชน (ปชน.) เสนอ เวียงรัฐมองเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นนักกิจกรรมที่ต้องการยืนยันหลักการ ซึ่งเธอเข้าใจและต้องการโหวตให้ ถ้าไม่ติดว่าจะเสี่ยงทำให้กฎหมายนิรโทษกรรมทั้งหมดตกไป ส่วนที่ 2 เป็นการเสนอในฐานะพรรคการเมืองที่ยืนยันในหลักของพรรค ซึ่งเป็นการเสนอที่สามารถนำมารณรงค์ต่อได้
“มันทำให้เห็นว่ายังมีคนแคร์กับเยาวชนอะไรแบบนี้ เอาไปรณรงค์ต่อได้ แต่เราคิดว่าเราไม่เห็นด้วยกับวิธีการอย่างนี้ ไม่เห็นด้วยที่ใช้รณรงค์ต่อ แล้วมีการโจมตีกรรมาธิการอีกฝ่ายว่า ‘รังแกเด็ก’ หรือ ‘คว่ำกฎหมายที่จะช่วยเด็ก’ ทั้งที่รู้ว่าหลักการมันมีร่มแค่ไหน และการดันเพดานไปมันก็จะพาให้ทั้งหมดลําบากไปด้วย เราคิดว่าไม่ค่อยแฟร์กับคนที่ยกมือให้นิรโทษกรรมมาตรา 3 ที่เป็นไปตามร่างหลักเท่าไหร่ และทั้งๆ ที่ก็รู้กันอยู่ว่าเยาวชนไม่มีใครที่อยู่ในคุก”
เวียงรัฐย้ำว่าเป้าหมายของกรรมาธิการคือทำให้กฎหมายฉบับนี้มีความกระชับ ช่วยคนให้ได้มากที่สุด และมีผลบังคับใช้ให้เร็วที่สุด ซึ่งคาดว่าจะมีการเพิ่มบัญชีแนบท้ายเกี่ยวกับฐานความผิดและกรอบเวลานิรโทษกรรมตามที่ไอลอว์เสนอบรรจุเข้าไปให้ได้มากที่สุด โดยเวียงรัฐมั่นใจว่า กมธ.จะนำเข้ามารวมทั้งหมด
“กรรมาธิการคือกระดูกสันหลังของสภา พ.ร.บ.พอมันโหวตไปโดยหลักการ อภิปรายความสวยงามของตัวกฎหมายได้ แต่ในแต่ละถ้อยคํามันมีผลต่อชีวิตคน มีผลต่อการวินิจฉัยของศาล ของอัยการ ของตำรวจตั้งแต่ต้นเลย แต่ละถ้อยคําที่ออกมาจะต้องใช้นักกฎหมายและส่วนใหญ่ก็เป็นนักกฎหมายนะ คนที่มีสิทธิ์มีเสียงในนั้น หรือ สส.ที่เคยผ่านการร่างกฎหมาย จะเป็น backbone ของสภา แล้วเราไปนั่งอยู่ เราก็เป็นฟันเฟืองอันเล็กๆ เราก็อยากจะให้กฎหมายมันกระชับแล้วก็ออกมาได้”
‘คณะกรรมการ’ ความท้าทายต่อไป กำหนดอำนาจและหน้าที่
เมื่อเป็นเช่นนี้จึงส่งผลให้การพิจารณามาตรา 4-5 ซึ่งว่าด้วยจำนวน-สัดส่วนของคณะกรรมการและอำนาจหน้าที่มีความสำคัญขึ้นมาทันที การปรับแก้ถ้อยคำหรือเพิ่มอำนาจหน้าที่โดยไม่ขัดหลักการในวาระ 1 อาจจะส่งผลต่อการพิจารณาแนวทางใดๆ ก็ตามเพื่อคลี่คลายคดี 112
ทั้งนี้ มาตรา 5 ในร่างเดิมระบุอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสร้างเสริมสังคมสันติสุขไว้ว่า
1. ออกระเบียบหรือประกาศเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้
2. แต่งตั้งอนุกรรมการเพื่อดำเนินการตามพระราชบัญญัตินี้
3. วินิจฉัยชี้ขาดการพ้นจากความรับผิดทั้งปวงตามพระราชบัญญัตินี้
4. กำหนดมาตรการเยียวยาบุคคลที่ได้รับสิทธิตามพระราชบัญญัตินี้ซึ่งได้รับโทษทางอาญาอยู่ก่อนแล้ว
5. ดำเนินการอื่นใดเพื่อบังคับการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัตินี้
เวียงรัฐเห็นว่ามาตรา 4, 5 และ 6 ในกฎหมายบวกกับบัญชีแนบท้ายน่าจะสามารถช่วยคนได้มากขึ้น และคาดว่าน่าจะใช้เวลาประมาณ 3 เดือนในการพิจารณามาตราต่างๆ ที่เหลืออยู่
ทว่า ความพลิกผันไปมาทางการเมืองที่ตอนนี้ ‘อนุทิน ชาญวีรกุล’ จากพรรคภูมิใจไทยขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จะส่งผลต่อการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้หรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่สังคมต้องจับตาดูต่อไป
สถานการณ์ที่จะทำให้ฝ่ายอนุรักษนิยมยอมประนีประนอม
เมื่อถามให้วิเคราะห์ต่อว่า เหตุใดประเด็น 112 จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่ยากจะจัดการ ฝ่ายอนุรักษนิยมไม่รู้หรือว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นที่สร้างความขัดแย้งในสังคม เวียงรัฐให้ความเห็นว่า เพราะ 112 เป็นเรื่องละเอียดอ่อนมากสำหรับฝ่ายอนุรักษนิยม ถ้าปล่อยเรื่องนี้ไปจะทำให้การรักษาความมั่นคงทางอำนาจเป็นเรื่องยาก อีกทั้งไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สถาบันกษัตริย์ยังถือว่ามีอำนาจสูงสุดและดำรงความชอบธรรมอยู่ แต่ถ้าสามารถผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมให้ออกมาได้ก็อาจส่งผลดีบางประการต่อกรณี 112
“ที่พอมีความหวังก็คือ ถ้านิรโทษหมดแล้ว จะเหลืออยู่ไม่กี่เคสที่เป็นเรื่อง 112 เราคิดว่าเขาก็คงจะมองเห็นว่าปล่อยไว้ก็จะเด่น มีอยู่เรื่องเดียวที่เป็นแรงจูงใจทางการเมืองและยังเป็นปัญหาอยู่ เพราะฉะนั้นก็อาจต้องประนีประนอม แต่ตอนนี้ยังฝุ่นตลบอยู่ ส้มด่าแดง แดงด่าส้ม ส้มด่าเหลือง ฝ่ายขวามาอีก ก็สบายตัว ไม่ต้องทำอะไร ไม่ต้องปรับตัว ก็ยังคงใช้กฎหมายนี้เพื่อให้คนไม่แสดงความเห็นต่อไป เพราะสังคมมันแตกแยกอยู่แล้ว
“แต่ถ้าสังคมมีสันติสุข ซึ่งมันไม่มีหรอก แต่หมายความว่าถ้ากฎหมายนี้ออกมา สังคมน่าจะไปในทางที่คนไม่ค่อยตีกันแล้ว มันก็จะเหลืออยู่เรื่องเดียวที่คุณไม่ยกเว้นให้เขา อาจจะง่ายขึ้นที่จะไปขอความเห็นใจหรือขอความเข้าอกเข้าใจว่าอย่าทำเรื่องนี้ให้เด่นเกินไป มันจะไม่ดี มองแบบนี้ไม่ได้แปลว่า pragmatic หรือแปลว่าจริง เราก็ไม่รู้ เราหวังว่ากระบวนการที่เดินไปด้วยกันนี่ จะทำให้เรื่องนี้เด่นขึ้นมา เพียงแต่สถานการณ์ทางการเมืองมันเอื้อให้เขาไม่ต้องแคร์เรามาก เพราะว่าเราก็ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่แล้ว”
แรงกระแทกจากหน้าที่ กมธ.วิสามัญ
ช่วงท้ายของการสนทนา อดถามไม่ได้ถึงผลกระทบในชีวิตส่วนตัวจากการมารับตำแหน่งกรรมาธิการวิสามัญครั้งนี้ เวียงรัฐบอกว่า ตนเองไม่ได้มีพรรคพวกในโลกโซเชียลมีเดียอยู่แล้ว ส่วนในชีวิตจริงก็ไม่มีผลอะไร และเธอรู้สึกว่าคนไม่ได้สนใจบ้านเมืองเท่ากับตอนอยู่ในโซเชียลมีเดีย
“อย่างวันที่รู้ว่าต้องเปลี่ยนแปลงนายกฯ วันที่กำลังจะตั้งรัฐบาล สิ่งที่เราต้องทำแข่งกับเวลาก็คือแก้เปเปอร์ ซึ่งในฐานะนักวิชาการมันก็มีแค่นี้ งานในกรรมาธิการก็ถือเป็นงานรองที่เราไปช่วย เพราะว่าเขาขอให้ไปช่วยเพื่อให้กฎหมายนี้ออกมา เราก็ไปนั่งเพื่อเป็นส่วนหนึ่งให้กฎหมายออกมาดีที่สุด เป็นไปได้มากที่สุดแค่นั้นเอง
“แต่ว่าน่าเห็นใจอย่างชูวัส (ฤกษ์ศิริสุข) ที่เพื่อนเอาไปประจาน แล้วชูวัสเองก็ต้องอธิบายเพราะชูวัสเองเป็นสื่อด้วย เป็นนักกิจกรรมที่มีตัวตนอยู่ในโลกโซเชียลด้วย ส่วนเราไม่ได้มีตัวตนในโซเชียล ด่าไปเราก็ไม่ได้ไปฟัง ไม่ได้ไปเสพ ก็ไม่ค่อยกระทบ เราไม่คิดว่าจะขอศาสตราจารย์แล้วมันจะกระทบไหมกับการที่เราไปคว่ำหรือไม่คว่ำ
“แต่เราคิดว่าคนที่ออกมาล่าสุด 6 คนนั้น ไม่ได้เกิดจากการประกาศหลักการหัวชนฝา แต่เกิดจากการประสานกันหลายๆ ฝ่าย บางอย่างพูดได้บางอย่างก็พูดไม่ได้ โมเดลที่ช่วยคน 6 คนนี้ออกมาได้น่าจะเป็นทางออกระยะสั้นที่ดี คือแนวทางที่เราคิดว่าเป็นไปได้มากที่สุดในบรรยากาศแบบนี้”
ส่วนในแง่การทำงานร่วมกันในอนาคต เวียงรัฐกล่าวว่า
“เราไม่มีปัญหา แต่คนอื่นมีปัญหากับเราหรือเปล่าไม่รู้ เป้าหมายเราไม่ได้ต้องการทำงานเพื่อไปรณรงค์ เราไม่ได้ใช้โซเชียลมีเดีย แล้วเราไม่มีแบรนด์ของตัวเองว่าจะต้องบรรลุเป้าหมายอะไร เพราะเป้าหมายของเรามันไปโยงกับเรื่องทางวิชาการ อาจมีเป้าหมายเรื่องช่วยคน แต่ไม่ต้องการไปรณรงค์อะไร พูดง่ายๆ คือเราไปเยี่ยมขนุน เราต้องการคุยกับพ่อแม่ว่ามีทางอะไรบ้างที่จะช่วยขนุนได้ ทั้งเรื่องเล็กๆ อย่างหาหนังสือให้อ่านหรือเรื่องสุขภาวะ กับการไปช่วยขนุนเพื่อที่จะถ่ายรูปแล้วมาลงโซเชียลเพื่อรณรงค์ว่ายังมีคนติดคุก เราก็เลือกทางแรก อันนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แนวทางมันอาจจะต่างกัน แต่เราไม่ได้ขัดแย้งกับเขา”
งานนี้ถือว่าเปลืองตัวหรือเปล่า?
“น่าสนใจ…ก็เปลืองเหมือนกันนะ เพราะมีคนบอกว่าเขาน่าจะเอาเราไปอยู่ในโควตา ครม. หรืออะไรให้ดูเป็นกลางๆ แล้วเราไม่รู้ว่ามีโควตาพรรคเพื่อไทย มันก็อาจจะเปลืองตัวว่าถูกป้ายสีเป็นสีนี้ๆ ก็อาจจะทำงานให้กับคนที่สนับสนุนพรรคการเมืองอื่นยากขึ้น ถามว่ามันจะช่วยคนได้ยากขึ้นไหม ก็อาจจะไม่ แต่ทำงานกับคนอื่นยากขึ้นไหม ก็อาจจะยาก เราก็เลือกที่จะไม่ทำกับเขาก็ได้ อาจจะทำไปทางอื่น เราคิดว่าเพื่อนเรา ถ้าสนิทกันก็จะรู้ว่าเรามีบทบาทยังไงบ้าง แต่ว่าเราไม่ได้มีบทบาทในโซเชียลมีเดียแล้วเท่านั้นเอง”
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )