
“ฉันไม่กล้ากลับบ้าน” ชาวกัมพูชาพลัดถิ่นตัดพ้อ อ้างไทยปักปันเขตแดนใหม่ผ่ากลางหมู่บ้าน

ที่มาของภาพ : BBC/Jonathan Head
Article Data
-
- Creator, โจนาธาน เฮด
- Purpose, ผู้สื่อข่าวประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ม้วนขดลวดหนามถูกนำมาขึงกั้นเป็นแนวพรมแดน ผ่ากลางหมู่บ้าน “โจกเจ” (Chouk Chey) ของกัมพูชา โดยขึงเป็นแนวยาวเข้าไปไร่อ้อยของชาวบ้านเป็นบริเวณกว้างด้วย ด้านหลังแนวขดลวดฝั่งหนึ่ง มีการติดตั้งฉากกั้นสีดำขนาดใหญ่ดูสูงตระหง่าน ซึ่งก็คือที่กำบังของทหารไทยผู้ขึงกั้นรั้วลวดหนามเอาไว้นั่นเอง
รั้วลวดหนามนี้คือแนวพรมแดนใหม่ ที่ดูชัดเจนเป็นรูปธรรมอย่างยิ่งของไทยและกัมพูชา แม้ก่อนหน้านี้บริเวณดังกล่าวจะเป็นพื้นที่เปิด ซึ่งผู้คนจากทั้งสองประเทศสามารถข้ามแดนไปมาหาสู่กันได้อย่างอิสระก็ตาม
เหตูสู้รบที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 ส.ค. เวลา 15.20 น. ตามเวลาท้องถิ่น ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งไปทั้งหมด “ทหารไทยเข้ามาบอกเราว่าให้ย้ายออกไป” ฮูย มาลี หญิงชาวกัมพูชากล่าว “แล้วพวกเขาก็เริ่มขึงรั้วลวดหนาม ฉันเลยถามว่าขอกลับไปเอาหม้อหุงต้มที่บ้านก่อนได้ไหม ทหารไทยให้เวลาฉันแค่ 20 นาที”
ครอบครัวของเธอเป็นหนึ่งใน 13 ครัวเรือน ที่แนวเขตแดนใหม่ได้ตัดเอาบ้านและพื้นที่ทำกินไปอยู่ฝั่งไทย แม้พวกเขาจะเคยใช้ชีวิตและทำมาหากินอยู่ที่นี่มานานหลายสิบปีแล้วก็ตาม
ตอนนี้ทางการไทยขึ้นป้ายเตือนชาวกัมพูชา ไม่ให้ข้ามหรือล่วงล้ำแนวเขตแดนใหม่ จนเข้ามาในดินแดนของไทยอย่างผิดกฎหมาย แต่ชาวบ้านโจกเจกลับเห็นแย้งว่า แนวพรมแดนควรจะเป็นเส้นตรง ที่อยู่ระหว่างหลักหินกำหนดเขตแดนสองหลัก ซึ่งทั้งสองประเทศเคยเห็นพ้องตามข้อตกลงที่ทำกันไว้เมื่อกว่าร้อยปีก่อน
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed readingได้รับความนิยมสูงสุด
End of ได้รับความนิยมสูงสุด
ทางการไทยบอกว่าการปักปันเขตแดนใหม่ดังข้างต้น เป็นเพียงการรักษาสิทธิอันชอบธรรมเหนือดินแดนของตนเอง หลังเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้าน แม้ฝ่ายกัมพูชาจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว
สถานการณ์ตึงเครียดในบางส่วนของแนวพรมแดนที่ดำเนินมานานหลายเดือน ได้ปะทุรุนแรงจนกลายเป็นการทำสงครามอย่างเปิดเผยในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตราว 40 คน และแม้หลังจากนั้นจะมีการทำข้อตกลงหยุดยิv แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าใดนัก เพราะบรรดานักชาตินิยมในสื่อสังคมออนไลน์ ต่างทำสงครามน้ำลายและเร่งสุมเพลิงใส่ไฟ จนทั้งสองฝ่ายไม่ไว้วางใจกัน และยังคงเตรียมพร้อมที่จะรบอยู่ทุกเมื่อ
ทีมข่าวบีบีซีได้ไปเยือนพื้นที่ชายแดนฝั่งกัมพูชา และได้พบปะพูดคุยกับชาวบ้านที่ติดอยู่ในสถานการณ์อันยากลำบาก รวมทั้งได้สำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น จากการระดมยิvและทิ้งsะเบิดใส่กันเป็นเวลา 5 วันด้วย

ที่มาของภาพ : BBC/Lulu Luo
โอม เรียเตรย ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งเดินทางมาตรวจเยี่ยมหมู่บ้านโจกเจ โอดครวญว่าการกระทำของไทยส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจของชุมชนแห่งนี้อย่างมาก เขาประมาณการว่ากัมพูชาสูญเสียรายได้จากค่าธรรมเนียมข้ามแดน ถึงหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวัน หลังจากแนวพรมแดนระหว่างสองประเทศถูกปิดกั้น
แม้จะยังไม่มีตัวเลขประมาณการที่ชัดเจน ว่าความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา สร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่าเท่าใดกันแน่ แต่เชื่อได้ว่าจะต้องเป็นตัวเลขที่สูงลิ่วอย่างแน่นอน เพราะการค้าระหว่างประเทศที่เคยมีมูลค่าถึงหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ต้องสะดุดหยุดชะงักลง ส่วนแรงงานกัมพูชาในไทยหลายแสนคนก็ต้องเก็บข้าวของกลับบ้าน นักท่องเที่ยวไทยล้มเลิกแผนการไปเยือนกัมพูชา จนอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ที่สนามบินเมืองเสียมเรียบ ซึ่งจีนเป็นผู้ลงทุนสร้างให้นั้น เงียบเหงาร้างผู้คนไปถนัดตา แม้สนามบินแห่งนี้จะเป็นประตูสู่สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ อย่างหมู่ปราสาทนครวัดอันมีชื่อเสียงก็ตาม
ผู้สื่อข่าวบีบีซีได้เห็นคลิปวิดีโอจำนวนหนึ่ง ซึ่งบันทึกเหตุการณ์ที่ชาวบ้านตรงเข้ารื้อทำลายรั้วลวดหนาม โดยทำต่อหน้าทหารไทยด้วยความโกรธเกรี้ยว แม้ผู้ว่าราชการจังหวัดบันเตียเมียนเจยจะบอกว่า รัฐบาลสั่งให้พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าก็ตาม ความไม่พอใจของชาวเขมรที่ยังคงคุกรุ่น ทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างกองกำลังสองฝ่ายอีกครั้ง เมื่อวันที่ 4 ก.ย. ที่ผ่านมา

ที่มาของภาพ : BBC/Lulu Luo
ในทางตอนเหนือของกัมพูชา มีความเสียหายจากสงครามที่ปรากฏชัดเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่บนหน้าผากลางป่าติดกับชายแดน โบราณสถานแห่งนี้ถือเป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งแต่ละประเทศก็มีเรื่องเล่าขานถึงความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ของมัน ในแบบฉบับที่เป็นของตัวเอง
บรรดานักชาตินิยมชาวไทย ยังคงไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือไอซีเจ (ICJ) เมื่อปี 1962 ที่กำหนดให้เขาพระวิหารอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา เนื่องจากรัฐบาลไทยในยุคนั้น ไม่อาจโต้แย้งแผนที่เก่าฉบับที่ฝรั่งเศสทำขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม ไอซีเจไม่ได้มีคำตัดสินในเรื่องของพื้นที่พิพาทอีกแห่งหนึ่ง จนทำให้กรณีเขาพระวิหารยังคงหลงเหลือเมล็ดพันธุ์แห่งความขัดแย้ง ซึ่งกลายมาเป็นการสู้รบในยุคปัจจุบัน
ทางขึ้นเขาพระวิหารที่มีอายุเก่าแก่กว่าหนึ่งพันปี สามารถขับรถขึ้นไปได้ง่ายกว่าจากฝั่งไทย แต่ทีมข่าวบีบีซีต้องใช้รถขับเคลื่อนสี่ล้อ ไต่วิบากขึ้นเขาพระวิหารจากฝั่งกัมพูชาที่สูงชันกว่ามาก
เห็นได้ชัดว่าปราสาทเขาพระวิหารได้รับความเสียหายอย่างหนัก จากการยิvกระสุนปืนใหญ่ใส่กัน เมื่อช่วงปลายเดือนก.ค. ที่ผ่านมา บันไดหินโบราณสองแห่งแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ตัวปราสาทส่วนอื่น ๆ ก็แตกหักเสียหายด้วยsะเบิด กำแพงมีแต่รอยสะเก็ดsะเบิดกระจายทั่ว ทั้งยังมีหลุมขนาดใหญ่บนพื้นหลายสิบจุด ที่ตอนนี้กลายเป็นแอ่งน้ำขังหลังฝนตกลงมา
ฝ่ายกัมพูชาระบุว่า พบจุดที่เสียหายจากsะเบิดทั้งด้านในและโดยรอบปราสาทเขาพระวิหารถึง 140 จุด โดยอ้างว่าเกิดจากการระดมยิvของทหารไทย เมื่อวันที่ 24-25 ก.ค. ที่ผ่านมา

ที่มาของภาพ : BBC/Jonathan Head
เจ้าหน้าที่จากศูนย์เก็บกู้กับsะเบิดแห่งกัมพูชา (CMAC) ได้ชี้ให้เห็นว่ามีsะเบิดพวงหรือsะเบิดลูกปราย (cluster munitions) ที่ยังไม่sะเบิดตกอยู่ด้วย ซึ่งที่ผ่านมากองทัพไทยยอมรับว่ายังใช้sะเบิดชนิดนี้อยู่ แม้หลายประเทศทั่วโลกจะสั่งห้ามการใช้อาวุธร้ายแรงนี้แล้วก็ตาม
แต่ถึงกระนั้น กองทัพไทยปฏิเสธว่าไม่ได้ยิvโจมตีใส่ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) และยังกล่าวหากัมพูชาว่า จงใจวางกำลังทหารและจัดเก็บอาวุธภายในปราสาทเขาพระวิหาร ในระหว่างช่วงที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน
ทีมข่าวบีบีซีไม่พบหลักฐานที่ยืนยันข้อกล่าวหาของไทยดังข้างต้น แต่สภาพของถนนขึ้นเขาฝั่งกัมพูชาที่สูงชันอย่างยิ่ง ทำให้ยากที่จะจินตนาการได้ว่า ทหารกัมพูชานำปืนใหญ่ขึ้นไปยังบริเวณตัวปราสาทได้อย่างไร
ปัจจุบันทั้งสองประเทศต่างก็พยายามใช้ข้อกล่าวหาในลักษณะนี้ เพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากประชาคมนานาชาติ กัมพูชาร้องเรียนต่อยูเนสโก เกี่ยวกับความเสียหายของปราสาทเขาพระวิหาร รวมทั้งป่าวประกาศว่าทหาร 18 นายของตน ถูกฝ่ายไทยจับกุมเป็นตัวประกัน หลังข้อตกลงหยุดยิvมีผลบังคับใช้
ส่วนทางการไทยก็เผยหลักฐานที่พิสูจน์ว่า ทหารกัมพูชายังคงวางกับsะเบิดตามแนวพรมแดนอยู่ แม้ข้อตกลงหยุดยิvจะมีผลบังคับใช้แล้ว จนทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บกันไปหลายราย ซึ่งการกระทำเช่นนี้แสดงถึงความไม่ซื่อตรง และไม่ยึดมั่นต่อคำสัญญาที่ให้ไว้ในข้อตกลงหยุดยิvก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ชาวกัมพูชาที่ทีมข่าวบีบีซีได้พูดคุยด้วยทั้งหมด ต่างกล่าวเน้นย้ำและแสดงความกระตือรือร้นที่จะยุติความขัดแย้ง รวมทั้งอยากจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับไทยโดยเร็วที่สุด แต่ถึงกระนั้น เบื้องหลังของท่าทีดังกล่าวยังคงมีความวิตกกังวล ที่ชาวกัมพูชารู้สึกมาโดยตลอดในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ทวิภาคีกับไทย นั่นคือการที่กัมพูชาเป็นเพียงประเทศเล็ก ๆ ที่ถูกขนาบข้างด้วยประเทศใหญ่ซึ่งมีอำนาจเหนือกว่า
การปิดแนวพรมแดนส่งผลกระทบต่อประชาชนของทั้งสองประเทศ แต่ดูเหมือนว่าชาวกัมพูชาที่ยากจนกว่าชาวไทย อาจต้องเผชิญความทุกข์ยากลำบากมากกว่า “เราเอามดไปสู้กับช้างไม่ได้ ต้องยอมรับว่าเราเป็นประเทศเล็ก ที่ไม่ได้ใหญ่โตเหมือนกับช้าง ดังนั้นประเทศเล็กจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อปัญหาได้อย่างไร ?” ซัว ยารา โฆษกพรรคประชาชนกัมพูชา ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลในปัจจุบันกล่าว

ที่มาของภาพ : BBC/Lulu Luo
ทว่าฝ่ายไทยกลับกล่าวหาว่า มดตัวเล็กอย่างกัมพูชาคือฝ่ายที่เริ่มยั่วยุให้เกิดความขัดแย้ง งานวิจัยของสถาบันนโยบายเชิงยุทธศาสตร์แห่งออสเตรเลีย (ASPI) ชี้ว่ากัมพูชามีแบบแผนการเสริมกำลังทหารตามแนวชายแดน ที่ดำเนินมาเรื่อย ๆ ในรูปแบบหนึ่ง ตลอดช่วงหลายเดือนก่อนการปะทะอย่างเต็มขั้นกับไทยในเดือนก.ค.
เมื่อเดือน มิ.ย. ของปีนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีฮุน เซ็น ของกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันยังคงเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดของประเทศ ได้เผยเทปลับที่บันทึกเสียงการสนทนากับแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยในขณะนั้น ซึ่งดูเหมือนว่าเธอจะเสนอข้อแลกเปลี่ยนบางอย่างให้กับเขา ทั้งยังได้กล่าวตำหนิกองทัพของตนเองด้วย
เรื่องน่าอับอายที่หยามเกียรติทหารไทยดังกล่าว ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย ยุติการปฏิบัติหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีหญิง และให้พ้นจากตำแหน่งในเวลาต่อมา ฝ่ายไทยยังบอกว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้นำชาติสมาชิกอาเซียน (ASEAN) เข้าแทรกแซงกิจการภายในของประเทศเพื่อนบ้าน จนเกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองขึ้น
เหตุการณ์ดังกล่าวเท่ากับสุมเพลิงใส่ไฟ ให้ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา ยิ่งร้อนแรงดุเดือดขึ้น และทำให้รัฐบาลไทยยากที่จะมีท่าทีประนีประนอมยอมความกับเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของเขตแดน
เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ว่า เหตุใดนักการเมืองที่เปี่ยมประสบการณ์และมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอย่างฮุน เซน จึงเลือกทำลายมิตรภาพที่มีมายาวนานกับเพื่อนเก่าอย่างครอบครัวชินวัตร ซ้ำยังยกระดับความขัดแย้งตามแนวชายแดนให้ทวีความตึงเครียดขึ้น รัฐบาลกัมพูชายังพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ตอบคำถามเรื่องการเผยเทปเสียงลับ ว่ารั่วไหลออกมาได้อย่างไรด้วย
“ปัญหาเทปลับรั่วไหลถือเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเวทีการเมืองระดับชาติที่กรุงเทพฯ ซึ่งมีกลุ่มและพรรคต่าง ๆ มากมาย ที่แก่งแย่งแข่งกันขึ้นครองอำนาจในรัฐบาลชุดนี้” โฆษกพรรคประชาชนกัมพูชากล่าว เขายังแสดงความเห็นเป็นเชิงวิจารณ์กองทัพไทยว่า ฉวยโอกาสใช้ความขัดแย้งในประเด็นนี้ เพิ่มพูนอำนาจและอิทธิพลทางการเมืองให้กับตนเอง
โฆษกพรรคประชาชนกัมพูชา ยังเน้นย้ำถึงข้อเรียกร้องหลักของประเทศตนที่มีมายาวนาน โดยต้องการให้ไทยยอมรับแผนที่แนวเขตแดนของฝรั่งเศส ซึ่งยังตกเป็นกรณีพิพาทกันอยู่ รวมทั้งเรียกร้องให้ไทยยอมรับคำตัดสินของไอซีเจ กรณีปราสาทเขาพระวิหารด้วย

ในขณะที่บรรดานักการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐยังคงโต้เถียงกันอยู่ ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาที่ต้องพลัดถิ่นเพราะการสู้รบจำนวนมาก ยังคงไม่ได้กลับบ้าน และต้องทนอยู่อย่างลำบากแร้นแค้นในค่ายพักชั่วคราวต่อไปอย่างไม่มีกำหนด
ชาวกัมพูชาราวห้าพันครอบครัว ต้องอยู่อาศัยในเต็นท์ผ้าใบที่สร้างขึ้นอย่างง่าย ๆ ที่หลับที่นอนของพวกเขาล้อมรอบด้วยดินโคลน โดยสภาพความเป็นอยู่แทบจะผิดหลักสุขอนามัยอย่างสิ้นเชิง ส่วนครัวกลางของค่ายก็กำลังแจกจ่ายต้มจืดมันฝรั่ง ซึ่งเป็นอาหารมื้อเย็นของผู้ลี้ภัย
แต่ในฝั่งของไทยนั้น สภาพความเป็นอยู่ในศูนย์พักพิงชั่วคราวดีกว่ามาก ชาวบ้านที่อพยพหนีภัยการสู้รบ ได้กลับบ้านทันทีหลังมีการหยุดยิvเพียงไม่กี่วัน
หญิงผู้หนึ่งในค่ายผู้ลี้ภัยของกัมพูชาบอกว่า “เจ้าหน้าที่บอกพวกเราว่า สถานการณ์ยังไม่สงบดี และเนื่องจากบ้านฉันอยู่ใกล้กับชายแดนมาก ฉันจึงไม่กล้ากลับไป”
แม้จะเป็นความจริงว่า ยังมีวัตถุsะเบิดจำนวนมากที่ยังไม่sะเบิดหลงเหลืออยู่ หลังถูกยิvถล่มนานถึงห้าวัน แต่กระแสการปล่อยข่าวเท็จโดยปราศจากหลักฐาน ที่ขู่ว่ากองทัพไทยใกล้จะลงมือโจมตีอีกครั้ง และจะมีการใช้แก๊สพิษกับชาวบ้านด้วยนั้น ได้ทำให้เกิดกระแสความหวาดกลัว จนผู้คนไม่กล้ากลับบ้านไปง่าย ๆ
ป้ายขนาดใหญ่ที่ติดบนรถบรรทุก ซึ่งวิ่งขนส่งไปมาภายในค่ายผู้ลี้ภัย มีข้อความว่า “กัมพูชาต้องการสันติภาพ-จบ”
แต่สันติภาพจะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อผู้นำทางทหารและพลเรือนของทั้งสองประเทศ ต้องลดความร้อนแรงของวาทกรรมชาตินิยมที่แข็งกร้าว และคำพูดที่ไม่ยอมลดราวาศอกลงบ้าง เพราะตอนนี้ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา กำลังขับเคลื่อนด้วยสงครามน้ำลายดังกล่าว
ที่มา BBC.co.uk