
เวทีเสวนาฯ ชี้ มีเพียง 2 กลุ่มทุนใหญ่ AIS-TRUE เข้าร่วมเปิดประมูล ‘คลื่นมือถือ’ ตอกย้ำ ‘ผู้บริโภค’ ขาดทางเลือก-เปิดช่องเกิดการ ‘ผูกขาด’
…………………………
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. สภาองค์กรของผู้บริโภค จัดเวทีเสวนา “กสทช. กับการประมูลคลื่นความถี่ และผลประโยชน์ของประชาชน” โดย นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา รองเลขาธิการสำนักงานสภาองค์กรของผู้บริโภค กล่าวถึงกรณีที่สำนักงาน กสทช. จะมีการเปิดประมูลคลื่นความถี่ สำหรับกิจการโทรคมนาคมเคลื่อนที่สากล ย่าน 850 MHz 1500 MHz 2100 MHz และ 2300 MHz ในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ ว่า เป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รับรู้ ทั้งที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับชีวิตประจำวัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อโครงสร้างตลาดโทรคมนาคมในปัจจุบันมีผู้ใช้งาน 116 ล้านเลขหมาย แต่มีผู้ให้บริการหลัก 2 ราย คือ บมจ.ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ที่ครองตลาดถึง 54.29% และบมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (AIS) อีกประมาณ 43% ขณะที่ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ (NT) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการภาครัฐมีส่วนแบ่งเพียง 2.66% สถานการณ์นี้ส่งผลให้ดัชนีความกระจุกตัวของตลาด (HHI) พุ่งสูงถึง 4,800 จุด จากระดับที่สะท้อนถึงการแข่งขันซึ่งควรอยู่ 2,500 จุด
นายอิฐบูรณ์ กล่าวว่า กรณีที่มีการผลักดันให้ NT เปิดให้เอกชนรายใหญ่เช่าคลื่นความถี่ฯ ขณะที่ NT ไม่มีบทบาทในการประมูลครั้งนี้ และมีเอกชนร่วมแข่งขันเพียง 2 ราย คือ TRUE และ AIS ยิ่งตอกย้ำถึงการขาดทางเลือกของผู้บริโภคและยังเปิดช่องให้เกิดการผูกขาด ขณะเดียวกัน ไม่มีกำหนดหลักประกันใดๆ ในการควบคุมราคาหรือคุณภาพบริการ ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคต้องเผชิญกับค่าบริการที่สูงและคุณภาพไม่สม่ำเสมอ
น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการนโยบายสภาองค์กรของผู้บริโภค และอดีตกรรมการ กสทช. กล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการจัดตั้ง กสทช. มีเป้าหมายเพื่อดึงคลื่นความถี่จากภาครัฐมาเข้าสู่ระบบใบอนุญาตแทนระบบสัมปทาน และเปิดให้เกิดการแข่งขันเสรีอย่างโปร่งใส แต่ในความเป็นจริง กลับเกิดการกระจุกตัวของตลาดอย่างรวดเร็ว จากที่เคยมีผู้เล่นหลากหลายหลังการประมูล 3G กลับเหลือเพียง 2 รายหลัก ที่ครอบครองคลื่นความถี่หลักของประเทศ
“การที่คลื่นความถี่สำคัญอยู่ในมือของเอกชนเพียง 2 ราย ย่อมส่งให้เกิดอำนาจเหนือตลาด โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลการทำธุรกรรม และการเรียนรู้พึ่งพาระบบสื่อสารอย่างเข้มข้น ย่อมส่งผลให้กระทบกับความมั่นคงของชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้” สุภิญญา กล่าว
ด้าน นายเชิดชัย กัลยาวุฒิพงษ์ ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ กล่าวว่า ในการเปิดประมูลคลื่นฯในวันที่ 29 มิ.ย.นี้ มีการหากปล่อยให้ NT หลุดออกจากตลาดแล้ว จะส่งผลให้โครงสร้างผู้ให้บริการโทรคมนาคมเหลือเพียง 2 รายหลัก จะถือเป็นเกิดภาวะผูกขาดโดยสมบูรณ์แล้ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งประชาชนในฐานะผู้ใช้บริการและระบบเศรษฐกิจโดยรวม ในขณะที่ปัจจุบัน NT ขาดทั้งโครงข่ายหลักและการสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร
“แม้ NT จะมีคลื่นความถี่ในครอบครอง แต่ขาดโครงข่ายหลักและการสนับสนุนจากฝ่ายบริหาร ทำให้ไม่สามารถแข่งขันด้านคุณภาพและราคากับผู้ให้บริการรายใหญ่ได้ โดยเฉพาะในตลาดอินเทอร์เน็ตบ้านและบริการเคลื่อนที่ ซึ่งสถานการณ์ในปัจจุบัน สะท้อนว่าความอยู่รอดของ NT อยู่ในภาวะวิกฤต หากเกิดการซื้อกิจการลูกค้าจากเอกชนจนหมด จะทำให้ NT พ้นสถานะผู้ให้บริการโดยสมบูรณ์ และประชาชนจะไม่มีทางเลือกอื่นในตลาดอีกต่อไป” นายเชิดชัย กล่าว
นายเชิดชัย ยังระบุว่า “ในการจัดสรรคลื่นฯนั้น ควรคำนึงถึงความหลากหลายในตลาด และป้องกันไม่ให้กลไกตลาดถูกผูกขาดโดยเอกชน โดยอยากเรียกร้องให้ กสทช. กำกับดูแลด้วยความเป็นธรรม สร้างโครงสร้างราคาที่ตรวจสอบได้ และกันคลื่นย่านกลางไว้ใช้เพื่อสาธารณะ ไม่ใช่ส่งมอบทรัพยากรของชาติเข้าสู่มือกลุ่มทุนเพียงไม่กี่ราย”
ขณะที่ น.ส.ณีรนุช จิตต์สม รองเลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) กล่าวว่า การแปรรูปรัฐวิสาหกิจในระยะหลังมีความแยบยลมากขึ้น ผ่านการลดบทบาทและบิดเบือนภารกิจหลักของรัฐ ซึ่งการปล่อยให้ NT ค่อยๆ หายไปจากตลาดโทรคมนาคมเท่ากับการล้มระบบตัวเลือกของประชาชน ดังนั้น รัฐต้องจริงใจในการรักษาบทบาทรัฐวิสาหกิจ และควรทำให้ NT ปลอดจากการครอบงำทางการเมือง
“การขาดทุนที่เกิดจากการให้บริการสาธารณะ คือ ผลประโยชน์สูงสุดของประชาชน และควรทำให้ NT ปลอดจากการครอบงำทางการเมือง เพื่อให้สามารถทำหน้าที่เชิงนโยบายได้อย่างแท้จริง” น.ส.ณีรนุชกล่าว
นายสุพจน์ เธียรวุฒิ อนุกรรมการด้านการอนุญาตและกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคม กสทช. อดีตผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล กล่าวว่า จากภาพรวมโครงสร้างการถือครองคลื่นความถี่ในปัจจุบัน พบว่าการแข่งขันในตลาดแทบจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป โดยเฉพาะเมื่อผู้ให้บริการรายใหม่ถูกกันออกจากระบบด้วยเงื่อนไขที่สูงเกินจริง เช่น การกำหนดให้ครอบคลุมทุกตำบลถึง 50% ภายใน 2 ปี ทำให้เกิดสภาพตลาดโทรคมนาคมที่เอื้อต่อผู้เล่นรายเดิมเป็นหลัก
ทั้งนี้ จากข้อมูลการถือครองคลื่นพบว่า AIS และ TRUE ถือครองคลื่นย่านความถี่ต่ำ (700-900 เมกะเฮิรตซ์), คลื่นย่านความถี่กลาง (1800-2600 เมกะเฮิรตซ์) และคลื่นย่านความถี่สูง (26 กิกกะเฮิร์ทซ) อย่างสมบูรณ์ ส่วน NT แม้ว่าจะมีคลื่นในย่าน 2100 และ 2300 เมกะเฮิรตซ์ บางส่วน แต่ยังขาดแคลนโครงข่ายและทุนสนับสนุนในการแข่งขัน จึงต้องปรับบทบาท NT เป็นผู้ให้บริการพื้นฐานของรัฐ เพื่อคานอำนาจเอกชนและรับผิดชอบโครงสร้างความมั่นคงดิจิทัล
นายสุพจน์ ตั้งข้อสังเกตว่า การกำหนดราคาคลื่นความถี่ฯของ กสทช.ในครั้งนี้ หลายช่วงความถี่ไม่สอดคล้องกับข้อมูลต้นทุนหรือความเป็นจริงของตลาด ที่สำคัญความล้มเหลวของการเปิดให้บริหารเทคโนโลยี 5G ที่ยังไม่สามารถสร้างความแตกต่างชัดเจนจากเทคโนโลยี 4G ในชีวิตประจำวันได้ สะท้อนให้เห็นว่า การประมูลที่ไม่มีการแข่งขันนั้น จะไม่สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นได้จริง
นายสุพจน์ เสนอว่า กสทช.ควรจัดสรรคลื่นบางส่วนเพื่อสาธารณะ ทั้งที่เป็นลักษณะเครือข่ายส่วนตัว (Non-public Network) หรือเครือข่ายเฉพาะที่ (Local Network) โดยไม่ต้องประมูล เช่นเดียวกับญี่ปุ่นและยุโรป ซึ่งกันคลื่นบางส่วนไว้ให้หน่วยงานรัฐ โรงงาน และชุมชน โดยไม่ต้องพึ่งผู้ให้บริการเอกชนทั้งหมด นอกจากนี้ กสทช.ต้องเพิ่มบทบาทการกำกับดูแลผู้ให้บริการอย่างเข้มข้น ทั้งในด้านราคา คุณภาพ และการตรวจสอบระบบ IT ของผู้ให้บริการ
นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม กล่าวว่า โครงสร้างการประมูลคลื่นความถี่ในประเทศไทยในปัจจุบันถูกครอบงำโดยกลุ่มทุนขนาดใหญ่ ผ่านโมเดล “สามเหลี่ยมอุปถัมภ์” ซึ่งมีภาคราชการอยู่ฐานล่าง พรรคการเมืองเป็นแกนกลาง และกลุ่มทุนอยู่จุดสูงสุด โดยไม่มีภาคประชาชนเป็นส่วนหนึ่งของระบบ สะท้อนภาพของการจัดสรรทรัพยากรสาธารณะเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มอำนาจมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม
“การจัดสรรคลื่นควรเปลี่ยนแนวทางไปสู่ระบบที่ยึดธรรมาภิบาลและสังคมเป็นตัวตั้ง เช่น บิวตี้ คอนเทสต์ (Class Contest) ที่เน้นศักยภาพในการให้บริการและประโยชน์ต่อประชาชน มากกว่าการแข่งขันด้วยราคาเพียงอย่างเดียว” นายแทนคุณ กล่าว
ที่มา สำนักข่าวอิศรา ( isranews.org )