
นักวิทยาศาสตร์ไขปริศนาที่ทำให้ “แมวส้ม” มีสีไม่เหมือนใครได้แล้ว

ที่มาของภาพ : Getty Photos
data
- Author, เอสเม สตอลลาร์ด
- Characteristic, ผู้สื่อข่าวด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและวิทยาศาสตร์
แมวการ์ฟีลด์ แมวตัวเอกจากภาพยนตร์เรื่อง พุซ อิน บูทส์ (Puss in Boots) ไปจนถึงเจ้าตูลูสจากการ์ตูนเรื่องแมวเหมียวพเนจร (Aristrocats) อาจเป็นไอคอนทางวัฒนธรรมสำหรับบางคน แต่พวกมันมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือเป็น “แมวส้ม”
ในตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์จากสองทวีปสามารถไขปริศนาเกี่ยวกับสารพันธุกรรมหรือดีเอ็นเอลึกลับของพวกมัน อันทำให้เพื่อนขนปุยของพวกเรา ซึ่งมักเป็นตัวผู้ มีขนสีส้มไม่เหมือนใคร
พวกเขาค้นพบว่ายีนของแมวส้มมีบางส่วนในรหัสพันธุกรรมที่หายไป และส่งผลให้เซลล์ที่มีหน้าที่ในการผลิตสีของผิวหนัง ลูกตา และสีขนของพวกมันนั้นผลิตสีที่อ่อนกว่า
ความก้าวหน้าในครั้งนี้ ไม่ได้สร้างความสุขให้กับนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงทาสแมวหลายพันคนที่ร่วมกันระดมทุนเพื่อสนับสนุนงานวิจัย
นักวิทยาศาสตร์หวังว่าการไขปริศนาในครั้งนี้จะช่วยให้ความกระจ่างได้ว่าแมวสีส้มมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นต่อสภาวะสุขภาพบางอย่างหรือไม่
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
ได้รับความนิยมสูงสุด
เป็นที่ทราบกันดีมานานหลายสิบปีว่าสีส้มโดดเด่นของมันมาจากลักษณะทางพันธุศาสตร์ แต่จะเป็นรหัสพันธุกรรมส่วนใดที่ทำให้พวกมันเป็นเช่นนี้ ยังคงเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ตามหา
นักวิทยาศาสตร์สองทีมจากมหาวิทยาลัยคิวชูในญี่ปุ่นและมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดจากสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยความลึกลับร่วมกันในงานศึกษาที่ตีพิมพ์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (15 พ.ค.)
สิ่งที่ทีมวิจัยค้นพบคือ ในเมลาโนไซตส์ (melanocytes) ซึ่งเป็นเซลล์ที่รับผิดชอบต่อการสร้างผิวหนัง รูขุมขน และสีดวงตาของแมว มียีนหนึ่งที่ชื่อว่า ARHGAP36 ซึ่งพบว่ามันทำงานมากกว่าปกติ
เช่นเดียวกันกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ยีนประกอบไปด้วยชิ้นส่วนของดีเอ็นเอ ซึ่งสั่งการให้เซลล์ของแมวทำงาน
จากการเปรียบเทียบดีเอ็นเอจากแมวหลายสิบตัวที่มีขนสีส้มปุยและไม่มีขนสีส้ม พวกเขาพบว่าแมวส้มมีรหัสดีเอ็นเอส่วนหนึ่งใน ARHGAP36 ที่หายไป ซึ่งการไม่มีรหัสดีเอ็นเอส่วนนี้จะทำให้การทำงานของ ARHGAP36 ไม่ถูกยับยั้ง ส่งผลให้ยีนชนิดนี้ทำงานเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ และนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ามันเป็นยีนที่สั่งให้เมลาโนไซตส์ผลิตเม็ดสีที่อ่อนกว่า
แมวส้มส่วนใหญ่เป็นตัวผู้
เป็นเวลาหลายทศวรรษที่นักวิทยาศาสตร์สังเกตว่าแมวส้มมีแนวโน้มจะเป็นตัวผู้มากกว่าตัวเมีย และสิ่งนี้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงที่ว่ายีนนี้อยู่บนโครโมโซมเอ็กซ์ (X)
โครโมโซมเป็นโครงสร้างที่ใหญ่กว่าของดีเอ็นเอ และเช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ แมวตัวผู้มีโครโมโซมเอ็กซ์ (X) และ วาย (Y) ซึ่งแต่ละโครโมโซมมีจำนวนยีนแตกต่างกัน
ยีนที่ควบคุมการผลิตเม็ดสีอยู่บนโครโมโซมเอ็กซ์เท่านั้น ดังนั้นการขาดหายไปของดีเอ็นเอเพียงตัวเดียว มันก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้มันกลายเป็นแมวที่มีสีส้มล้วน เมื่อเปรียบเทียบกับแมวตัวเมียที่มีโครโมโซมเอ็กซ์ 2 ตัว (XX) ดีเอ็นเอที่อยู่บนโครโมโซมทั้งสองจะต้องมีส่วนของรหัสดีเอ็นเอที่ขาดหายไป เพื่อจะผลิตเม็ดสีที่อ่อนกว่าได้ ส่งผลให้เรามักพบว่าแมวตัวเมียส่วนใหญ่มักมีสีอื่น ๆ ผสมกัน
“นี่จึงเป็นที่มาของแมวที่มีขนสีส้มกับดำผสมกัน เนื่องจากในช่วงต้นของการพัฒนา โครโมโซมเอ็กซ์ตัวหนึ่งในแต่ละเซลล์ถูกปิดแบบสุ่ม” ศาตราจารย์ฮิโรยูกิ ซาซากิ นักพันธุศาสตร์จาก ม.คิวชู อธิบาย
“เมื่อเซลล์แบ่งตัว จะทำให้มีบริเวณของยีนสีขนที่แตกต่างกันทำงานอยู่ ส่งผลให้เกิดเป็นหย่อมสีขนที่ไม่เหมือนกัน”

ที่มาของภาพ : Getty Photos
แม้เรื่องนี้จะมีรากฐานทางวิทยาศาสตร์ แต่จุดเริ่มต้นของการศึกษาเกิดขึ้นจากความหลงใหลส่วนตัวของศาสตราจารย์ซาซากิ
จริง ๆ แล้วเขาเกษียณอายุจากตำแหน่งในมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ในฐานะทาสแมว เขาบอกว่าตนเองต้องการทำงานต่อไป เพื่อไขปริศนายีนแมวส้ม ด้วยความหวังว่ามันจะ “มีส่วนช่วยในการเอาชนะโรคภัยต่าง ๆ ของแมว”
เขาและทีมงานระดมเงินได้ 10.6 ล้านเยน (ราว 2.4 ล้านบาท) ผ่านการระดมทุนเพื่อการวิจัยซึ่งมาจากทาสแมวหลายพันคนทั่วญี่ปุ่นและทั่วโลก
หนึ่งในผู้ร่วมบริจาคเขียนว่า “เราเป็นพี่น้องกัน เรียนอยู่ชั้น ป.1 และ ป.3 เราขอบริจาคเงินค่าขนม เพื่อใช้ในการศึกษาแมวสามสี”

ที่มาของภาพ : Hiroyuki Sasaki/Kyushu College
ยีน ARHGAP36 ทำงานอยู่ในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย รวมถึงสมองและต่อมฮอร์โมนด้วย โดยถือว่ามันมีความสำคัญต่อการเจริญเติบโต
นักวิจัยคิดว่า มีความเป็นไปได้ว่าการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอในยีน อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ในส่วนเหล่านี้ของร่างกาย ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับสภาวะสุขภาพหรืออารมณ์
ยีน ARHGAP36 พบในมนุษย์ด้วยเช่นกัน และมีความเชื่อมโยงกับมะเร็งผิวหนัง รวมถึงผมร่วง
“เจ้าของแมวหลายคนยืนยันตรงกันว่า สีและลวดลายของขนที่แตกต่างกันยังเชื่อมโยงกับบุคลิกของแมวที่แตกต่างกัน” ศาสตราจารย์ซาซากิ กล่าว
“มันยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ในประเด็นนี้ แต่มันเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ และเป็นสิ่งที่ผมอยากจะสำรวจเพิ่มเติม”
ที่มา BBC.co.uk