
ภาพปกจาก: เฟซบุ๊กตลาดบ้านแหลมจังหวัดจันทบุรี FC
แม้ว่าการปะทะกันทางอาวุธอย่างหนักตามแนวชายแดนไทยและกัมพูชาระลอกล่าสุดจะอยู่ในพื้นที่ 4 จังหวัดในบริเวณภาคอีสานของไทย และเสียงปืนได้สงบลงแล้ว ทว่าผลกระทบก็ขยายมาถึงจังหวัดสระแก้วและจันทบุรีด้วยที่มีพรมแดนติดกับกัมพูชาทางฝั่งตะวันออกด้วยเช่นกัน การปะทะระลอกล่าสุดของสองประเทศเพื่อนบ้านซ้ำเติมความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ปะทะกันระลอกแรก เรื่อยมาจนมาถึงการใช้มาตรการปิดด่านพรมแดน
ประชาไทพูดคุยกับตัวแทนหอการค้าจังหวัดสระแก้วและจันทบุรี ถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เมืองชายแดนต้องเผชิญ หลังพื้นที่ธุรกิจการค้าที่เคยมีชีวิตชีวากลายเป็นเงียบเหงา ผู้คนชายแดนต้องอพยพ รวมถึงแรงงานกัมพูชา “เกือบทั้งหมด” ก็กลับประเทศไปจนภาคธุรกิจชะงัก
อนุวัฒน์ หวังพนาวงศ์ ผู้ประกอบการรายย่อย ตัวแทนหอการค้าจังหวัดสระแก้ว ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวประไทในเรื่องสภาพความเดือดร้อนที่พวกเขาเผชิญอยู่ โดยเขาเรียกความเดือดร้อนในครั้งนี้ว่าเป็น “ภาวะ 2 ด้าน”
ในด้านหนึ่งเขาก็เป็นคนไทยที่รู้สึกคล้ายๆ กับคนไทยทั้งประเทศ ขณะที่อีกด้านหนึ่ง เขาก็เป็นคนทำมาค้าขายในอำเภออรัญประเทศ ที่รายได้ตกฮวบหลังจากที่มีเหตุปะทะ
“เราเจอกับภาวะสองด้าน ด้านแรกคือเราเข้าใจว่าสถานการณ์ตรงนี้เป็นสถานการณ์ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ในเรื่องของการรักษาอธิปไตยของชาติ เรายอมรับสภาพกัน อันนี้พูดในฐานะประชาชนชาวไทย แต่ในขณะเดียวกัน เราได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โดยตรงเลย เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีแนวทางที่จะเห็นได้ชัดว่ามันจะไปสิ้นสุดเอาในรูปแบบไหน”
“ในฐานะคนที่เป็นประชาชน (ที่อยู่ชายแดน) ก็เปรียบเสมือนแนวหน้าฝั่งหนึ่งเหมือนกัน เราได้รับผลกระทบไม่ว่าจะเป็นเรื่องการค้าการค้าขาย ที่เราเคยจับจ่ายใช้สอยกันได้ เรื่องสุขภาพจิต มีเด็กนักเรียนที่ต้องหยุดเรียน ขาดโอกาสทางการศึกษาไปอีก และยังมีคนที่ได้รับผลกระทบแล้วไม่สามารถอพยพออกพื้นที่ตรงนี้ได้”
อนุวัฒน์ เล่าว่าโดยปกติแล้วพื้นที่ตรงนี้มีคนไทย และคนกัมพูชาเข้ามาใช้ชีวิต เข้ามาทำธุรกิจ เรียกได้ว่าคนทั้งสองประเทศคุ้นเคยกันดี แต่ตอนนี้อำเภออรัญประเทศมีสภาพเงียบเหงา คนกัมพูชาทั้งแรงงานและผู้ประกอบการ “เกือบทั้งหมดต้องกลับประเทศไป” ส่วนคนไทยบางส่วนก็ต้องอพยพออกจากไปอยู่ในที่ที่ปลอดภัยกว่า
“ทางฝั่งกัมพูชาเขาก็มีการเรียกประชาชนกลับ ทาง (ประเทศไทย) เราเองก็ไม่สามารถสร้างความมั่นใจให้เขาได้ว่าอยู่ตรงนี้เขาจะมีที่ทำกินไหม”
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ในเมืองชายแดนมีเหตุการณ์ที่คนไทยออกตามล่า ทำร้ายคนกัมพูชาเหมือนอย่างที่เกิดในกรุงเทพฯ และที่อื่นๆ บ้างหรือไม่ เขาบอกว่าไม่มีแบบนั้นเลย อย่างไรก็ตาม คนกัมพูชาเองก็ความกังวลเรื่องความปลอดภัย
“จริงๆ ในพื้นที่ คนเราใช้พื้นที่ร่วมกัน ทำงานค้าขายกันมา พูดคุยกัน พนักงานก็เตะตะกร้อกัน ชาวไทยชาวกัมพูชาก็เล่นกันสนุกสนานไม่ได้มีปัญหาอะไร ในส่วนของคนที่ทำงานอยู่บริเวณประชาชนที่อยู่ชายแดน ผมมองว่าประชาชนไทยและประชาชนชาวกัมพูชาตกเป็นเหยื่อทั้งคู่นะครับ”
อนุวัฒน์เล่าว่าธุรกิจของเขาได้รับผลกระทบเช่นกัน รายได้ของเขาลดลงจนเหลือแค่ประมาณ 20% จากเดิม ส่วนคนงานกัมพูชาก็กลับประเทศไปแล้ว จึงเหลือแต่แรงงานชาวไทย
“อย่างกรณีของผมเองก็คือมีลูกน้องต้องเลี้ยง และลูกน้องผมเองจะขาดรายได้ก็ไม่ได้เพราะว่าถ้าลูกน้องผมตกงานตอนนี้ก็ไม่มีงานทำอยู่ดี เพราะว่าทุกคนก็ว่างงานกันหมด”
“ตอนแรกเรามีการคุยกันกับชาวลูกน้องกัมพูชาว่าถ้าสถานการณ์สงบแล้ว เรากลับมาก็ทำงานกันได้เหมือนเดิม ประมาณนี้ แต่ตอนนี้ อย่าว่าแต่ลูกน้องกัมพูชาเลยครับ ลูกน้องคนไทยผมยังไม่แน่ใจเลยว่าเราจะต้องกลั้นหายใจ เราต้องอดทนไปนานเท่าไร เพราะว่าเราต้องจ่ายเงินพวกเขาในทุกๆ เดือน ไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดของสถานการณ์นี้จะไปจบตรงไหน”
ยิ่งไปกว่านั้น ความขัดแย้งชายแดนครั้งนี้ทำคนอีกจำนวนมากขาดรายได้ไปเลย อาทิ ผู้ค้าตลาดนัด ร้านโชว์ห่วย ร้านขายของปิ้งย่างตามตามแนวชายแดน มันทำให้พื้นที่เงียบเหงาชนิดที่ “เซเว่นบางสาขาต้องปิดตัวลงเลย ถ้าระดับเซเว่นยังปิดตัวก็คือเขาไม่มีลูกค้าแล้วอะครับในพื้นที่ชายแดน”
เขากล่าวต่อไปว่า คนขาดรายได้ แต่ค่าใช้จ่ายยังคงมี และอาจเพิ่มขึ้นด้วยจากการต้องพยายามดูแลกันเอง ต่อให้เป็นกลุ่มที่ยังไม่ต้องอพยพไปไหน คนก็ยังต้องจ่ายค่าครองชีพ ค่าเช่า ผ่อนบ้านผ่อนรถอยู่
ส่วนกลุ่มที่ต้องอพยพไปอยู่ที่อื่น ก็มีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะค่าเช่าเดิมที่ชายแดนก็ไม่ได้หายไป แต่ก็ต้องไปเช่าที่ใหม่อาศัย
“ค่าใช้จ่ายของคนในพื้นที่ยิ่งสูงขึ้นไปอีก แล้วยังไม่มีการช่วยเหลือเยียวยาใดๆ จากทางภาครัฐ”
เขาเล่าต่อไปว่า กลุ่มที่อพยพออกไปจะเป็นเด็กและผู้หญิง ส่วนคนที่ยังไม่ได้อพยพ อย่างเช่นตัวเขาก็อยู่ในฐานะกำลังงานที่คอยดูแลพื้นที่ให้ไม่ร้าง ส่วนอีกกลุ่มคือคนที่ประเมินความเสี่ยงแล้วเลือกที่จะไม่ไปไหน รวมถึงคนที่ไม่มีที่ไป
ส่วนความช่วยเหลือที่ได้รับ เขาบอกว่า “คนที่ให้ความช่วยเหลือก็เป็นคนที่เดือดร้อนด้วยกันเอง” มาจากประชาชนและผู้ประกอบการ ซึ่งมีทั้งคนที่คุ้นเคยกับพื้นที่และคนที่ยื่นมือมาช่วยจากที่ไกลๆ
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าภาครัฐควรมีมาตรการช่วยเหลืออย่างไร เขาตอบว่า อยากให้ภาครัฐเร่งให้มีกองทุนเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว หรือถ้ามีงบส่วนอื่นก็อยากให้เอามาเยียวยาตรงนี้ก่อน
ในฐานะคนไทยเหมือนกันตัวเขาเองเข้าใจความโกรธแค้นที่คนไทยส่วนใหญ่รู้สึกอยู่ แต่การจะรบกันเอาสะใจก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น เขาบอกว่าอยากให้จำกัดพื้นที่ความขัดแย้งเพื่อไม่ให้ความเสียหายลุกลามไปกว่านี้ ถ้าไทยไปโจมตีกัมพูชาที่เป็นประเทศเล็กกว่า ภาพลักษณ์ของประเทศเราต่อชาวโลกในระยะยาวก็เสียหาย
อนุวัฒน์ ผู้ประกอบการรายย่อย ตัวแทนหอการค้าจังหวัดสระแก้ว กล่าวต่อไปว่า มันมีวิธีอื่นๆ ที่ในระดับประชาชนสองประเทศสามารถทำได้ และเป็นวิธีที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่า ก็คือการทำความเข้าใจมุมมองของกันและกัน เราจะเห็นว่าที่ผ่านมาข่าวฝั่งกัมพูชาก็ไม่ได้รายงานผู้เสียชีวิตมากเท่าไรนัก “เมื่อเช้านี้ก็มีข่าวว่าทหารที่มาออกรบของทางฝั่งกัมพูชา เริ่มมีชาวกัมพูชาเริ่มประกาศหาตัวกันแล้วว่าหายไป ติดต่อไม่ได้” อยากให้คนไทยเข้าใจข้อจำกัดเรื่องเสรีภาพสื่อในฝั่งกัมพูชาด้วย ความที่กัมพูชาไม่ได้มีเสรีภาพสื่อมากเท่าเมืองไทย ทำให้ชาวกัมพูชาเองก็อาจได้รับข่าวสารที่ไม่ครบถ้วนจากรัฐบาล
ขณะที่ อุกฤษฏ์ วงษ์ทองสาลี ประธานหอการค้าจังหวัดจันทบุรี ให้สัมภาษณ์กับประชาไทว่า เหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ที่นำมาซึ่งกระแสเกลียดชังแรงงานกัมพูชานั้น กระทบกับความรู้สึกของแรงงานกัมพูชา จนทำให้พวกเขากลับประเทศไป “หายไปประมาณ 80% เลย” ทั้งในภาคส่วนก่อสร้าง ภาคส่วนการเกษตร ซึ่งอย่างหลังนี้กำลังจะส่งผลกระทบ เนื่องจากช่วงปลายปีคือฤดูกาลของลำไย
ประธานหอการค้าจังหวัดจันทบุรีเล่าว่า “ปกติแล้วจะมีแรงงานกัมพูชาประมาณ 20,000 คนในภาคตะวันออก แต่ตอนนี้เหลืออยู่ไม่กี่พัน” การกลับประเทศของแรงงานกัมพูชาเป็นการกลับแบบ “เฮโล” ซึ่งคนกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มก้อนที่มีผลต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ส่วนกลุ่มที่ไม่กลับก็มี คือพวกที่สนิทกับนายจ้าง และประเมินสถานการณ์แล้วว่าคงไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้น ซึ่งกลุ่มหลังนี้มีจำนวนน้อยกว่ามาก อาจจะเป็นแรงงานประเภททำงานในบ้าน และอื่นๆ
ประธานหอการค้าจังหวัดจันทบุรีกล่าวว่า อยากขอให้กระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยจัดการให้มีแรงงานทดแทนจากประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ ให้ไวที่สุด โดยเบื้องต้นมีการประเมินกันว่า การกลับบ้านครั้งใหญ่ของแรงงานกัมพูชาคงไม่ต่ำกว่า 3 เดือน
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )