
ตลาดนัดใกล้ชุมชนแรงงานข้ามชาติจากพม่าที่ จ.สมุทรสาคร ที่มา: ณฐาภพ สังเกตุ
“ประเทศไทยไม่เคยหยุดความสัมพันธ์กับกองทัพทหารพม่า แม้กองทัพจะก่ออาชญากรรมร้ายแรงกับพลเรือนมากแค่ไหนก็ตาม”
เสียงจากซู (Sue) ชาวพม่ามุสลิมเชื้อสายอินเดียจากเมืองมัณฑะเลย์ กล่าวถึงเหตุการณ์ล่าสุดอย่างการที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพต้อนรับพล.อ.อาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ในการประชุมสุดยอดระดับภูมิภาคเมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2568
โดยนับตั้งแต่ที่เขานำการรัฐประหารในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 มิน อ่อง หล่ายถูกห้ามไม่ให้เข้าร่วมการประชุมสุดยอดอาเซียนจากประเทศสมาชิกนับแต่นั้น เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลทหารเมียนมา ที่ถูกขับเคลื่อนด้วยนโยบาย ‘การทูตแบบเงียบ’ มาโดยตลอด
ปัจจุบันซูกำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นปีสุดท้ายในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย เธอได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งในเมียนมาที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 28 ธันวาคม 2025 ว่าเป็นเพียงการละครของกองทัพพม่าที่มีการกำหนดผลไว้ล่วงหน้าแล้ว
“ไม่มีทาง” ซูยืนยันหนักแน่นกับทางประชาไท “ฉันไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะต้องไปเลือกตั้งครั้งนี้”
โดยการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกนับตั้งแต่กองทัพทหารพม่าเข้ายึดอำนาจจากการรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 การเลือกตั้งได้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงไปจนถึงต้นปี พ.ศ. 2569 ใน 274 อำเภอจากทั้งหมด 330 อำเภอทั่วประเทศ เนื่องจากบางพื้นที่ยังคงมีสงคราม
อย่างไรก็ดี แม้ซูจะไม่เข้าร่วมกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เหมือนกับชาวเมียนมาอีกหลายคนในประเทศไทยที่กล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘การเลือกตั้งครั้งนี้คือการลวงลวง’ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อชีวิตชาวเมียนมาจำนวนอย่างน้อย 2.3 ล้านคนในประเทศไทย
‘รัฐธรรมนูญ 2008’ การรักษากล่องดวงใจของกองทัพผ่านการเลือกตั้ง

ภาพถ่ายและรายชื่อผู้เสียชีวิตโดยรัฐบาลทหารพม่า ภายหลังรัฐประหารเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์พลังของผู้ไร้อำนาจ (Energy of Powerless Museum) ของสมาคมช่วยเหลือนักโทษการเมือง (AAPP) ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก ที่มา: ณฐาภพ สังเกตุ
เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเมียนมา ทางประชาไทได้พูดคุยกับ ดร.ศิรดา เขมานิฏฐาไท อาจารย์ประจำสำนักวิชาการระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดย ดร.ศิรดาเริ่มต้นว่า สาเหตุที่การเลือกตั้งเกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2025 เพราะว่ารัฐธรรมนูญปี 2008 ของเมียนมาระบุไว้ชัดเจนว่าต้องมีการจัดการเลือกตั้งทุก 5 ปี
“ระบอบมิน อ่อง หล่าย เป็นระบอบทางการทหารที่มุ่งเป้าที่จะควบคุมทุกอย่าง โดยใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องมือและมีรัฐธรรมนูญปี 2008 เป็นเกราะป้องกันตัวเอง”
โดยรัฐธรรมนูญปี 2008 คือมรดกที่ผู้นำเผด็จการคนปัจจุบัน ได้รับสืบทอดมาจากระบอบตานฉ่วย อดีตผู้นำทหารที่ออกแบบรัฐธรรมนูญมาอย่างรัดกุม เพื่อให้กองทัพสามารถคุมการเมืองได้อย่างชอบธรรม แต่สิ่งที่แตกต่างออกไป ดร.ศิรดาวิเคราะห์ว่า มิน อ่อง หล่ายมีแนวคิดสุดโต่งที่มองว่าระบอบการเมืองพลเรือน คือต้นเหตุที่ทำให้ประเทศนำไปสู่ความแตกแยก นั่นจึงทำให้ตั้งแต่หลังปี 2021 ที่เกิดรัฐประหารมีการใช้กำลังอาวุธปราบปรามประชาชนอย่างรุนแรงมากกว่าที่เคยเป็นมา
“รัฐประหารปี 2021 เป็นการกระชากอำนาจออกไปจากชาวบะหม่าที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลัก ทำให้กระแสต่อต้านระบอบทหารรุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ แม้กระทั่งเทียบกับในปี 1988”
โดยหลังปี 2021 ดร.ศิรดากล่าวว่าทำให้เกิดกองกำลัง PDF (Folks’s Defence Force) ที่ฐานสมาชิกส่วนใหญ่เป็นชาติพันธุ์บะหม่า (Bamar) และเกิดการสู้รบอย่างหนักในภูมิภาคสะกายและภูมิภาคมะกเว ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศ
ดังนั้นในมุมมองของ ดร.ศิรดา การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นจึงไม่ใช่การที่กองทัพพม่าพยายามหาทางออกให้กับประเทศ แต่คือความทะเยอทะยานในการบีบบังคับกลุ่มต่อต้าน ภายใต้กติกาที่พวกเขากำหนดขึ้นมา ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะยิ่งทวีคูณความรุนแรงในเมียนมา
“กองทัพไม่ต้องการให้ใครแตะต้องรัฐธรรมนูญปี 2008 เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกออกแบบไว้อย่างเป็นระบบเพื่อคงอำนาจของกองทัพพม่า” – เน โพน ลัต กล่าว
เน โพน ลัต (Nay Mobile telephone Latt) โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ซึ่งเป็นรัฐบาลฝ่ายต่อต้านเผด็จการ กล่าวกับทางประชาไทว่า พรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) มีความพยายามและมีการดำเนินการเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2008 แต่ที่ผ่านมาไม่เคยประสบความสำเร็จ
เนื่องจากในมาตรา 109 ของรัฐธรรมนูญฯ กำหนดให้กองทัพครองที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร และสภาสภาสูงของรัฐสภาเมียนมาร้อยละ 25 บทบัญญัตินี้ทำให้กองทัพมีอำนาจในการปิดกั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญใดๆ เนื่องจากมาตรา 436 กำหนดให้ต้องมีคะแนนเสียงข้างมากเกิน 75% จึงจะสามารถทำการแก้ไขได้
“ประชาชนเมียนมาไม่ได้ปฏิเสธระบบการเลือกตั้ง กลับกันพวกเราพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งการเลือกตั้งที่ยุติธรรม เราไม่ต้องการการเลือกตั้งใด ๆ ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้”
ทางตัวแทนจากรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ ได้ยื่น 6 ข้อเสนอโดยหนึ่งในข้อเสนอได้ระบุว่าต้องมีการยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 2008 อย่างสิ้นเชิง และต้องมีการร่างและประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ รวมทั้งสถาปนาสหพันธรัฐประชาธิปไตยแห่งใหม่ ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐ
ทาง ดร.ศิรดาเองก็ได้หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาไฮไลท์ โดยมองว่าข้อเสนอ ‘สหพันธ์รัฐ’ ถูกหยิบขึ้นมาพูดถึงมากขึ้นจนกลายเป็นกระแสหลักของฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่า แต่แนวคิดดังกล่าวถือว่าเป็นภัยคุกคามสำหรับกองทัพพม่าในการล้มล้างรัฐธรรมนูญปี 2008 ที่ถือเป็นกล่องดวงใจของกองทัพ ดังนั้นแล้วกองทัพพม่าจึงพยายามอ้างความชอบธรรมในการจัดการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อรักษาอำนาจผ่านรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
เสียงจากต่างแดน; คนเมียนมาในไทยคิดอย่างไรต่อการเลือกตั้ง

ตลาดนัดใกล้ชุมชนแรงงานข้ามชาติจากพม่าที่ จ.สมุทรสาคร ที่มา: ณฐาภพ สังเกตุ
“ฉันและครอบครัวรู้ดีว่าการเลือกตั้งครั้งนี้คือการลวงลวงครั้งใหญ่ แต่ฉันค่อนข้างกังวลกับครอบครัวที่ยังอยู่ในประเทศเมียนมา ทหารพม่าสามารถนำพวกเขาไปขังคุกได้ หากไม่ให้ความร่วมมือกับการเลือกตั้ง”
ข้อความข้างต้นที่แจรี่ (Jerry) ชาวเมียนมาเชื้อสายมอญจากเมืองล่าเสี้ยว (Lashio) ในรัฐฉานเหนือ ที่ปัจจุบันทำงานเป็นพนักงานบริษัทด้านธุรกิจการเงินแห่งหนึ่งในประเทศไทยกล่าวข้างต้น สอดคล้องกับรายงานข่าวที่ระบุว่า กองทัพเมียนมาได้จับกุมประชาชนมากกว่า 90 คน ในข้อหาขัดขวางกระบวนการเลือกตั้ง โดยบางกรณีถูกจับกุมจากการเพียงแสดงรีแอคชั่นกับโพสต์ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ หรือดาราบางส่วนที่ถูกจับกุมเพียงเพราะไม่ให้ความร่วมมือในการประชาสัมพันธ์การเลือกตั้ง
“คนเมียนมาอาศัยอยู่ภายใต้กองทัพพม่ามาอย่างยาวนาน” แจรี่ในวัย 34 ปีกล่าว “จนกระทั่งปี 2010 ถึง 2020 เราได้ลิ้มรสชาติของประชาธิปไตย ทำให้เห็นคำว่าอิสรภาพโดยปราศจากการควบคุม”
สำหรับแจรี่ช่วงเวลาดังกล่าวคือความหวัง ที่ทำให้ชาวเมียนมายังคงเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตย แม้เขารู้ดีว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของเหล่านายพลในกองทัพ และนักธุรกิจขนาดใหญ่ แต่เขากังวลว่าหากไม่ให้ความร่วมมือกับกองทัพ จะส่งผลกระทบต่อชาวเมียนมาในประเทศไทย เมื่อต้องไปติดต่อสถานทูตในการต่ออายุเอกสาร รวมทั้งผลกระทบต่อครอบครัวของพวกเขาที่ยังคงอาศัยอยู่ในเมียนมา
“ฉันตระหนักดีว่า พวกเขาสามารถลงโทษพวกเราได้ โดยเฉพาะกับเรื่องหนังสือเดินทางของเรา” แจรี่กล่าว
ทางด้านโกซอ (Ko Zaw) ชาวบะหม่าจากเมืองทวาย วัย forty five ปี กล่าวกับประชาไทว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งตอนนี้ออกมาน้อยมาก สิ่งเดียวที่เขารู้คือสถานทูตเมียนมาประจำประเทศไทย มีประกาศให้ชาวเมียนมาในไทยออกมาเลือกตั้ง
โดยรายงานจากเครือข่ายเอเชียเพื่อการเลือกตั้งเสรี (ANFREL) ระบุว่า ได้มีการเปิดให้ลงทะเบียนสำหรับการลงคะแนนล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคมถึง 8 กันยายน และถูกขยายเวลาออกไปจนถึงวันที่ 12 ตุลาคม ซึ่งสันนิษฐานว่ามาจากการลงทะเบียนในอัตราที่ต่ำ
นอกจากนี้ข้อมูลยังระบุอีกว่าบัตรลงคะแนนนอกประเทศเมียนมา จะถูกนับและประกาศผลก่อนวันเลือกตั้ง เพื่อสร้างผลการเลือกตั้งที่เป็นที่พึงพอใจของรัฐบาลทหาร
โก ซอ วิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรค USDP (Union Cohesion and Pattern Occasion) ที่เป็นพรรคการเมืองของทหารพม่าต้องการทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะเลือกตั้งในครั้งนี้
“พรรคของทหารครั้งก่อนแพ้เลือกตั้งสู้ไม่ได้ก็ใช้ปืน” โก ซอกล่าว “ถ้าให้คะแนนความโปร่งใสในการเลือกตั้งครั้งนี้แม้แต่คะแนนเดียวผมก็ไม่ให้”
โก ซอร้องขอให้นานาชาติไม่สนับสนุนการเลือกตั้งครั้งนี้ และแสดงความเป็นกังวลว่าหลังการเลือกตั้ง จะมีคลื่นอพยพของผู้คนระลอกใหม่ตามมา จากสถานการณ์การหมดความเชื่อมั่นทางการเมืองในเมียนมา

วิชัย จันทวาโร ผู้อำนวยการมูลนิธิเสมสิกขาลัย ที่มา: ณฐาภพ สังเกตุ
ในฝั่งประเทศไทยวิชัย จันทวาโร ผู้อำนวยการมูลนิธิเสมสิกขาลัย องค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานสนับสนุนประชาธิปไตยในเมียนมา แสดงความคิดเห็นกับทางประชาไทว่า สิ่งสำคัญสำหรับคนเมียนมาตอนนี้คือความสงบและการยุติสงคราม
“สำหรับประชาชนเมียนมาเขาขออะไรก็ได้ เพียงแค่ให้หยุดการฆ่-ากันก่อนได้ไหม” วิชัยแบ่งปันข้อมูลที่เขาได้พูดคุยกับชาวเมียนมา “ในเมื่อตอนนี้ไม่มีทางเลือกอื่น และการไม่ออกไปเลือกตั้งสามารถส่งผลต่อความปลอดภัยในชีวิตของใครหลายคน”
วิชัยเป็นคนหนึ่งที่คิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ใช่หนทางสู่ความสงบ แต่เมื่อมองเข้าไปยังสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาเห็นว่าคนเมียนมาจำนวนมากเหนื่อยกับการสู้รบ และยังไม่เห็นทางออกใดในการหยุดการสู้รบนี้
“ผมไม่ได้บอกว่าการเลือกตั้งครั้งนี้คือทางออก แต่ว่าอีกมุมหนึ่งคนเมียนมาตอนนี้ไม่มีตัวเลือก ถ้าไม่เลือกตั้งก็ยังไม่เห็นช่องทางอื่นที่จะทำให้หยุดการสู้รบได้”
อย่างไรก็ดีวิชัยก็ตั้งข้อสังเกตว่า มีการเพิ่มการโจมตีทางอากาศเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า ในเดือนตุลาคมมีการโจมตีทางอากาศ 192 ครั้ง และมีพลเรือนเสียชีวิตอย่างน้อย 150 คน โดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามยึดคืนพื้นที่ให้ได้มากที่สุดก่อนการเลือกตั้ง เพื่อให้สามารถจัดให้มีการลงคะแนนให้ได้มากที่สุด
นอกจากนี้กลไกการเลือกตั้ง ยังถูกออกแบบมาเพื่อการควบคุมของทหาร นับตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ายึดอำนาจด้วยการรัฐประหาร โดยกล่าวอ้างว่าการเลือกตั้งปี 2020 ที่พรรค NLD ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย มีการฉ้อโกงและทุจริต แต่หลังจากนั้นรัฐบาลทหารกลับแต่งตั้งคณะกรรมการเลือกตั้งที่เป็นอดีตนายพล, บังคับให้ทุกพรรคการเมืองต้องจดทะเบียนใหม่ ส่งผลให้ 40 กลุ่มการเมืองรวมถึงพรรค NLD ถูกยุบ, รวมทั้งการสร้างแรงกดดันบังคับให้แรงงานข้ามชาติต้องเข้าร่วมการเลือกตั้ง ท่ามกลางแรงต่อต้านจากชาวเมียนมาทั้งในและต่างประเทศ ดังเช่นที่ แจรี่ ชาวเมียนมาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยกล่าวว่า
“ฉันไม่มีทางจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการเลือกตั้งที่ลวงลวงที่สุดครั้งหนึ่งในโลกแบบนี้ได้”
เลือกตั้งเมียนมาสะเทือนไทยอย่างไร

แรงงานข้ามชาติจากเมียนมา ถือภาพอองซานซูจี อดีตที่ปรึกษาแห่งรัฐ ซึ่งปัจจุบันยังคงถูกรัฐบาลทหารจองจำ ภาพถ่ายระหว่างกิจกรรมวันแรงงานสากล 1 พฤษภาคม 2568 ที่กรุงเทพมหานคร ที่มา: ณฐาภพ สังเกตุ
“ถ้าประเทศเมียนมาไม่มีประชาธิปไตย มันกระทบไทยทั้งจำนวนผู้ที่ลี้ภัยเข้ามา, ปัญหาสแกมเมอร์ และยาเสพติด”
พงษ์ศักดิ์ จันทร์อ่อน ผู้อำนวยการ We Recognize (องค์กรสังเกตการณ์การเลือกตั้งในประเทศไทย) และอดีตผู้สังเกตการณ์การเลือกตั้งนานาชาติ ให้สัมภาษณ์กับประชาไทว่า จากประสบการณ์สังเกตการณ์เลือกตั้งมากว่า 30 ประเทศทั่วโลก เขาไม่เคยเห็นการเลือกตั้งครั้งไหนที่เลวร้ายและขัดต่อเกณฑ์การชี้วัดสำหรับนักสังเกตการณ์เลือกตั้งทั้ง 5 ประการเท่านี้มาก่อน กล่าวคือ การขาดอิสระของกรรมการจัดการเลือกตั้ง, การใช้กฎหมายเลือกตั้งที่ไม่เป็นธรรม, ไม่มีเสรีภาพในการแสดงออกและการสังเกตการณ์, ขาดความยุติธรรมในการคุมขังคู่แข่งทางการเมือง และการขาดความมีส่วนร่วมของประชาชน
ความเลวร้ายดังกล่าวได้ส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย รายงานของสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) พบว่ามีผู้พลัดถิ่นภายในประเทศ (IDPs) ทั่วประเทศเกือบ 3.6 ล้านคน ซึ่งบางส่วนต้องอพยพมายังประเทศไทย ในขณะที่ United Countries Situation of job on Medication and Crime (UNODC) รายงานว่าความไม่สงบทางการเมืองในเมียนมา ได้สร้างเงื่อนไขที่เอื้อให้เครือข่ายผลิตยาเสพติดเติบโตอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยประเทศไทยได้กลายเป็นเส้นทางลำเลียงและจุดหมายปลายทางของยาเสพติดเหล่านั้น
“ถ้าประเทศเมียนมาทหารสามารถยึดอำนาจได้ จะกลายเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับประเทศใกล้เคียง และบั่นทอนความเข้มแข็งของประชาธิปไตยในภูมิภาค”
พงษ์ศักดิ์ตระหนักว่า ถ้าประชาคมโลกเพิกเฉยกับสิ่งที่เผด็จการทหารพม่ากำลังทำ สถานการณ์ทางการเมืองในภูมิภาคนี้ก็จะมีแนวโน้มเลวร้ายลง เพราะการเลือกตั้งกำลังถูกใช้เป็นเครื่องมือเปลี่ยนผ่านอำนาจ ในการสร้างความชอบธรรมให้กับกองทัพ
ทางด้านวิชัย ผู้อำนวยการมูลนิธิเสมสิกขาลัย มองผลกระทบหลังการเลือกตั้งว่ามาตรการคว่ำบาตรรัฐบาลทหารพม่าจะเบาบางลง นำมาซึ่งการลงทุนจากต่างชาติที่มีโอกาสกลับไปยังประเทศเมียนมา
“ฟังดูเหมือนดีแต่การลงทุนที่กลับเข้าไปในเมียนมา เป็นกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ให้ผลประโยชน์คนในพื้นที่น้อยมาก คนที่ได้ผลประโยชน์คือนักลงทุนและการเก็บภาษี ในขณะเดียวกันผลกระทบจะตกอยู่กับคนเมียนมาสูงขึ้น”
โดยการลงทุนที่ว่านั้นคือการทำเหมือง, ก๊าซ, และทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นการลงทุนที่ประเทศไทยเกี่ยวข้องโดยตรง รายงานสถิติพลังงานรายปี 2568 ระบุว่าประเทศไทยยังคงนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากประเทศเมียนมาอยู่ 11%
วิชัยมองว่าทั้งฝ่ายทหารและฝ่ายต่อต้านมีโอกาสเข้าถึงแหล่งทุนมากขึ้นผ่านการลงทุนจากต่างชาติ ดังนั้นหลังจากนี้มีโอกาสสูงที่อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ใช้ในการสู้รบจะมีศักยภาพสูงขึ้น

กิจกรรมรำลึกในโอกาสครบรอบ 3 ปี กองทัพพม่าทำรัฐประหาร ภาพถ่ายเมื่อ 1 กุมภาพันธ์ 2567
ที่มา: ณฐาภพ สังเกตุ
“นักธุรกิจไทยบางคนมองการเลือกตั้งคือทางออก” ดร.ศิรดากล่าว และว่าสินค้าและบริการของไทย ยังคงเป็นที่ต้องการในเมียนมา “นายทุนไทยกับนายทุนในเมียนมามีความเชื่อมโยงในเชิงธุรกิจที่ทำร่วมกันมานานและมีมากขึ้นหลังปี 2553 ดังนั้นการเลือกตั้งครั้งนี้นักธุรกิจบางส่วนมองว่าเป็นโอกาส ทั้งที่ความเป็นจริงการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ได้เหมือนการเลือกตั้งในปี 2553 และไม่ได้เป็นทางออกไปสู่สันติภาพ”
สำหรับผลกระทบในแง่อื่น ดร.ศิรดาคาดการณ์ว่าหลังการเลือกตั้ง กิจกรรมหลายอย่างในเมียนมาทั้งเหมืองแร่, การผลิตยาเสพติด, และกลุ่มอาชญากรรมทางไซเบอร์ ที่ ณ ตอนนี้อยู่ภายใต้การดูแลของกองกำลังติดอาวุธที่ไม่มีความชัดเจนจุดยืนทางการเมือง แม้กองทัพพม่าจะไม่สามารถควบคุมกองกำลังเหล่านี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ แต่จะเกิดการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ระหว่างกันในการทำธุรกิจ และขาดการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังในส่วนที่ส่งผลกระทบถึงประเทศไทย
“ประเทศไทยสามารถพูดคุยได้กับเกือบทุกกลุ่มทางการเมืองในเมียนมา แต่ไทยไม่ใช้ช่องทางเหล่านั้นให้เกิดประโยชน์”
ด้วยความอ่อนแอทางระบอบการเมืองในประเทศไทย ทำให้ ดร.ศิรดา มองท่าทีของรัฐบาลไทยทุกๆรัฐบาลต่อการเลือกตั้งในเมียนมาและการเมืองเมียนมาเป็นไปในเชิงรับ และขาดนโยบายทางการต่างประเทศที่ชัดเจน รวมทั้งมีแนวคิดแบบ ‘inward having a peep’ คือการมองแต่ประเทศตนเอง ทั้งๆ ที่สังคมไทยเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์ในเมียนมา
“กลุ่มคนที่พยายามไม่ให้แทรกแซงการเมืองพม่า คือคนกลุ่มเดียวกันที่บอกว่าทำไมแรงงานและผู้ลี้ภัยจากเมียนมาเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยเยอะเกินไป ทั้งๆ ที่มันเชื่อมโยงกัน” ดร.ศิรดากล่าว
ท่าทีทางฝั่งรัฐบาลไทยพบว่า สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ยังคงสนับสนุนฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน และมีมติของอาเซียนไม่ส่งคณะผู้สังเกตการณ์อย่างเป็นทางการ นอกจากนี้เขายังระบุว่า การเลือกตั้งเมียนมาที่จะจัดโดยรัฐบาลทหาร “ไม่เสรีและไม่น่าเชื่อถือ” พร้อมยืนยันจุดยืนในฐานะตัวแทนรัฐบาลว่า ไทยไม่อยู่ในจุดที่จะยอมรับผลการเลือกตั้งภายใต้สภาพการณ์ปัจจุบัน รวมทั้งเรียกร้องให้มีการปล่อยตัว ออง ซาน ซูจี ด้วยเหตุผลด้านมนุษยธรรม
อย่างไรก็ดีประเทศไทยมักถูกมองว่า เป็นประเทศที่ใช้แนวทางของตนเองต่อเมียนมา จึงมีแนวโน้มที่ถูกประเมินได้ว่า มีโอกาสยอมรับการเลือกตั้งมากกว่าสมาชิกประเทศอื่นในอาเซียน
ซึ่งทางด้าน เน โพน ลัต โฆษกสำนักนายกรัฐมนตรีรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) ก็ได้เรียกร้องว่าแรงกดดันจากนานาชาติมีความสำคัญ และสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ เพราะหนึ่งในเป้าหมายของการเลือกตั้งครั้งนี้คือการได้รับการยอมรับจากนานาชาติ
เน โพน ลัต ระบุว่ามีความพยายามของกองทัพพม่า ในการส่งล็อบบี้ยิสต์ไปยังหลายประเทศทั่วโลก เพื่อพยายามชักจูงให้ประชาคมโลกยอมรับผลการเลือกตั้งของพวกเขา
“นั่นเป็นหลักฐานชัดเจนว่ากองทัพเมียนมาใส่ใจการยอมรับจากนานาชาติ ผมจึงอยากเรียกร้องให้ประเทศต่าง ๆ โปรดอย่ายอมรับผลการเลือกตั้ง และเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดว่าเกิดอะไรขึ้นในประเทศเมียนมา” เน โพน ลัตกล่าวทิ้งท้าย
คนรุ่นใหม่-ละทิ้งความหวังต่อเมียนมา

ผู้ประท้วงหน้าสถานทูตพม่าที่กรุงเทพฯ ในโอกาสครบรอบ 4 ปีรัฐประหาร ภาพถ่ายเมื่อ 1 ก.พ. 2568
ที่มา: ณฐาภพ สังเกตุ
“ฉันมักพูดเสมอว่า ‘เวลาของเยาวชนเมียนมาหยุดอยู่ที่ปี 2562 ก่อนการระบาดของโควิด19 และการรัฐประหารในปี 2564’ ฉันตอนนั้นในวัย 14 ปีรู้สึกว่าชีวิตหยุดอยู่ตรงนั้น”
เสียงจากซูเยาวชนชาวพม่ามุสลิม ในวันที่เธอกำลังควานหาทางให้กับชีวิตหลังเรียนจบมหาวิทยาลัยในประเทศไทย
“ตอนนั้นพวกเรามีความฝันมากมาย ฉันมีความฝันอยากทำงานเพื่อพัฒนาระบบการศึกษา อยากสร้างโอกาสให้กับชนกลุ่มน้อย อยากเป็นนักสังคมสงเคราะห์”
แต่เมื่อถามเธอว่าความหวังตอนนี้ต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมาเป็นอย่างไร ซูตอบว่า ความจริงในวันนี้คือชาวเมียนมาหลายคนกลับบ้านไม่ได้ และไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
“ความฝันของฉันเปลี่ยนไปจากการอยากพัฒนาประเทศ กลายเป็นอยากหนีออกไป และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในประเทศอื่น พวกเราอยากมีชีวิตที่ปกติ อยากอยู่กับครอบครัวในที่ปลอดภัย ความฝันของเราหดเล็กลง และกลายเป็นเพียงการปกป้องความปลอดภัยของชีวิต มากกว่าการไล่ตามความฝันที่ครั้งหนึ่งเคยยิ่งใหญ่”
ในฐานะเยาวชนสิ่งที่ซูต้องการสำหรับประเทศ ไม่ใช่การเลือกตั้งเพื่ออำนาจทางทหาร แต่คือการเลือกตั้งที่นำพาอำนาจทางสติปัญญา สำหรับคนรุ่นใหม่คำกล่าวอ้างของกองทัพที่บอกว่า หน้าที่ของพวกเขาคือปกป้องความมั่นคงของชาติ นั่นไม่ใช่คำตอบของการพัฒนาประเทศในยุคสมัยนี้ เมื่อวันนี้สิ่งที่ประเทศเมียนมาต้องการคือ การให้ประชาชนมีการศึกษา, มีระบบสาธารณสุขที่ดี, และมีโครงสร้างพื้นฐานที่ดี นั่นคือสิ่งที่กองทัพไม่สามารถทำได้
“กองทัพไม่ได้ถูกฝึกมาเพื่อสร้างถนนหรือทำการค้า แต่ถูกฝึกมาเพื่อสู้รบปกป้องประเทศ แต่วันนี้พวกเขากำลังสู้รบกับคนภายในประเทศ ผ่านการเลือกตั้งที่ลวงลวง เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง” ซูกล่าวทิ้งท้าย
รายงานข่าวฉบับนี้ได้รับการสนับสนุนจากโครงการ ANFREL Media Fellowship on Election Reporting











