
ประชาไท จับตาการคุกคามของฝ่ายขวา-กลุ่มอนุรักษนิยม โพสต์ตามหาคนชู 3 นิ้ว-ปิดป้าย “ไว้อาลัยเสรีภาพของพสกนิกร” ท่ามกลางความปั่นป่วนจากมาตรการขอความร่วมมือจัดงานรื่นเริงของรัฐบาล ไว้อาลัยให้ ‘สมเด็จพระพันปีหลวง' ทั้งนี้จากการตรวจสอบของผู้สื่อข่าว โพสต์ตามล่าหาคนปิดป้าย ‘ไว้อาลัยให้เสรีภาพของพสกนิกร' ถูกลบออกไปแล้ว
หลังจากสำนักพระราชวังเผยแพร่ประกาศ การเสด็จสวรรคตของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เช้าวันที่ 25 ต.ค. 2568 ครม.ได้ประชุมนัดพิเศษและมีมติขอความร่วมมือถึงประชาชนทั่วไป ให้ช่วยแต่งกายโทนสีไม่ฉูดฉาดถวายอาลัยเป็นเวลา 90 วัน ส่วนเรื่องของการจัดงานรื่นเริงหรือแสดงคอนเสิร์ตให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ไม่ได้มีการจำกัดหรือห้ามเป็นการเฉพาะ
เมื่อมีมติ ครม. ออกมา คนทำงานหรือจัดงานบันเทิงถือว่าปั่นป่วนทีเดียว เพราะแม้ไม่มีคำสั่งยกเลิกงานรื่นเริง แต่เลี่ยงไม่ได้ว่าเอกชนหรือองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นบางแห่งก็ได้ยกเลิกหรือเลื่อนการจัดงาน โดยอยู่บนฐานของ ‘ปลอดภัยไว้ก่อน' อย่างกรณี ‘ออดี้' พสิษฐ์ ธนชัยบุญยรัตน์ นักร้องดังที่ต้องเลื่อนคอนเสิร์ตวันที่ 31 ต.ค. 2568 ออกไปไม่มีกำหนด งานประเพณีอย่างลอยกระทงเริ่มมีการประกาศยกเลิกไปบ้างแล้ว เช่น เทศบาลเมืองบางกรวย นนทบุรี ประกาศยกเลิกงานบริเวณสะพานพระราม 7 ช่วงวันที่ 25 ต.ค.- 5 พ.ย. 2568 มีการงดจัดงานประเพณีแข่งเรือหางยาว ชิงถ้วยพระราชทานฯ ริมฝั่งแม่น้ำโขง จ.หนองคาย งานวัดภูเขาทองยกเลิกกิจกรรมบันเทิงและงานแสดงมหรสพทั้งหมด เทศกาลเที่ยวพิมาย ประจำปี 2568 ยกเลิกคอนเสิร์ต ประกวดวัฒนธรรมพื้นบ้าน และกิจกรรมบันเทิงอื่นๆ จนผู้จัดงานดนตรีโอดสูญเงินกว่า 2 ล้านบาท ขณะที่บางแห่งใช้วิธีปรับรูปแบบให้ผู้เข้าร่วมแต่งกายด้วยสีขาว-ดำ อย่างงานประเพณีลอยกระทงเมืองพัทยา หรือกรณีของคอนเสิร์ตวง Ok-Pop ชื่อดังอย่างแบล็กพิงก์ (Blackpink) ที่สนามกีฬาราชมังคลาฯ
ที่โดนทัวร์ลงหนักคือนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมว.ศึกษาธิการ ที่ออกหนังสือด่วนที่สุด ขอความร่วมมืองดกิจกรรมที่มีบรรยากาศรื่นเริงเป็นเวลา 1 ปี ทันใดนั้นก็ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากนักการศึกษา แพทย์พัฒนาการเด็กและวัยรุ่น หรือประชาชน จนรัฐมนตรีต้องเรียกประชุมด่วนเมื่อวันที่ 27 ต.ค. ที่ผ่านมา และมีมติออกมาใหม่ให้สามารถจัดงานได้แต่ขอให้ปรับรูปแบบให้สอดคล้องกับบรรยากาศ
การงดหรือเลื่อนงานทำให้หลายฝ่ายกังวลผลกระทบทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะใกล้เข้าสู่หน้าหนาวไฮซีซันของการท่องเที่ยว อีกทั้งเมื่อสแกนกรรมนโยบายของรัฐบาลตอนนี้ก็ยังไม่มีการเยียวยาใดๆ หากได้รับผลกระทบ หนึ่งในคนที่ออกมาให้ความเห็นเรื่องนี้คือนักร้องชื่อดังและเป็นเจ้าพ่อเพลงละคร ‘ปิงปอง’ ศิรศักดิ์ อิทธิพลพาณิชย์ ที่โพสต์ว่าไม่อยากให้มองคนทำงานการแสดงหรือจัดงานอีเวนต์ที่ออกมาบ่นเรื่องนี้ว่าเป็นคนชังชาติ เพราะว่าทุกคนต้องหาเลี้ยงชีพประทังชีวิต หรือต่อให้รัฐบาลไม่ได้ประกาศห้าม แต่เขามองว่าคงไม่มีใครกล้าจัดงาน ด้วยคำสั่งที่คลุมเครือ หรืออาจจะถูกล่าแม่มดตามมา
“นั่งดูเพื่อนๆ นักดนตรี ถูกแคนเซิลงาน บางคนโดนไปเกือบสิบงานแล้ว เพื่อนๆ ออแกไนซ์และผู้จัดหลายคนก็มียกเลิกงาน บางคนกำลังประชุมหาวันลงงานใหม่อยู่ หลายคนเขาไม่กล้าเสี่ยงกับคำว่าตามความเหมาะสมเพราะมันมีบทเรียนเก่าๆ ที่ผ่านมา บางทีก็อย่าไปว่าที่เขาบ่นเลย ลองเปลี่ยนเป็นเราดูสิ สมมติว่าเป็นนักดนตรีฟรีแลนซ์ที่มีลูก สมมติว่าเป็นผู้จัดที่เพิ่งจ่ายมัดจำสถานที่กับเครื่องเสียงไปสักสิบล้าน เจ็บอยู่ ไม่ใช่ว่าคนบ่นจะเป็นคนอคติคนโง่คนชังชาติไปเสียทั้งหมดหรอก (ตัวผมก็ไม่ได้สบายหรอก แต่ยังพออยู่ไหว ถ้าไม่ไหวเดี๋ยวก็จะเห็นผมประกาศขายกีตาร์เอง)” ศิรศักดิ์ระบุ
คนแสดงออกทางการเมืองถูกคุกคาม
นอกจากการวิจารณ์บนสื่อโซเชียลมีเดียต่อมาตรการของรัฐที่ถูกประกาศออกมา นักกิจกรรมรายหนึ่งได้โพสต์สตอรีอินสตาแกรมเล่าเหตุการณ์เมื่อวันที่ 26 ต.ค.2568 ว่าเขาถูกตำรวจนอกเครื่องแบบติดตาม หลังไปแสดงออกโดยการชู 3 นิ้ว และถ่ายภาพที่หน้าหอศิลปวัฒนธรรมกรุงเทพมหานคร (BACC) อีกทั้ง ยังถูกกลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน หรือ ศปปส. เดินทางมาตามหาเขา
นักกิจกรรมรายดังกล่าวระบุว่า วันนั้นเขาเดินทางมาที่ชั้น 1 ของ BACC ตั้งแต่เวลา 14.00 น. เพื่อมาฟังงานเสวนาเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการ จัดโดยเครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (WeFair) ต่อมาเวลา 16.00 น. เมื่อเขาทราบกำหนดการว่าจะมีขบวนเสด็จเคลื่อนพระบรมศwสมเด็จพระพันปีหลวงเคลื่อนผ่านแยกปทุมวัน และ BACC ตัวของนักกิจกรรมเลยออกมายืนดู พร้อมกับชูสามนิ้วต่ำๆ ก่อนถ่ายภาพ หลังจากนั้นเขาก็รู้สึกว่ามีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบจับตามองเขาเป็นพิเศษ และพยายามติดตามการเคลื่อนไหวของเขาไม่ว่าเขาจะเดินไปทางไหนก็ตาม
ข้อความของนักกิจกรรมระบุต่อว่า จนเมื่อเวลา 16.40 น. ขณะที่ขบวนเสด็จฯ เคลื่อนผ่านแยกปทุมวัน เขายืนอยู่หน้า BACC บริเวณใต้ทางเดินสกายวอล์ก ได้มีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบประมาณ 6-7 คน มายืนประกบในระยะประชิดมากๆ แม้ภายหลังเขาจะเดินกลับเข้าไปในงานเสวนา เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบก็ยังคงเดินตามเข้ามาในงาน อยู่จนกระทั่งงานจบ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เดินออกไปก่อน ตอนที่เขากำลังจะเดินออกจากห้องจัดงาน
เขาระบุอีกว่า เวลา 17.30 น. นักกิจกรรมและเพื่อนกำลังจะไปทานข้าว ได้มีกลุ่มตำรวจนอกเครื่องแบบเข้ามาคุย เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการติดป้ายที่หน้าจุฬาฯ ซึ่งทางตำรวจคาดการณ์ว่าอาจจะเป็นกลุ่มของพวกเขา และทางตำรวจได้เชิญให้นักกิจกรรมไปให้ปากคำที่ สน.ปทุมวัน ซึ่งนักกิจกรรมคนดังกล่าวตอบกลับไปว่าพวกเขาขอปรึกษาทนายความก่อน และเมื่อปรึกษาทนายความแล้ว เขาจึงได้แจ้งตำรวจไปว่าขอให้ทางเจ้าหน้าที่ทำตามขั้นตอนตามกฎหมาย โดยการส่งหมายเรียกไปยังที่อยู่ของพวกเขา และเขาจะเข้าไปให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ จากนั้น เวลา 19.00 น.เป็นต้นมา กลุ่ม ศปปส. หนึ่งในแนวร่วมปกป้องสถาบันฯ นำโดยอานนท์ กลิ่นแก้ว แกนนำ ศปปส. เดินทางมาที่หน้าหอศิลป์ฯ เพื่อตามหานักกิจกรรมที่ยืนชู 3 นิ้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อานนท์ ได้ไลฟ์สดหน้าหอศิลป์ฯ เมื่อวันที่ 26 ต.ค. ที่ผ่านมา โดยอธิบายว่า เหตุผลที่เขามาอยู่หน้าหอศิลป์ฯ ว่า เขาได้ทราบข่าวว่ามีนักกิจกรรมมายืนชู 3 นิ้วหน้าหอศิลป์ ตอนที่มีขบวนเคลื่อนพระบรมศwผ่านแยกปทุมวัน เลยเดินทางมาเพื่อตามหานักกิจกรรม อย่างไรก็ตาม ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นวันนั้น
ล่าสุดเมื่อ 28 ต.ค. 2568 อานนท์ กลิ่นแก้ว ได้โพสต์ข้อความและภาพลงในสื่อโซเชียลมีเดียอีกครั้งโดยกล่าวว่า “วันที่คนไทยโศกเศร้าเสียใจเพราะการสวรรคตของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง แต่ที่หอศิลป์จัดกิจกรรมพฤติกรรมแบบนี้ ศปปส. ไปถึงที่เสียดายมันหางจุกตูดไปก่อน ตอนนี้อยากรู้มันยังจัดกิจกรรมกันอีกไหมผมจะไปร่วมด้วยเอาให้แหลกกันไปสักข้างหนึ่ง แบบเมื่อปีก่อน กฎหมายบางทีมันเข้าไม่ถึงบางทีก็ช้ามาก อยากรู้ตอนนี้มันเลิกจัดกันไปหรือยัง”
‘เต้ ไทยไม่ทน' ประกาศล่าคนติดป้าย “ไว้อาลัยให้เสรีภาพของพสกนิกร”
นอกจากกลุ่ม ศปปส. เพจเฟซบุ๊ก ‘เต้ อาชีวะ อัครวุธ บุรณพนธ์’ ของอัครวุธ ไกรศรีสมบัติ ผู้ก่อตั้งพรรคการเมืองไทยไม่ทน ได้โพสต์ข้อความและภาพ เมื่อวันที่ 27 ต.ค. 2568 เวลาประมาณ 20.41 น. ระบุในทำนองว่า เขาเตรียมเปิดปฏิบัติการหาตัวประชาชนที่ติดป้าย “ไว้อาลัยแด่เสรีภาพพสกนิกร” ตามเสาไฟ ซึ่งในโพสต์มีการเปิดหน้าตาของคนที่เขาคาดว่าเป็นผู้ติดป้ายอีกด้วย
“ผมขอโทษนะ ผมค่อนข้างเกลียดเดกเหี้ยเหล่านี้แบบเข้ากระดูกเลย ..เตรียมเปิดปฎิบัติการตามหาเดกเหี้ย..'ใครเอาด้วยว่ามา' โพสต์ของเต้ ระบุ
ในใต้โพสต์ของ ‘เต้ ไทยไม่ทน’ ได้มีผู้ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเข้ามาแสดงความรู้สึกและแสดงความเห็นเป็นจำนวนมาก โดยมีคนเข้ามาแสดงความรู้สึกจำนวน 1.1 หมื่นคน และคอมเมนต์ 3.3 พันคน ความเห็นส่วนใหญ่เป็นคนที่เข้ามาต่อว่าผู้ปิดป้าย และเชียร์ให้ทางกลุ่มไทยไม่ทนเข้ามาจัดการทั้งรูปแบบการใช้กฎหมายแจ้งความเจ้าหน้าที่ หรือใช้วิธี ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’
“คนไทยทุกคนต้องรู้สำนึกในตัวเองเมื่อเหตการแบบนี้ให้แจ้งเจ้าหน้าที่ถ่ายคลิปหลักฐานไว้คนเหล่านี้ถึงจะเคล็ดหลาบ ตาต่อตาฟันต่อฟัน แรงมาแรงกลับสนับสนุนไทยไม่ทน”
“ไอ้พวกสารเลว พวกขยะเสียแรงที่เกิดเป็นคนไทย”, “ตามล่าแม่งเลยสัสนรกพวกนี้”, “ชาติชั่ว”, “พวกขยะ”, “จัดไปหนักๆ”, “ปฎิบัติการไล่ล่าครับหัวหน้า”, “เอาเลยครับเอาให้หนักพวกนี้” หรือ “จัดการมัน มันหยามพระเกียรติมากแบบนี่ต้องเจอ ม112” บางส่วนของคอมเมนต์ใต้โพสต์ ‘เต้’
ปัจจุบัน ผู้สื่อข่าวตรวจสอบเฟซบุ๊ก เต้ อาชีวะ อัครวุธ บุรณพนธ์ เมื่อวันที่ 29 ต.ค. 2568 เวลา 9.55 น. ไม่พบโพสต์ดังกล่าวแล้ว
ภาพจากเฟซบุ๊ก เต้ อาชีวะ อัครวุธ บุรณพนธ์ แต่ประชาไทเบลอภาพ ตอนหลังมีการลบไปแล้ว
ขณะที่ศิลป์ชัย เชาว์เจริญรัตน์ ผู้ลี้ภัยทางการเมือง โพสต์เชิงตั้งคำถามถามพรรคประชาชน ทำไมไม่ทำให้ภาพโปรไฟล์โซเชียลมีเดียเป็นสีขาว-ดำ
“เห็นเขาพูดกันว่าพรรคส้มเป็นพรรคเดียวที่ไม่เปลี่ยนรูปโปรไฟล์โลโก้เป็นสีไว้ทุกข์ ก็ไม่ผิด กม. ไม่ใช่รึ แค่สะท้อนว่าคิดอะไร” โพสต์ระบุ
อย่างไรก็ดี ส่วนใหญ่ผู้ที่มาคอมเมนต์มีทั้งไม่เห็นด้วยเพราะมองเป็นเรื่องสิทธิฯ จะเปลี่ยนหรือไม่เปลี่ยนภาพโปรไฟล์ก็ได้ บางส่วนมองว่าเป็นเรื่องมารยาท ไม่ได้ผิดกฎหมายอะไร หรือผู้คอมเมนต์บางส่วนก็เข้ามาวิจารณ์ท่าทีของพรรคประชาชน
รู้จักกลุ่ม ศปปส.
ทั้งนี้ ศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ก่อตั้งโดย ‘สิงห์ดำ’ อานนท์ กลิ่นแก้ว อดีตการ์ด กปปส. ถือเป็นกลุ่มที่มีจุดยืนต่อต้านม็อบราษฎรสามนิ้ว และข้อเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์มาตั้งแต่ช่วงปี 2563 เป็นต้นมา
ศปปส. ถือเป็นกลุ่มที่มีบทบาทใช้ยุทธวิธีทางกฎหมายและการเผชิญหน้า ฟ้องดำเนินคดีมาตรา 112 ต่อบุคคลที่เขามองว่ามีพฤติกรรมหมิ่นประมาทหรือจาบจ้วงสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยข้อมูลที่ถูกรวบรวมโดยศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่ 18 ก.ค.2563 – 31 ม.ค.2568 พบว่าสมาชิก ศปปส.มีการแจ้งความมาตรา 112 อย่างน้อย 40 คดี
นอกเหนือจากการใช้วิธีการแจ้งความแล้ว ศปปส.ยังเคยมีประเด็นในการทำร้ายร่างกายนักกิจกรรมและสื่อมวลชนอีกหลายครา ยกตัวอย่าง เมื่อวันที่ 10 ก.พ. 2567 สมาชิก ศปปส. และแนวร่วม เคยบุกเข้าไปประชิดตัว ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ นักกิจกรรมการเมือง ขณะที่เจ้าตัวเริ่มอ่านแถลงการณ์ขอโทษกรณีที่เธอขับรถเร็วและบีบแตรใส่รถรักษาความปลอดภัยขบวนเสด็จพระเทพฯ จนทำให้เกิดการปะทะกันทั้ง 2 ฝ่าย และในวันนั้นเองสื่ออิสระ 2 ราย อย่างภราดร เกตุเผือก สื่ออิสระ ‘ลุงดร' และ เชน ชีวอบัญชา สื่ออิสระ ‘ขุนแผน แสนสะท้าน’ ถูกพุ่งเป้าทำร้ายร่างกายเช่นกัน
ล่าสุดคือเมื่อวันที่ 5 เม.ย. 2568 สมาชิกกลุ่ม ศปปส.กรูเข้าไปพยายามทำร้ายร่างกาย ‘วีระ แสงทอง’ คนไทยเชื้อสายพม่าและแกนนำกลุ่ม Consuming Future ที่นัดมาชุมนุมหน้าสำนักงานสหประชาชาติ ถนนราชดำเนินนอก เพื่อแสดงความไม่พอใจกรณีที่พลเอกอาวุโส มินอ่องหล่าย ผู้นำรัฐประหารพม่า มาเข้าร่วมการประชุม BIMSTEC ที่ไทยเป็นเจ้าภาพ
ทั้งนี้ สาเหตุที่แนวร่วมอนุรักษนิยมไม่พอใจวีระ เนื่องจากพวกเขาเข้าใจว่าทางวีระเคยออกมารณรงค์เรื่องการยกเลิกมาตรา 112 และ 116 ร่วมกับม็อบสามนิ้วเมื่อปี 2564 ซึ่งถือเป็นการแทรกแซงกิจการของไทย
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
หลังจากกระแสการชุมนุมของม็อบราษฎรซาลง และมีการเลือกตั้งเมื่อปี 2566 กลุ่ม ศปปส.ยังคงเคลื่อนไหวในประเด็นการต่อต้านที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิรูปสถาบันกษัติรย์ อย่างนโยบายยกเลิกมาตรา 112 หรือการนิรโทษกรรมผู้ต้องหาคดี 112 ซึ่งพวกเขาอ้างเสมอมาว่านี่ไม่ใช่คดีการเมือง
จนเมื่อพรรคเพื่อไทยได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล กลุ่ม ศปปส.ได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวร่วมกับเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่ปักหลักชุมนุมที่เชิงสะพานชมัยมรุเชษฐ ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล และในช่วงที่ไทยมีปัญหากับกัมพูชา ยังร่วมกับแนวร่วมเครือข่าย ‘รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย' ที่มีจุดมุ่งหมายในการต่อต้านทักษิณ และตระกูลชินวัตร
นอกจากนี้ ช่วงปี 2567 อานนท์ ได้ขยับขยายบทบาทของตัวเองออกมาร่วมเคลื่อนไหวกับ อัครวุธ ไกรศรีสมบัติ หรือ ‘เต้ ไทยไม่ทน' ในการต่อต้านแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาที่เข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย
รู้จัก ‘เต้ ไทยไม่ทน’
ด้านอัครวุธ ไกรศรีสมบัติ หรือ ‘เต้ ไทยไม่ทน' ถือเป็นอีกบุคคลที่มีบทบาทปกป้องสถาบันกษัตริย์มาตั้งแต่ช่วงปี 2563 เขาเคยมีประเด็นจากกรณีที่เพื่อนของเขาทำร้ายร่างกาย ณัฐพล พันธ์พงษ์สานนท์ ช่างภาพข่าวอิสระ โดยใช้ดิ้ว (กระบองชนิดหนึ่ง) ตีที่หัวและหลังจนได้รับบาดเจ็บ ที่หน้าร้านแมคโดนัลด์ ถนนราชดำเนิน หลังเสร็จสิ้นกิจกรรมชุมนุมทางการเมือง ‘ทัวร์มูล่าสามี’ จัดโดยกลุ่มโมกหลวงริมน้ำ เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 2565
บทบาทของเต้ ช่วงปี 2567 ได้ขยับขยายพันธกิจจากเดิมที่เป็นปฏิปักษ์กับม็อบราษฎร ได้หันมาเคลื่อนไหวในประเด็นต่อต้านแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย ไปจนถึงนโยบายยกระดับสิทธิแรงงานข้ามชาติ โดยการยื่นหนังสือถึงหน่วยงานของรัฐบาล กระทรวงแรงงาน หรือกระทรวงการต่างประเทศ แต่บทบาทที่ทำให้เขาได้รับความนิยมคือ การทำงานจิตอาสา ประดุจอินฟลูเอนเซอร์ โดยรวมกลุ่มกับสมาชิกตรวจสอบการกระทำผิดในพื้นที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติ บางครั้งมีการลงพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐอย่างกระทรวงแรงงาน หรือกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ซึ่งหากพบการกระทำผิด เช่น การจ้างแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีใบอนุญาตทำงาน แรงงานข้ามชาติที่ทำอาชีพสงวน ก็จะแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ดำเนินการจัดการ
นอกจากนี้ เขายังมีบทบาทเชิงจิตอาสาในการเข้าไปจัดการเรื่องกลุ่มนักเลงวัยรุ่นชาวพม่า หรือชาวกัมพูชา ที่เข้ามาก่อความวุ่นวาย อาสาช่วยเหลือแรงงานข้ามชาติที่ถูกนายหน้าโกงเงิน หรือบางครั้งลงพื้นที่จับกุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฯลฯ การทำงานลักษณะนี้ทำให้เขาได้รับความนิยมอย่างสูงโดยเฉพาะบนโลกโซเชียลมีเดีย
ยอดผู้ติดตาม ‘เต้ อาชีวะ’ ในแพลตฟอร์มโพสต์คลิปวิดีโอ ‘Tik Tok’ ซึ่งได้รับความนิยมในไทย มีจำนวน 67.1 หมื่นบัญชี ในขณะที่เพจเฟซบุ๊ก “เต้ อาชีวะ อัครวุธ บุรณพนธ์” มียอดผู้ติดตามอยู่ที่ 3.8 แสนคน
ล่าสุดเมื่อวันที่ 26 ต.ค. 2568 ตัวอัครวุธ ได้มีประชุมก่อตั้งพรรคไทยไม่ทน (Thai Intolerance Social gathering – TIP) ร่วมกับธนเดช ตุลยลักษณะ อดีตโฆษกของพรรคไทยภักดี เบื้องต้นยังไม่ทราบมีการจดจัดตั้งอย่างเป็นทางการหรือไม่ และนโยบายที่เขาจะใช้หาเสียงหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถ้าย้อนกลับไปช่วง ก.ย. 2568 เขาเคยประกาศไว้ว่าพรรคไทยไม่ทนจะชูแนวคิดที่เรียกว่า “Thailand First” หรือไทยต้องมาก่อน พร้อมสโลแกน ‘ไทยไม่ทน กล้าชนเพื่อคนไทย’
เรื่องที่เกี่ยวข้อง
หมายเหตุ : วันที่ 29 ต.ค. 2568 เวลา 14.50 น. มีการเปลี่ยนแปลงภาพปกข่าวบนเว็บไซต์
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )












