เสียงจากพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว สู่นโยบายเพื่อ “พลังของชาติ” ที่อยากเห็นในรัฐบาลหน้า

ที่มาของภาพ : BBC Thai

สกุณาบอกว่าเธอ “โชคดี” ที่มีสถานเลี้ยงเด็กอ่อนใกล้บ้าน และมีนายจ้างที่อนุญาตให้นำลูกไปในสถานที่ทำงานได้ ทำให้เธอจัดสรรระหว่างเวลาทำงานและเลี้ยงลูกได้โดยไม่สะดุด
Article Files
    • Author, วศินี พบูประภาพ
    • Position, ผู้สื่อข่าว.

สี่โมงเย็นใกล้โรงเรียนประถมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ศิริพงษ์ เหล่านุกูล หรือ “พ่อเบียร์” ชายอายุ 34 ปีที่ทำงานมาตลอดทั้งวันด้วยงานแบบฟรีแลนซ์ กำลังบึ่งรถจักรยานยนต์ฝ่าการจราจรคับคั่งย่านถนนจันทน์เพื่อไปรับลูกให้ทันเวลา

ห่างออกไปอีกฟากของเมือง สกุณา เสวะรัตน์ หรือ “แม่โม” แม่เลี้ยงเดี่ยววัย 31 ปี กำลังเร่งเคลียร์งานในออฟฟิศเพื่อไปรับลูกชายวัย 3 ขวบที่บ้านเด็กอ่อน มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ใกล้ถนนรัชดาภิเษก

เวลาเลิกงานอาจหมายถึงเวลาผ่อนคลายของใครหลายคน แต่สำหรับศิริพงษ์และสกุณา เวลาค่ำเช่นนี้คือจุดเริ่มต้นของ “กะที่สอง” ที่ไม่มีวันหยุดพัก เช่นเดียวกับเหล่าพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวอีกหลายคนที่กลายมาเป็นหนึ่งในกลุ่มประชากรหลักของประเทศไทย

ตัวเลขที่แน่ชัดถึงจำนวนแม่และพ่อที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียวในปัจจุบันนั้นยังคลุมเครือจากธรรมชาติของลักษณะครอบครัวที่ผันแปรตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม ในงานสำรวจครั้งล่าสุดของกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ (United Nations Population Fund – UNFPA) ปี 2559 พบว่าตัวเลขครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวในประเทศไทยอยู่ที่ 1.3 ล้านครัวเรือน หรือราว 7% ของครัวเรือนทั้งหมด ขณะที่ตัวเลขจากกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัวอ้างอิงตามการลงทะเบียนโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดปี 2568 ระบุจำนวน “แม่เลี้ยงเดี่ยว” ว่ามีอยู่ 128,322 ราย โดยไม่ได้รวมจำนวนพ่อเลี้ยงเดี่ยว แม้ดำรงบทบาทหน้าที่คล้ายคลึงกัน

“ฮีโร่” ที่เป็นได้ทั้งพ่อและแม่

“น้องมีความเข้าใจว่าฮีโร่ของเขาคือแม่”

สกุณาเล่าด้วยรอยยิ้มถึงลูกชายวัย 3 ขวบ เธอเล่าต่อว่าเบื้องหลังผ้าคลุมฮีโร่ผืนนี้เธอต้องใช้แรงใจทบทวนทางเลือกมากมายก่อนที่จะตัดสินใจแยกทางจากผู้เป็นพ่อของลูกตั้งแต่นมหยดแรกยังไม่แห้ง

“พูดตรง ๆ ตั้งแต่อุ้มท้องน้องเลย เรามีความรู้สึกว่าอีกคนหนึ่งที่เขาควรจะซัพพอร์ตเรา แต่เหมือนสิ่งที่เขาทำ มันไม่ใช่การซัพพอร์ตแล้ว” พนักงานบริษัทรายนี้กล่าวถึงวินาทีที่เธอเลือกจะเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and continue learningได้รับความนิยมสูงสุด

End of ได้รับความนิยมสูงสุด

ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยวเกิดขึ้นได้จากหลากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเกิดจากกรณีการรับเลี้ยงดูบุตรบุญธรรม กรณีคู่ชีวิตฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งประสบเหตุเสียชีวิต หรือกรณีการตัดสินใจหย่าร้างแยกทาง

ข้อมูลของสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ชี้ว่าการหย่าร้างมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

นี่สอดคล้องกับความเห็นของ วัจนา เสริมสาธนสวัสดิ์ อ.พิเศษ โรงเรียนภาคฤดูร้อน สตรีนิยม ความเท่าเทียมและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ระบุกับ.ว่า บริบทสังคมปัจจุบันเปิดโอกาสให้ผู้หญิงประกอบอาชีพ “ยืนด้วยตนเอง” ได้ง่ายขึ้น ทำให้การตัดสินใจเดินออกจากความสัมพันธ์ที่ไม่พึงประสงค์เกิดได้ง่ายขึ้นตาม

“พอคลอดน้องก็รู้สึกว่า ฉันซักผ้าลูกเองได้ ชงนมเองได้… มันทำให้รู้เลยว่าไม้ต้องมีก็ได้ ไม่ปรับก็แยกทาง” สกุณา กล่าวกับ.

ในวันปกติ ศิริพงษ์จะไปรับลูกชายด้วยตนเอง แล้วใช้เวลาช่วงค่ำจ่ายตลาด ก่อนออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ

ด้านศิริพงษ์ เขารับบทพ่อเลี้ยงเดี่ยวมานานกว่า 10 ปีแล้ว จากการตัดสินใจรับดูแลบุตรของบุคคลใกล้ชิดและเป็นผู้ปกครองด้วยตัวเอง ลูกชายสองคนวัยมัธยมต้นและประถมเรียกเขาว่า “ป๊า” มาตั้งแต่แบเบาะ

จากการสำรวจของ UNFPA ในช่วงกลางปี 2568 ที่สำรวจทัศนคติของผู้คนกว่า 14,000 คนใน 14 ประเทศ รวมถึงไทย พบว่ากลุ่มตัวอย่างจำนวนมากพร้อมใจกันตอบแบบสอบถามว่า “ไม่ต้องการมีลูกเลย” ทว่าผู้ปกครองสองรายที่.ได้สนทนาด้วยกลับรับบทพ่อ-แม่เลี้ยงเดี่ยวอย่างเต็มใจ

ศิริพงษ์บอก.ว่ายินดีรับบทบาทนี้ด้วยความหวัง “ความหวังว่าเด็กคนหนึ่งที่เกิดมาแล้ว จะได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับวัย ได้รับโอกาสที่ดี และมีคุณภาพชีวิตที่ไม่ถูกจำกัดด้วยต้นทุนของครอบครัว”

ความหวังนี้ทำให้เขา “กัดฟัน ต่อสู้กับความยากลำบากของการเลี้ยงลูก เขาจะได้เติบโตในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับวัย ได้รับโอกาส”

ผู้ปกครองแรงเดียว แต่ค่าใช้จ่ายเด็กราคาแพง

“ในเชิงเศรษฐกิจ คุณต้องทำงานแรงเดียว โดยที่ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ต้องมาช่วยตัวเอง ในขณะที่อีกฝั่งหนึ่งก็ต้องไปซัพพอร์ตลูก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ยากมาก ๆ ถ้าอยากให้ลูกมีคุณภาพชีวิตที่ดี” วัจนา ผู้เชี่ยวชาญเรื่องความเป็นแม่ในอุษาคเนย์ระบุ พร้อมชี้ต่อไปว่าผลของการต้องรับหน้าที่ดูแลเด็กเพียงคนเดียวคือการผลักดันให้แม่หรือพ่อต้องทำงานหนักขึ้น

“คุณจะต้องดิ้นรนกับภาวะเศรษฐกิจ หรือการหาเงินด้วยตัวคนเดียว แล้วการทำงานของคุณเหมือนคุณจะต้องควงกะมากขึ้น ในการที่จะแบบมีเงินซัพพอร์ตครอบครัว หรือแม้แต่ลูก”

เมื่อ.ถามว่าความกังวลในหมู่พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวคืออะไร ศิริพงษ์เผยเรื่องราวที่เขาตกผลึกจากการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันในหมู่ครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว

“ต้องยอมรับเลยว่าค่าใช้จ่ายในการที่จะให้ลูกได้เรียนโรงเรียน เพื่อเข้าถึงการศึกษาที่ดี… มันไม่ได้ง่ายสำหรับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว” เขาสรุปต่อ “ปัญหาหลัก ๆ pain point ที่มันเกิดขึ้นคือเรื่องของบัดเจ็ต (ค่าใช้จ่าย)”

ในกรณีของสกุณา หลังตัดสินใจเลี้ยงลูกด้วยแรงกายแรงใจของตนเพียงคนเดียว เธอรู้ทันทีว่าเธอต้องหางานเสริม

“โฟกัสที่งานเลย อยากได้เงิน… ด้วยความเราเพิ่งมีลูกคนแรก เราไม่รู้เลยว่าสิ่งของที่ต้องซื้อสำหรับลูกมันราคาเท่าไหร่… คือตอนนั้นก็โฟกัสแค่งานเลย”

พ่อ-แม่เลี้ยงเดี่ยว อยากได้การสนับสนุนอะไรเพิ่มเติม

  • เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด

แม้ปัจจุบันสกุณาจะทำงานประจำที่ได้รับเงินเดือน และรับงานพิเศษอีก 2-3 งานนอกเวลา กระนั้น เธอกล่าวว่างานเหล่านั้น “ไม่ได้มีตลอดเวลา” ทำให้เลี่ยงไม่ได้ที่จังหวะ “หมุนเงิน” ไม่ทันจะเกิดขึ้นในบางครั้ง

อย่างไรก็ดี เธอเป็นผู้เข้าเกณฑ์รับเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 600 บาทต่อเดือน ซึ่งเธอเผยว่า “ต่อชีวิต” ได้มากโข

“พอมันมีเงินตรงนี้มา คืออย่างน้อยได้ค่ายาลูก ได้ค่าแพมเพิร์สลูก ในช่วงนั้น มีความรู้สึก แบบเดี๋ยวพรุ่งนี้ เงินตรงนี้ออกละ เดี๋ยวรีบไปซื้อเลย”

สกุณา เล่าว่าบางครั้งเธอก็ “หมุนเงิน” ไม่ทัน และเงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด 600 บาท/เดือน ก็ช่วยเธอได้มาก

หลังการผลักดันมาอย่างยาวนานของภาคประชาสังคม โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดก็เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้เห็นชอบในหลักการให้เงินอุดหนุนแก่เด็กแรกเกิดเพื่อช่วยเหลือครอบครัวยากจนในปี 2558 ก่อนขยายอายุเด็กและเพิ่มวงเงินในปีถัดมา เมื่อถึงปี 2562 รัฐบาลในขณะนั้นปรับเกณฑ์รายได้ให้ครอบคลุมครัวเรือนมากขึ้นและขยายสิทธิถึงอายุ 6 ปี

อย่างไรก็ดี สกุณาสะท้อนว่าขั้นตอนการลงทะเบียนและพิสูจน์ว่าผู้ปกครองแต่คนละ “เข้าเกณฑ์” ของรัฐหรือไม่ ทำให้การเข้าถึงเงินอุดหนุนเด็กเป็นไปอย่างล่าช้าและซับซ้อน หลายกรณีช่วยเหลือพ่อแม่ในช่วงแรกเกิดซึ่งเป็นเวลาที่ครอบครัวต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูงไม่ทันการนัก

“มันเป็นไปได้ไหม ที่เขาจะสนับสนุนเราในเรื่องของเงินอุดหนุนบุตรตั้งแต่คลอดเลย ไม่ต้องดูว่าคุณแม่คนนี้เป็นเกณฑ์อย่างงี้ ให้มันได้ทุกคน เพราะว่ามันก็ค่อนข้างลำบากนะ แต่ถ้าเกิดมีตรงนี้มา มันก็ยังโอเค”

ข้อสังเกตของสกุณาสอดคล้องกับการรณรงค์ของกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ ยูนิเซฟ (UNICEF) ที่มีข้อเสนอแนะให้ประเทศไทยปรับเปลี่ยนเงินอุดหนุนเด็กเล็กให้เป็นระบบแบบ “ถ้วนหน้า” (Universal Child Enhance Grant) เพื่อคุ้มครองเด็กทุกคนที่มีอายุต่ำกว่า 6 ปี โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการพิสูจน์ความยากจน ซึ่งจะทำให้ภาครัฐประหยัดค่าใช้จ่ายในการคัดกรองและลดอัตราการตกหล่นได้

  • ค่ารักษาพยาบาลเด็ก

ในกรณีของศิริพงษ์ซึ่งกล่าวว่าเขา “โชคดี” เมื่อเทียบกับครอบครัวส่วนใหญ่ เนื่องจากเขามีงานฟรีแลนซ์ที่ทำจนเชี่ยวชาญและได้รับความไว้วางใจจนมีรายได้ประจำพอจะเลี้ยงดูเด็ก 2 คนได้ อย่างไรก็ดี เขายอมรับว่ายังมีความกังวลโดยเฉพาะกรณีหากลูกป่วยไข้ขึ้นมา

“ค่ารักษาพยาบาลเด็ก ค่อนข้างสูงมากๆ” เขาชี้ “ผมคิดว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ๆ ในการที่เด็กทุกคนควรได้รับการเข้าถึงการรักษาที่ดีและมีคุณภาพ โดยที่พ่อแม่เองไม่ต้องมานั่งกังวลว่าจะมีเงินรักษาลูกไหม หรือต้องไปนั่งขอรับบริจาคอะไร”

สกุณาสะท้อนภาพคล้ายคลึงกัน เธอพบว่ายาของเด็กจำนวนมาก “ไม่ได้อยู่ในการรองรับของบัตรอะไรเลย”

“แต่ว่าด้วยความที่เราก็อยากให้เขาหายเราก็ยอมไปว่าแพงก็ได้ ไม่เป็นไร ก็ซื้อไปแล้ว เงินหมดก็ไม่เป็นไร ก็หาใหม่” เธอเล่าความในใจ

ก่อนหน้านี้ มีกลุ่มผู้ปกครองเล่าให้.ฟังว่าพวกเขาต้องแบกค่าใช้จ่ายในการทำประกันค่ารักษาพยาบาลของเด็กคนละ 40,000-60,000 บาท ขณะที่ราคาวัคซีนเพื่อป้องกันโรคประจำฤดู เช่น โรค RSV นั้นยังไม่ถูกจัดให้กระจายโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

ในบทสัมภาษณ์ครั้งนั้น ผู้ปกครองรายหนึ่งบอก.ว่า ผู้เป็นแม่ตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อดูแลลูกโดยเฉพาะ โดยยังมีสามีเป็นผู้หารายได้หลัก

สำหรับพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวที่เป็นเสาหลักเพียงลำพัง ทางเลือกดังกล่าวไม่มีอยู่ในสมการ

สถานเลี้ยงเด็ก-โรงเรียน ช่วยผ่อนแรงพ่อแม่ระหว่างทำงาน

สกุณาบอกว่าเธอไม่กังวลกรณีลูกป่วยเท่ากับที่กังวลว่าตนเองจะป่วย เนื่องจากหากลูกป่วยเธอยังดูแลได้ แต่หากเธอป่วยจะไม่มีใครดูแลลูก

เธอระบุว่าครั้งหนึ่งเธอป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่ก็ต้องขอแพทย์ออกจากโรงพยาบาลก่อนกำหนดเพราะห่วงว่าลูกจะไม่มีใครดูแล

“แล้วทำไมไม่ให้คุณพ่อ คุณแม่ดูให้ เขาก็ทำงานเหมือนกัน ทำงานกันทั้งบ้าน ซึ่งทุกคนต่างมีภาระของตัวเองทั้งนั้น”

แม้ในกรณีที่ไม่มีใครป่วย วัจนา นักวิชาการที่ศึกษาเรื่องความเป็นแม่จาก ม.ธรรมศาสตร์ ชี้ว่า “เวลา” ที่ต้องใช้เพื่อเลี้ยงลูกกลายเป็นความท้าทายที่ครอบครัวที่ต้องเลี้ยงลูกเพียงลำพังเผชิญเพิ่มจากที่ครอบครัวที่มีผู้ปกครองสองคนต้องเผชิญ

ด้วยเหตุนี้ผู้เชี่ยวชาญจึงชี้ว่าสถาบันที่จะมา “แบ่งเบา” การจัดการเวลาของพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยวจึงมีความหมายมาก โดยเฉพาะในบริบทที่ผู้ดูแลเด็กต้อง “ทำงานแรงเดียว” เพื่อเลี้ยงสองปากท้อง

  • บ้านเด็กอ่อนที่เข้าถึงได้และสอดคล้องกับเวลาทำงานของแม่และพ่อ

กรณีของสกุณา เธอฝากลูกไว้ที่บ้านเด็กอ่อน มูลนิธิเด็กอ่อนในสลัม ซอยเสือใหญ่ ถนนรัชดาภิเษก

บ้านเด็กอ่อนแห่งนี้เป็นสถานรับเลี้ยงเด็กไม่กี่ที่ซึ่งรับเลี้ยงเด็กอายุตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 6 ปี ด้วยอายุแรกเข้าที่ต่ำทำให้เธอสามารถนำลูกมาฝากได้ทันทีหลังหมดวันหยุดลาคลอดที่กำหนดไว้ตามกฎหมายแรงงานเพียง 120 วัน

ประเด็นเรื่องวันลาคลอดและอายุต่ำสุดที่สถานรับเลี้ยงเด็กจะรับฝากยังเป็นช่องว่างใหญ่ในสังคมไทย

ศีลดา รังสิกรรพุม ผู้จัดการมูลนิธิเด็กอ่อนในสลัมฯ กล่าวกับ.ว่า มูลนิธิฯ มีความพยายามจะเป็นผู้นำในการรณรงค์ให้บ้านเด็กอ่อนอีกหลายแห่ง รวมถึงบ้านเด็กอ่อนที่จัดการโดยภาครัฐ ลดอายุแรกเข้าลงให้สอดคล้องกับวันลาคลอดของแม่ โดยปัจจุบันบ้านเด็กอ่อนภายใต้สังกัดกรุงเทพมหานครลดอายุแรกเข้าลงเหลือ 3 เดือนแล้ว ขณะที่บ้านเด็กอ่อนส่วนใหญ่ในไทยยังกำหนดอายุแรกเข้าของเด็กที่จะรับฝากไว้ที่ 6 เดือน

“ต้องพูดเลยว่าถ้าเกิดไม่มีสถานรับเลี้ยงเด็ก ถามว่าจะลำบากมากไหม ก็คงลำบากค่อนข้างมาก เพราะว่าเราก็ต้องทำงาน”

แม่ลูกอ่อนรายนี้เล่าให้.ฟังถึงกิจวัตรประจำวันของเธอ ที่ทุกเช้าจะมาส่งลูกน้อยที่บ้านเด็กอ่อนก่อนเดินทางไปเข้างานเวลา 8.30 น. เธอต้องหลบออกจากที่ทำงานมารับลูกในเวลา 16.00-16.30 แล้วกลับไปทำงานต่อจนถึงเวลาเลิกงานราว 17.30 น.

อย่างไรก็ดี เธอระบุว่า “นายจ้างต้องใจดี” และที่ทำงานต้องมีบรรยากาศที่เป็นมิตรกับลูกน้อย โดยเฉพาะวันเสาร์ที่สถานรับเลี้ยงเด็กปิดและเธอต้องนำลูกไปยังสถานที่ทำงานด้วยตลอดทั้งวัน

สถานที่ทำงานที่เป็นมิตรกับเด็กเช่นนี้ไม่ได้หาง่าย สกุณาเองใช้เวลาหางานกว่า 2 เดือนเศษจึงพบที่ทำงานที่เธอทำงานในปัจจุบัน

“ตอนสัมภาษณ์งานคือถามกันเลยว่าสามารถมีตรงนี้ได้ไหม” เธอกล่าวถึงการนำลูกมาที่ทำงาน

สถานรับเลี้ยงเด็กไม่ได้เปิดทำการในวันเสาร์-อาทิตย์ ทำให้สกุณาที่ทำงาน 6 วัน/สัปดาห์ ต้องพาลูกไปที่ทำงานด้วยในวันเสาร์
  • โรงเรียนคือสถานที่ที่ผู้ปกครองวางใจที่สุด แต่กลับยืดหยุ่นได้น้อย

แม้เวลาการทำงานของศิริพงษ์ค่อนข้างยืดหยุ่น แต่เขาก็ยังประสบปัญหาคล้าย ๆ กัน ตารางเวลาที่ไม่แน่นอนของเขาทำให้ต้องไปรับลูกจากโรงเรียนด้วยความเร่งรีบอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีงานนอกสถานที่หรือประชุมต่อในช่วงเย็น

“บางทีถ้า 6 โมง มันก็จะค่ำแล้ว มันมืดอะไรอย่างนี้ครับ ก็จะแจ้งทางโรงเรียนไว้ ให้คุณครูที่โรงเรียนแบบอาจจะช่วยดูขาไว้หน่อย ดูแลว่า เดี๋ยวเราไปรับช้านะ”

วจนาชี้ว่าโรงเรียนมีศักยภาพในการแบ่งเบาภาระด้านเวลาของผู้ปกครองเป็นอย่างมาก เธอยกตัวอย่างโรงเรียนในพื้นที่ จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่อุตสาหกรรมที่มีโรงงานจำนวนมากและมีปัญหาหลักคือช่วงเวลาหลังเลิกเรียน 15.30 น. ถึงเวลาเลิกงานของพ่อแม่ราว 17.00 น. เด็กจำนวนหนึ่งจะไม่มีผู้ดูแล

เพื่อลดความเสี่ยงจากการปล่อยให้เด็กอยู่ลำพังในห้องพัก โรงเรียนจึงพยายามเปิด “ชั่วโมงพิเศษ” หลังเลิกเรียน โดยสื่อสารทำความเข้าใจในที่ประชุมผู้ปกครองให้ผู้ที่สนใจฝากลูกไว้กับโรงเรียน มีพี่เลี้ยงคอยดูแลและจัดอาหารเย็น มีการดูแลให้เด็กนั่งทำการบ้านหรือทำกิจกรรมภายในห้องและในบริเวณโรงเรียน โดยไม่ให้ออกนอกพื้นที่ จนถึงประมาณ 17.00 น. เมื่อพ่อแม่เลิกงานจึงมารับลูกกลับไป

อย่างไรก็ดี การดำเนินการเช่นนี้มีค่าใช้จ่ายที่เก็บจากผู้ปกครองเพิ่ม 400 บาท/เดือน ซึ่งทำให้โรงเรียนเสี่ยงเผชิญกับการถูกตรวจสอบจากหน่วยราชการที่กำกับดูแล “โรงเรียนนั้นอยู่ในสังกัดเทศบาล พอเป็นอย่างนี้เทศบาลก็เอาระเบียบกางมาเลย แล้วก็มาถามว่าเก็บผู้ปกครองอย่างนี้เป็นการนอกบัญชีรายจ่ายหลัก”

ศิริพงษ์บอกว่า ตารางการทำงานที่ไม่แน่นอน ทำให้การไปรับลูกจากโรงเรียนเป็นปัญหาในบางครั้ง

วัจนาสรุปปัญหาเรื่องการกำกับดูแลภาครัฐที่แข็งตัวจนทำให้โครงการเสริมเพื่อช่วยเหลือผู้ปกครองเดินต่อไปไม่ได้ ว่ามีรากฐานมาจากการที่นโยบายรัฐมักถูกออกแบบโดยรวมศูนย์ไว้ส่วนกลาง แต่กลับต้องอาศัยหน่วยงานท้องถิ่นในระดับจังหวัด อำเภอ หรือเทศบาลเป็นผู้ปฏิบัติจริง ซึ่งในทางปฏิบัติมักเกิดความคลาดเคลื่อนจนไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้

“มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้ชีวิตและประสบการณ์ของคนที่ลำบากดีขึ้นเลย บางครั้งมันกลับไปซ้ำเติมเสียมากกว่า” เธอสรุป

สำรวจนโยบายด้านเด็ก-ครอบครัว ของพรรคการเมือง

ท่ามกลางอัตราการเกิดที่ลดน้อยลง เมื่อปี 2567 นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น และนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้น พยายามผลักดันนโยบายส่งเสริมการมีบุตรเป็นวาระแห่งชาติ

กรมอนามัยพยายามส่งเสริมการมีบุตรเพิ่มด้วยคำขวัญ “Give Birth Huge World การเกิดคือการให้ที่ยิ่งใหญ่” และสนับสนุนคลินิกส่งเสริมการมีบุตร (IVF/IUI) จังหวัดละ 1 แห่ง

ก่อนหน้านี้ในระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 คณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้าซึ่งเป็นเครือข่ายภาคประชาสังคมได้จัดเวทีนโยบายภาคเหนือ ภายในงานเชิญตัวแทนพรรคการเมืองกว่า 10 พรรคการเมือง แต่ละพรรคระบุว่าให้ความสำคัญและพร้อมผลักดันนโยบายสวัสดิการเด็กและนโยบายหนุนเสริมครอบครัวในรูปแบบต่าง ๆ

ในครั้งนั้นตัวแทนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่าต้องการยกเลิกการพิสูจน์ความยากจน พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เสนอเงินอุดหนุน 3,000 บาทต่อเดือน รวมถึงสวัสดิการแม่ตั้งครรภ์เดือนละ 10,000 บาท

ขณะที่พรรคอื่น ๆ เช่น เสรีรวมไทย ชาติพัฒนากล้า ประชาธิปัตย์ ประชาชาติ ประชากรไทย ไทยสร้างไทย ก้าวไกล เพื่อไทย และเสมอภาค ต่างนำเสนอนโยบายครอบคลุมหลายอย่าง เช่น นโยบายศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก การเรียนฟรี สิทธิลาคลอด 180 วัน การสนับสนุนท้องถิ่น และระบบสวัสดิการระยะยาวที่ให้เงินอุดหนุนตั้งแต่เกิดจนโต โดยหลายพรรคเสนอการจัดสรรงบประมาณจากกองทุนต่าง ๆ เพื่อทำให้สวัสดิการเด็กเล็กเป็นสิทธิพื้นฐานที่ไม่ตกหล่น

อย่างไรก็ดี ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ที่จะมาถึงในเดือน ก.พ. 2569 บรรยากาศการนำเสนอนโยบายดังกล่าวยังไม่ได้รับการพูดถึงมากนัก

จนถึงวันนี้ พรรคการเมืองที่เปิดรายละเอียดนโยบายเกี่ยวกับการหนุนเสริมครอบครัวและเด็กยังมีอยู่อย่างจำกัด

พรรคประชาชน (ปชน.) เปิดตัวสวัสดิการเด็กเล็กแบบถ้วนหน้าเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยเสนอการเปลี่ยนเงินอุดหนุนเด็กเล็ก 0-6 ปีให้เป็นแบบถ้วนหน้า และปรับยอดเงินอุดหนุนโดยเริ่มต้นที่ 600 บาทต่อเดือนตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ 5 เดือน และจะปรับเพิ่มขึ้นแบบขั้นบันไดจนถึง 1,200 บาทต่อเดือนภายในปี 2573 นอกจากนี้ยังเสนอนโยบายของขวัญแรกเกิด (Toddler Box) เป็นเครดิตเงิน 3,000 บาทสำหรับซื้ออุปกรณ์ส่งเสริมพัฒนาการและสุขอนามัยที่จำเป็น

ขณะเดียวกัน ปชน. ยังเสนอพัฒนาศูนย์เลี้ยงเด็กวัยอ่อน (4 เดือน – 2 ปี) โดยอ้างว่าจะเพิ่มจำนวนเป็น 1,000 แห่งในเขตเมืองและอุตสาหกรรม และรัฐจะช่วยอุดหนุนค่าดำเนินการ 3,000 บาทต่อคนต่อเดือน พร้อมขยายเวลาเปิดรับเลี้ยงเป็น 07.00-18.00 น. เพื่อให้สอดคล้องกับเวลาทำงานจริงของผู้ปกครอง และสนับสนุนให้สถานประกอบการจัดตั้งศูนย์เลี้ยงเด็กหรือห้องปั๊มนมโดยใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเป็นแรงจูงใจ

แม้จะออกกำลังกายเป็นประจำ ศิริพงษ์ยังกังวลว่าลูกอาจป่วยได้ ขณะที่ความคุ้มครองในการรักษาพยาบาลเด็กยังไม่ได้ครอบคลุม และประกันสุขภาพเด็กมีราคาสูง

ส่วนพรรคเพื่อไทย (พท.) แม้จะไม่ได้นำเสนอนโยบายเพื่อเด็กอ่อนโดยตรง แต่มีการเปิดตัวชุดนโยบายด้านการศึกษาส่วนหนึ่ง ได้แก่ การเพิ่มบริการพื้นฐานอย่างอาหารกลางวันฟรีและรถรับส่งนักเรียนฟรี และมีแผนจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ในรูปแบบเดียวกับ TCDC และ TK Park “ให้ครบทุกจังหวัด “

นโยบายที่ยังปรากฏอยู่ในหน้าเว็บไซต์ของพรรคไทยสร้างไทย (ทสท.) ระบุว่า เสนอเงินช่วยเหลือระหว่างการตั้งครรภ์ โดยแม่จะเบิกเงินดังกล่าวได้ 3,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ยังมี “เงินสงเคราะห์การเลี้ยงบุตร” ซึ่งแม่เบิกได้ 3,000 บาทต่อเดือน ตั้งแต่เกิดจนถึง 6 ปี

.ติดต่อคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายสวัสดิการเด็กเล็กถ้วนหน้า ซึ่งรณรงค์ด้านนโยบายเด็กและครอบครัวมาอย่างต่อเนื่อง กลุ่มรณรงค์ดังกล่าวระบุว่ายังคงจับตาดูการเปิดตัวนโยบายในอนาคตว่าจะมีนโยบายเกี่ยวกับเด็กและครอบครัวเปิดตัวเพิ่มเติมหรือไม่

“ใครที่มีหน้าที่ดูแลเด็กคือคนที่กุมพลังของชาติไว้ในมือ”

เมื่อถามถึงอนาคต ทั้งสกุณาและศิริพงษ์ ต่างมองไปข้างหน้าด้วยสายตาแห่งความหวัง

ศิริพงษ์กล่าวว่าบุตรชายคนโตของเขาเก่งด้านตรรกศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ มีความรับผิดชอบและมีภาวะผู้นำ ส่วนลูกคนเล็กฉายแววกล้าแสดงออก ชอบคิด ชอบทำ กล้าแสดงความคิดเห็น

“ไม่ว่าเขาจะไปในสายวิชาการหรือสายไหนก็ตาม เรารู้สึกว่าก็อยากให้เขาเป็นคนที่จิตใจดี” ผู้เป็นพ่อกล่าว

ส่วนสกุณามองที่ภาพอันใกล้ เธอบอกกับ.ว่าลูกเป็นความสำคัญอันดับหนึ่งและต้องการให้เขาเติบโตอย่าง “สมบูรณ์ที่สุด” เท่าที่เด็กคนหนึ่งจะทำได้

อย่างไรก็ดี สกุณาใฝ่ฝันถึงวันที่รัฐสนับสนุนสวัสดิการตั้งแต่ในครรภ์จนจบปริญญาตรี ส่วนศิริพงษ์อยากให้การศึกษาที่มีคุณภาพเข้าถึงทุกพื้นที่เพื่อให้ลูก ๆ มีอนาคตที่ไม่ต้องดิ้นรนเท่าคนรุ่นเขา

“ใครที่มีหน้าที่ดูแลเด็กคือคนที่กุมพลังของชาติไว้ในมือ” วจนากล่าว “หากรัฐไทยยังมองว่าเด็กคือภาระ ไม่ใช่ทรัพยากรที่ต้องลงทุน เราจะสูญเสียโอกาสในการสร้างพลเมืองที่มีคุณภาพในวันที่เรากำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” นักวิชาการจาก มธ. ระบุทิ้งท้าย