
ฉันกำลังติดนาฬิกาสมาร์ทวอทช์มากไปหรือเปล่า ?

ที่มาของภาพ : Kristian Johnson/BBC
- Author, รูธ เคล็กก์
- Role, ผู้สื่อข่าวสุขภาพ
ความรู้สึกคาดหวังก่อตัวขึ้น ฉันสัมผัสได้ถึงลมหายใจเย็น ๆ ของคู่แข่งในขณะที่พวกเขากำลัง “เตรียมตัววิ่ง” ที่จุดสตาร์ท
พวกเขายกสะโพกขึ้นเตรียมตัว
ฉันอยู่ที่งานแข่งขันวิ่งในชุมชน ระยะทาง 5 กม. ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเช้าของวันเสาร์ และฉันจริงจังกับมัน และสัญญาณกำลังนับถอยหลัง สาม สอง หนึ่ง…
แต่เดี๋ยวก่อน ฉันต้องกดนาฬิกายี่ห้อการ์มิน เช่นเดียวกับผู้ชายคนหนึ่งที่เตรียมออกตัวอยู่ข้างกัน
คนที่อยู่ข้างหลังเราทำเสียงจิ๊ปาก ฉันไม่ยอมออกตัวสักที จนกระทั่ง… ใช่! จีพีเอสของฉันพร้อมแล้ว ฉันจึงออกตัว
ในระยะใกล้ ๆ ฉันแทบไม่เห็นใครที่ไม่ได้สวมนาฬิกาอัจฉริยะหรือสมาร์ทวอทช์ และไม่ใช่แค่พวกเราเหล่านักวิ่งเท่านั้นที่ใช้มัน
มันเป็นอุตสาหกรรมมูลค่าหลายพันล้านปอนด์ที่กำลังเฟื่องฟู โดยชื่อผลิตภัณฑ์ที่คุ้นหูเช่น แอปเปิลวอทช์, ซัมซุงกาแลคซี, การ์มิน, หัวเว่ยวอทช์ และฟิตบิทของกูเกิล ต่างมีนาฬิกาหลากหลายรุ่นให้เลือกสรร เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ
ส่วนราคาก็มีหลากหลายไปตั้งแต่ระดับ 100 ปอนด์ (ราว 4,200 บาท) ไปจนถึงหลักหลายพันปอนด์ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเลือกรุ่นที่มีเทคโนโลยีขั้นสูงแค่ไหน
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุดได้รับความนิยมสูงสุด
“มันทำให้ฉันคลั่งไคล้ ฉันปิดมันไม่ได้”
“มันทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ… เป็นเหมือนเพื่อนที่คอยสนับสนุนกัน”
“หยุดบอกฉันว่าเมื่อคืนนอนไม่ดีได้แล้ว”
นี่คือความเห็นบางส่วนจากการที่ฉันถามเพื่อนที่สวมใส่นาฬิกาสมาร์ทวอทช์ว่าพวกเขาคิดอย่างไรกับนาฬิกาของตัวเอง

ที่มาของภาพ : Kristian Johnson/BBC
ส่วนความเห็นของฉันต่อนาฬิกาของตัวเองน่ะหรือ ? ตอนนี้ฉันคิดว่ามันน่ารำคาญ มันชอบบอกว่าฉันวิ่งไม่ได้ตามความเร็วที่มันกำหนด ซึ่งทำให้ฉันสงสัยว่าร่มไม้ที่เพิ่งวิ่งผ่านไปนั้น รบกวนการเชื่อมต่อสัญญาณจีพีเอสในนาฬิกาของฉันหรือไม่
พวกเราหลายล้านคนสวมเจ้าจอมอนิเตอร์ขนาดจิ๋วนี้ไว้บนข้อมือและใส่มันอยู่อย่างนั้นตลอดทั้งวัน พวกเขาดูจะสบายใจที่มีพวกมันคอยติดตามชีวิตอยู่ตลอดเวลา
หมดยุคของการที่เราใช้มันเพียงเพื่อนับจำนวนก้าวเดินแล้ว ตอนนี้พวกมันสามารถวัดรูปแบบการนอน ความดันโลหิต อัตราการเต้นของหัวใจ ค่าความแปรปรวนของอัตราการเต้นหัวใจ (HRV) ค่าออกซิเจน ระดับน้ำตาลในเลืoด รวมถึงค่าวีโอทูแม็กซ์ (VO2 max – ค่าที่วัดอัตราการใช้ออกซิเจนสูงสุดของร่างกายขณะออกกำลังกาย) ของพวกเราได้ด้วย
มันเป็นเรื่องยากที่จะค้นหาการทำงานของร่างกายที่ไม่ถูกนาฬิกาเหล่านี้ติดตาม
แต่พวกมันทำได้อย่างที่มันบอกเราหรือไม่ และสถิติต่าง ๆ ที่เราวิเคราะห์ออกมานั้นมันสะท้อนความเป็นจริงหรือเปล่า
มันช่วยพัฒนาสุขภาวะทางกายและใจเราได้จริงไหม หรือค่าการประเมินต่าง ๆ และข้อความกระตุ้นแรงบันดาลใจมากมายมีเพียงเพื่อเพิ่มความเครียดประจำวันให้กับเราเท่านั้น ?

“ฉันค่อนข้างหลงมันทีเดียวเชียวแหละ” ราเชล แฟร์คลัฟ จากย่านเซนต์เฮเลนในเขตเทศมณฑลเมอร์ซีย์ไซด์ บอกกับฉัน
แม้ว่าเธอจะชอบวิธีการที่นาฬิกาแอปเปิ้ลวอทช์ติดตามการวิ่งของเธอ แต่เธอก็มองว่าฟังก์ชันอื่น ๆ ของนาฬิกา “ล้นเกิน” ไปบ้างในบางครั้ง ซึ่งเธอเริ่มรู้สึกในตอนที่เธอตั้งครรภ์
ก่อนที่เธอจะรู้ว่าเธอสามารถตั้งค่านาฬิกาให้เป็นโหมดสำหรับคนตั้งครรภ์ได้ นาฬิกาสมาร์ทวอทช์ของเรเชลเอาแต่บอกเธอว่าเธอใช้ชีวิตอย่างไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ และตอนนี้ที่เธอคลอดลูกออกมาแล้ว นาฬิกาก็เอาแต่บอกเธอว่าเธอมีการนอนหลับที่ย่ำแย่
“ฉันมีลูกอายุหกเดือนนะ ฉันไม่ต้องให้ใครมาบอกว่าฉันไม่ได้นอนหรอก” ราเชลกล่าว “ฉันรู้มันดีเลยล่ะ”
เธอแค่ถอดมันไม่ได้หรือ?
“ฉันถอดได้แหละ ฉันคิดว่านะ แต่ฉันมีความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียดกับมัน” เธอกล่าว “ฉันชอบที่มันให้ข้อมูลเชิงลึกด้านการออกกำลังกาย แต่ฉันแค่สงสัยว่าสิ่งอื่น ๆ ที่มันสามารถทำได้ด้วยบางทีอาจจะมากเกินไปสำหรับฉัน”
แต่ละรุ่นของนาฬิกาสมาร์ทวอทช์มีวิธีการของตัวเองในการติดตามค่าต่าง ๆ ของร่างกายและการตีความค่านั้น ๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกมันจะใช้เซนเซอร์ที่ด้านหลังของนาฬิกาในการตรวจวัด
พวกมันมักจะส่องไฟสีเขียวกระพริบบนข้อมือของคุณ ซึ่งสามารถติดตามการไหลเวียนของเลืoด จับอัตราชีพจร บางรุ่นที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่ายังสามารถจับการเปลี่ยนแปลงของกระแสไฟฟ้าที่วิ่งผ่านผิวหนังของคุณเพื่อวัดอัตราความเครียดของคุณได้ด้วย
นีลส์ พีค ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ข้อมูลแห่งมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ บอกว่าโดยทั่วไปแล้วนาฬิกาสมาร์ทวอทช์เป็น “ความสมดุลที่ละเอียดอ่อน” เนื่องจากแม้ว่าเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาอยู่ตลอดเวลานี้สามารถช่วยชีวิตคนได้จริง และ “ตรวจหาโรคก่อนที่เราจะแสดงอาการ” แต่มันก็ทำให้ผู้ที่สวมใส่กลายเป็น “คนที่กังวลเกินเหตุ” ได้ด้วย
เขาระบุว่านาฬิการุ่นใหม่ ๆ บางอัน สามารถทดสอบค่าต่าง ๆ เช่น คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECGs) ซึ่งเป็นการติดตามต่อเนื่องได้ว่าหัวใจมีสุขภาพดีแค่ไหน รวมถึงสามารถแจ้งเตือนได้เมื่อพบคนที่มีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (AF – atrial fibrilliation) ซึ่งคือการเกิดกิจกรรมทางไฟฟ้าที่ผิดปกติในหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ
ความสามารถนี้ไม่ได้บ่งบอกว่าคน ๆ นั้นกำลังจะมีภาวะหัวใจวาย แต่มันสามารถแจ้งเตือนได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ว่าพวกเขาอาจจะมีความเสี่ยงมากกว่าในการเกิดโรคหลอดเลืoดสมอง (stroke), ลิ่มเลืoดอุดตัน หรือมีปัญหาหัวใจในอนาคต
ทว่าวิธีการตีความตัวเลขเหล่านี้มีความซับซ้อน ด้วยเหตนี้ ศ.พีค กังวลว่าในขณะที่นาฬิกาอัจฉริยะมีฟังก์ชันใหม่ ๆ เพิ่มเข้ามามากขึ้น แต่คนอาจไม่สามารถเข้าใจข้อมูลของตนเองได้อย่างถ่องแท้
“ผมยังไม่ปักใจเชื่อว่าการสามารถติดตามหลายสิ่งหลายอย่างได้มากขนาดนี้เป็นความคิดที่ดี” เขากล่าว
ด้าน ลินด์เซย์ รอสแมน นักจิตวิทยาคลินิกและศาสตราจารย์ด้านโรคหัวใจก็มีความเห็นสอดคล้องกัน เธอทำการวิจัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่สวมใส่ได้มีผลกระทบต่อกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลืoดอย่างไร
แม้ว่ากลุ่มผู้ป่วยที่เธอศึกษาจะมีจำนวนไม่มาก เป็นกลุ่มตัวอย่างที่เฉพาะเจาะจง และไม่ใช่ประชากรโดยทั่วไป แต่การศึกษาของเธอบ่งชี้ว่าในบรรดาคนเหล่านั้นที่สวมใส่เครื่องมือติดตามสุขภาพของหัวใจ เผชิญกับความวิตกกังวลและ “มีแนวโน้มที่จะใช้ทรัพยากรด้านการดูแลสุขภาพมากกว่า”
เธอพบรูปแบบบางอย่างในบรรดาคนไข้ของเธอ นั่นคือเมื่อพวกเขาเห็นตัวเลขที่น่ากังวลบนนาฬิกา ก็จะเริ่มเกิดความกังวลตามมา จากนั้นอัตราการเต้นหัวใจของพวกเขาจะเริ่มพุ่งสูงขึ้น และพวกเขาก็ยิ่งกังวลขึ้นไปอีก และพอกลับมาดูนาฬิกาอีกครั้ง อัตราการเต้นหัวใจก็พุ่งขึ้นเพิ่มอีกแล้ว
“หากเราเห็นสถิติบางอย่างเกี่ยวกับตัวเองซึ่งเราไม่ได้เข้าใจมันจริง ๆ แน่นอนแหละ เราต้องอยากจะรู้เพิ่ม” ศ.รอสแมน กล่าว
“เราดูมันทีนึง แล้วก็ดูมันอีกที มันกลายเป็นวงจรตอบสนองต่อสิ่งที่เราคิดเองเออเองไปแล้ว”

ที่มาของภาพ : Impress Morton
สำหรับบางคน พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเทคโนโลยีนี้มากกว่า
“มันไม่ทำให้ผมเป็นนักกีฬาโอลิมปิกหรืออะไรเทือกนั้นหรอก” มาร์ก มอร์ตัน สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจากมณฑลเชชเชอร์ กล่าวถึงเครื่องมือชื่อ “วูป (Whoop)” ซึ่งเป็นสายรัดบริเวณต้นแขนของเขา “แต่มันทำให้ผมคิดถึงสุขภาพของตัวเองจริง ๆ”
คุณพ่อวัย 43 ปีที่มีลูกสองคน ใช้เครื่องมือติดตามสุขภาพร่างกายซึ่งมันคอยสรุปข้อมูลการนอนหลับในแต่ละวันให้กับเขา
“มันเปลี่ยนทัศนคติของผมที่มีต่อการนอนไปโดยสิ้นเชิง” เขากล่าว “ผมเคยดื่มเบียร์ แค่ 1-2 กระป๋องก่อนนอนเพื่อผ่อนคลาย แต่แล้วผมก็เห็นว่ามันทำให้คุณภาพการนอนของผมเละเทะแค่ไหน”
ทุกวันนี้เขานอนสวมผ้าปิดตา ในห้องที่มีอากาศเย็น และพยายามไม่กินหรือดื่มเครื่องดื่มในช่วงหัวค่ำ ซึ่งทั้งหมดนั้นทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นเมื่อตื่นนอน และมันก็สะท้อนผ่านข้อมูลสุขภาพของเขา
กลับมาที่การแข่งวิ่งของฉัน คุณอาจจะโล่งใจที่ได้ยินว่าฉันทำความเร็วได้ตามที่นาฬิกากำหนดแล้ว แม้ว่าขาของฉันเริ่มจะปวด และฉันกำลังต้องผ่านเส้นทางที่ลาดชันเล็กน้อยช่วงหัวมุม
ฉันหันไปดูนาฬิกาอีกครั้ง
ฉันยังเหลืออีก 1 กม. ที่ต้องไปต่อ และมีบางคนพยายามจะเข้ามาคุยด้วย เขาถามฉันเกี่ยวกับความเร็วที่ฉันกำลังวิ่ง ฉันไม่มีเวลาหรอกนะเพื่อน ฉันเหลือบมองนาฬิกาโดยรู้สึกว่าน่าจะเป็นครั้งที่ 6,350 แล้วที่ฉันมองมัน แล้วค่าที่ฉันกำลังดูอยู่มันแม่นยำหรือเปล่านะ ?
“มันขึ้นอยู่กับว่า ‘แค่ไหน' คุณถึงจะใช้คำว่า ‘แม่นยำ'” ดร.เคลลี โบว์เดน-เดวีส์ อาจารย์อาวุโสแห่งภาควิชาวิทยาศาสตร์การกีฬาและการออกกำลังกาย มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์เมโทรโพลิแทน กล่าว

ที่มาของภาพ : Getty Pictures
“พวกมันไม่ได้บอกค่าที่มีคุณภาพระดับเดียวกับการตรวจวัดในห้องปฏิบัติการให้กับคุณหรอก พวกมันไม่ได้อ่านค่าความเร็วในการเคลื่อนที่ของคุณในช่วงเวลานั้นจริง ๆ” เธอกล่าว
ดร.เคลลีเตือนว่ามีตัวแปรต่าง ๆ ที่มากมายเกินไป อาทิ จีพีเอสอาจไม่ได้เชื่อถือได้เสมอไปในตอนจะเริ่มเคลื่อนที่ และจากนั้นหากนาฬิกาขยับเขยื้อนอยู่บนข้อมือของเรา มันอาจไม่สามารถจับข้อมูลทั้งหมดที่มันต้องการเพื่อจะประเมินอย่างแม่นยำได้
ดร.โบว์เดน-เดวีส์ กล่าวว่า เมื่อพวกมันไม่ได้อยู่ภายใต้ข้อบังคับเดียวกับกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ ดังนั้นมันจึงไม่สามารถฉายภาพสุขภาพที่แท้จริงของเราได้ แต่สิ่งที่มันให้เราได้คือค่าพื้นฐานที่สามารถนำไปวิเคราะห์ต่อ
“ค่าพื้นฐานนั้นอาจไม่ได้สะท้อนหน่วยวินาที แคลอรี หรือเมตร ตามความเป็นจริงได้เป๊ะ ๆ แต่มันก็เป็นข้อมูลส่วนตัวของคุณ” ดร.โบว์เดน-เดวีส์ อธิบาย
“แล้วคุณก็จะสามารถรู้ได้ว่าคุณทำได้ดีขนาดไหน คุณเคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นหรือไม่ นอนหลับได้ดีขึ้นหรือเปล่า หรือเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้นไหม มันมีประโยชน์ในแง่นี้จริง ๆ”
สำหรับพวกเราหลาย ๆ คน นาฬิกาเหล่านี้เป็นเรื่องส่วนตัวล้วน ๆ เราสนใจเพียงว่าตัวเองทำได้ดีแค่ไหนเมื่อเทียบกับครั้งก่อน และอย่าให้ฉันเริ่มพูดถึงนาฬิกาที่ให้คุณติดตามและแข่งขันกับเพื่อน ๆ เลย
ฉันเพิ่งเข้าเส้นชัยในงานแข่งวิ่งเพื่อสุขภาพและกดหยุดนาฬิกา ฉันใช้เวลาไป 22 นาที กับอีก 28 วินาที
มันไม่ใช่สถิติที่ดีที่สุดของฉัน แต่ฉันภูมิใจแล้วและการวิ่งกวดของฉันในช่วงสุดท้ายก็ทำได้เริ่ดมาก ถ้าให้ฉันพูดเองนะ
แต่ก็นั่นแหละ ฉันต้องไปแล้ว มีข้อมูลบางอย่างที่ฉันต้องไปตรวจสอบอย่างละเอียดสักหน่อย

ที่มาของภาพ : Kristian Johnson/BBC












