
กองทัพบกเผยกัมพูชายิvจรวด BM-21 ตกในพื้นที่พลเรือน หลัง “ทรัมป์” โทรหาสองผู้นำ

ที่มาของภาพ : ทีมโฆษกกองทัพบก/ Fb
การปะทะระหว่างไทย – กัมพูชาตามแนวชายแดนยังดำเนินต่อไป ภายหลังผู้นำทั้งสองประเทศ คือนายกรัฐมนตรีอนุทิน ชาญวีรกูล ของไทย และนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้สนทนากับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกาเมื่อคืนวานนี้ (12 ธ.ค.) ตามเวลาไทย ซึ่งทรัมป์ระบุว่านายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศได้ตกลงหยุดยิv แต่ฝ่ายไทยยังไม่มีการยืนยันถึงข้อมูลนี้อย่างเป็นทางการ
ขณะที่นายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา เสนอให้ผู้นำสหรัฐฯ และมาเลเซีย ใช้ทหารหรือหน่วยงานเข้าตรวจสอบเหตุการณ์ปะทะด้วยปืนเล็กเมื่อวันที่ 7 ก.ค. ว่าฝ่ายใดคือฝ่ายเริ่มก่อน พร้อมบอกว่ากัมพูชาพร้อมให้ความร่วมมือในทุก ๆ ด้านในการตรวจสอบยืนยันเหตุการณ์
การแถลงข่าวของศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา เมื่อเวลา 10.00 น. ไม่ยืนยันว่าการหยุดยิvจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ขณะที่การสู้รบยังคงดำเนินต่อไป
ล่าสุดเพจทีมโฆษกกองทัพบกของไทยเปิดเผยว่า ฝ่ายกัมพูชาได้ยิvจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ตกในพื้นที่พลเรือนใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ทำให้มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 ราย และบาดเจ็บทั่วไปอีก 2 ราย
รายละเอียดในการสนทนาเป็นอย่างไร

ที่มาของภาพ : Royal Thai Executive
การสนทนาของผู้นำไทยและสหรัฐฯ มีขึ้นเมื่อเวลา 21.20 น. วานนี้ (12 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยนอกจากนายอนุทิน จะเป็นคู่สนทนาโดยตรงกับประธานาธิบดีทรัมป์ ยังมีนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล เลขาธิการนายกฯ และนายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกฯ ร่วมรับฟังการสนทนาด้วย
โดยภายหลังการหารือเสร็จสิ้น นายอนุทินได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ระบุว่าประธานาธิบดีทรัมป์มีความเป็นห่วงในสถานการณ์และอยากจะให้ทุกอย่างกลับไปที่ปฏิญญา (Joint Declaration) ที่ได้ลงนามกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ของมาเลเซีย ซึ่งนายอนุทินยืนยันกับประธานาธิบดีทรัมป์ว่าไทยปฏิบัติตามเงื่อนไขมาตลอด แต่ฝ่ายกัมพูชาเป็นผู้ละเมิดทำให้ฝ่ายไทยสูญเสียอวัยวะ ชีวิต และทรัพย์สิน ทำให้ไทยจำเป็นจะต้องตอบโต้เพื่อป้องกันอธิปไตย ดินแดน ทรัพย์สิน และชีวิตของประชาชนชาวไทย
นายอนุทินยังเปิดเผยด้วยว่า ประธานาธิบดีทรัมป์ต้องการให้มีการหยุดยิv ซึ่งเขาได้กล่าวกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า ‘ขอให้ไปบอกฝ่ายกัมพูชา' โดยทางกัมพูชาต้องออกมาบอกให้โลกรู้ว่ากัมพูชาจะหยุดยิv แล้วจะถอนกำลังออกไป รวมถึงเก็บกู้ทุ่นsะเบิดที่วางเอาไว้ออกไปให้หมด
นายกรัฐมนตรีในรัฐบาลรักษาการยังยืนยันถึงประเด็นภาษีศุลกากรว่าประธานาธิบดีทรัมป์ให้สัญญาว่าจะให้ประเทศไทยได้รับอัตราภาษีที่ดีกว่าประเทศอื่น ซึ่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นฝ่ายถามถึงประเด็นนี้ขึ้นมาเองและไม่ได้มีท่าทีกดดัน หรือจะนำมาผูกกับประเด็นสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุดof ได้รับความนิยมสูงสุด

ที่มาของภาพ : Royal Thai Executive
ด้านประธานาธิบดีทรัมป์ ระบุผ่านทรูธ โซเชียล ในเวลาต่อมาว่าการสนทนาระหว่างเขากับนายกรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชา เมื่อช่วงเช้าวานนี้ (12 ธ.ค. ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐฯ) เป็นไปด้วยดี โดยเขาได้แสดงความกังวลถึงการปะทะรอบใหม่ระหว่างสองประเทศ และนายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศก็ตกลงที่จะหยุดยิvโดยมีผลในช่วงเย็นวันนี้ และจะกลับเข้าสู่ข้อตกลงสันติภาพดั้งเดิมที่เคยทำกับเขาโดยการช่วยเหลือของนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ของมาเลเซีย
ทรัมป์ยังแสดงความเห็นในโพสต์ดังกล่าวด้วยว่า ทุ่นsะเบิดที่คร่าชีวิตและทำให้ทหารไทยบาดเจ็บหลายนายนั้นเป็นอุบัติเหตุ แต่ไทยกลับตอบโต้อย่างรุนแรง ซึ่งตอนนี้ทั้งสองประเทศwร้อมเข้าสู่สันติภาพและเดินหน้าเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ต่อ
ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กเมื่อเวลา 9.31 น. ของวันนี้ (13 ธ.ค.) ระบุเป็นภาษาอังกฤษที่แปลได้ว่า “นั่นไม่ใช่อุบัติเหตุริมถนนแน่ ๆ ประเทศไทยจะยังคงเดินหน้าปฏิบัติการทางการทหารจนกว่าเราจะรู้สึกว่าจะไม่มีอันตรายหรือภัยคุกคามต่อดินแดนและประชาชนของเราอีกแล้ว ผมอยากจะทำให้มันชัดเจน การกระทำของเราในช่วงเช้าวันนี้ได้พูดแทนแล้ว”
ด้านนางมาระตี นะลิตา อันดาโม รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศของไทยเปิดเผยในการแถลงข่าวของศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ผ่านมา ระบุว่าในการสนทนาระหว่างผู้นำไทย – สหรัฐฯ นายอนุทินได้ยืนยันกับประธานาธิบดีทรัมป์ว่าไทยต้องการสันติภาพ แต่ก็ต้องปกป้องอธิปไตยและบูรณภาพของดินแดนตนเองเช่นกัน
โดยผู้นำสองฝ่ายได้มอบหมายให้ รมว.ต่างประเทศของทั้งสองประเทศ คือนายมาร์โค รูบิโอ และนายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว พูดคุยในรายละเอียดกันต่อ ซึ่งนายสีหศักดิ์จะแถลงข่าวถึงรายละเอียดในเวลา 15.00 น. ของวันนี้ (13 ธ.ค.)
“ขอเรียนว่าตั้งแต่เมื่อคืนจนถึงเช้านี้ก็เดินหน้าแล้วนะคะ ก็มีการประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่มีความสำคัญ ขอยืนยันโดยสรุปว่าทั้งหมดจะต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่เป็นสำคัญ” รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุในการแถลงข่าว
ด้าน พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม ในฐานะโฆษกศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ตอบคำถามกรณีประธานาธิบดีทรัมป์มองว่า การที่ทหารไทยเหยียบกับsะเบิดเป็นอุบัติเหตุนั้น เขามองว่าเป็น “การจงใจของฝ่ายกัมพูชาในการดำเนินการ”
“sะเบิดถือว่าเป็นอาวุธ ทุ่นsะเบิดไม่ได้เป็นของเล่นหรืออะไรที่สามารถสร้างอุบัติเหตุได้ มันเป็นการจงใจที่มีการวางทุ่นsะเบิดในพื้นที่ที่ทหารเราลาดตระเวน ทั้ง ๆ ที่ห้วงที่ผ่านมาเรามีการเคลียร์ทุ่นsะเบิดเรียบร้อยหมดแล้ว แต่ทำไมมันถึงกลับเข้ามาอีก นั่นแสดงถึงความจงใจที่จะทำร้ายต่อชีวิตแก่กำลังพลของเรา” เขาระบุ
ส่วนกรณีที่ประธานาธิบดีทรัมป์บอกว่าทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิvในช่วงเย็นวันนี้นั้น โฆษกกระทรวงกลาโหมระบุว่าเขา “ไม่สามารถยืนยันได้” เนื่องจากที่ผ่านมาฝ่ายกัมพูชาไม่ได้ทำตามคำพูดเลย พร้อมยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชาเป็นฝ่ายริเริ่มสถานการณ์ ขณะที่ไทยทำเพื่อป้องกันอธิปไตย ดังนั้นจะมีการเจรจาในช่วงบ่ายนี้หรือไม่ “คงไม่มีฝ่ายใดจะเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์จนกว่าจะมีความชัดเจนแล้วก็มีความจริงใจจากฝ่ายกัมพูชา”

ที่มาของภาพ : Hun Manet/ Fb
ฟากนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต ของกัมพูชา ระบุว่าเขาได้สนทนาทางโทรศัพท์กับทั้งประธานาธิบดีทรัมป์และนายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิมของมาเลเซีย เพื่อหาทางหยุดยิvและกลับเข้าสู่การปฏิบัติตามปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ โดยฝ่ายกัมพูชาได้ยึดมั่นในแนวทางการระงับข้อพิพาทด้วยสันติมาโดยตลอดตามปฏิญญาดังกล่าว
นายกรัฐมนตรีกัมพูชายังบอกด้วยว่า เขาได้เสนอให้ผู้นำทั้งสองประเทศใช้ทหารหรือหน่วยงานของทั้งสหรัฐฯ และมาเลเซียเข้ามาตรวจสอบเหตุการณ์ปะทะด้วยปืนเล็กเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสู้รบครั้งใหม่นี้ โดยอาจใช้ศักยภาพในการรวบรวมข้อมูลทั้งจากภาพถ่ายดาวเทียมและรูปภาพต่าง ๆ ที่มีการบันทึกไว้เพื่อยืนยันว่าฝ่ายใดคือผู้เริ่มยิvก่อน
“นี่อาจจะเป็นวิธีการที่ง่ายดายและโปร่งใสที่สุดที่จะตรวจสอบยืนยันเหตุการณ์ ซึ่งกัมพูชาพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในทุก ๆ ด้านหากมีความต้องการ” นายฮุน มาเนต ระบุ
สถานการณ์ชายแดนหลังการสนทนา
10.00 น. ของวันนี้ (13 ธ.ค.) ศูนย์แถลงข่าวร่วมสถานการณ์ชายแดนไทย – กัมพูชา ระบุว่าภายหลังจากที่นายกรัฐมนตรีสนทนากับประธานาธิบดีทรัมป์ ฝ่ายกัมพูชายังคงยิvอาวุธหนักใส่ดินแดนไทยในช่วงกลางดึกในหลายพื้นที่ ทั้งใน จ.ตราด, บ้านหนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว และช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี
โดยกองทัพบกเปิดเผยถึงพื้นที่ตลอดแนวชายแดนที่ไทยสามารถควบคุมได้แล้ว อาทิ ช่องอานม้า (เนิน 677), ซำแต, ช่องจอม – ช่องระยี, ปราสาทคนา และบ้านหนองหญ้าแก้ว
โดยกองทัพบกประมาณการณ์สูญเสียของฝ่ายกัมพูชาที่ฝ่ายไทย “พิสูจน์ทราบได้ชัดเจน” ตั้งแต่เริ่มการปะทะเมื่อ 7 ธ.ค. มีทหารกัมพูชาเสียชีวิตรวม 165 นาย โดยฝ่ายไทยได้ทำลายจรวด BM-21 จำนวน 1 ระบบ, ยานเกราะ/รถถัง 11 คัน, โดรน 68 ลำ, ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน 2 ระบบ, Anti-Drone 3 ระบบ, เสาสื่อสาร 3 จุด, จุดตรวจการณ์/ฐานทหาร รวม 5 แห่ง
ขณะที่กองทัพเรือเปิดเผยว่าได้ปฏิบัติการทำลายฐานที่มั่นของทหารกัมพูชาในพื้นที่เกาะยอ ใน จ.เกาะกง ของกัมพูชาแล้ว เนื่องจากจะเป็นภัยคุกคามต่อกำลังที่ปฏิบัติการในพื้นที่ โดยวันนี้จะมีการสำรวจความเสียหาย นอกจากนี้มีการขอสนับสนุนกำลังจากกองทัพอากาศทำลายสะพาน 2 แห่ง รวมถึงสะพานจัยจุมเนี้ยะ ซึ่งเป็นเส้นทางการลำเลียงยุทโธปกรณ์และกำลังกัมพูชาเข้ามาในพื้นที่ รวมถึงโจมตีคาสิโนทมอดาซึ่งเป็นที่ตั้งทางทหารของกัมพูชา
ต่อมาเวลา 12.01 น. ทีมโฆษกกองทัพบกเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กว่า กองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ว่าฝ่ายกัมพูชาได้ใช้อาวุธจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ยิvตกเข้ามาในพื้นที่พลเรือน บริเวณด้านหน้าบังเกอร์หลบภัย หมู่ที่ 1 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ส่งผลให้ประชาชนที่กำลังวิ่งหลบภัยได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดsะเบิด 2 รายและมีการสาหัส ได้แก่
- นายแก้ว กินนรา แขนขวาหัก
- นายรำไพ สุวรรณศิลป์ ได้รับแรงกระแทกที่ศีรษะและมีเลืoดออกในสมอง
โดยกองทัพบกได้บูรณาการร่วมกับฝ่ายปกครองและสาธารณสุขในพื้นที่ เร่งนำผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเบญจลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ
นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บอีก 2 ราย คือ นายคมสัน ศรีอ้วน โดนสะเก็ดsะเบิดบริเวณหลังคอ และนายเสรี ปัถอินทรี มีอาการบวมที่ศีรษะเนื่องจากโดนสะเก็ดsะเบิด ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้เร่งนำส่ง รพ.ศรีรัตนะ
“กองทัพบกขอประณามการกระทำของกำลังทหารกัมพูชาอย่างรุนแรง ต่อเวทีประชาคมระหว่างประเทศ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นหลักฐานชัดเจนถึงการใช้อาวุธโจมตีใส่พื้นที่พลเรือนซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการทางทหารของกัมพูชา ละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างร้ายแรง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้บริสุทธิ์” โพสต์ดังกล่าวระบุ

ที่มาของภาพ : ทีมโฆษกกองทัพบก/ Fb
ด้าน พล.ท.หญิง มาลี โสเจียตา โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา แถลงข่าววันนี้ (13 ธ.ค. 68) เวลา 9.30 น. ระบุอ้างว่า ฝ่ายไทยยังคงบุกรุกเข้ามายังในเขตแดนของกัมพูชารวมทั้งใช้อาวุธหนักทุกประเภท เช่น เครื่องบินรบ 16 ลำ sะเบิดลูกปรายหรือคลัสเตอร์บอมบ์ รวมทั้งกำลังพลจำนวนมากมาปฏิบัติการในอาณาเขตของกัมพูชา ซึ่งนั้นเป็นการกระทำที่ชัดเจนว่า ขัดต่อกฎบัตรแห่งสหประชาชาติและอาเซียน รวมทั้งหลักการขั้นพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ
“การกระทำที่ไร้ความรับผิดชอบและละเมิดกฎหมายดังกล่าว ไม่เพียงแต่เป็นภัยคุกคามสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาคนี้ แต่ยังเป็นผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยระหว่างประเทศ” พล.ท. หญิง มาลี กล่าว
โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชากล่าวอีกว่า กองกำลังทหารไทยเริ่มขยายขอบเขตการโจมตีและเปิดฉากยิvใส่กัมพูชา ในภูมิภาคทหารที่ 3 ตั้งแต่เวลา 02.00 น. ถึง 08.00 น. ของวันที่ 13 ธ.ค. โดยเวลา 02.00 น. กองทัพเรือไทยได้เปิดฉากยิvจากเรือรบโดยใช้ปืนใหญ่ 20 กระบอกไปยังพื้นที่จังหวัดเกาะกง
นอกจากนี้เธอยังกล่าวว่า ฝ่ายไทยได้โจมตีสถานที่สำคัญหลายแห่ง อาทิ โรงเรียน โรงแรม วัด ปราสาทโบราณ รวมถึงถนนและสะพานต่าง ๆ ด้วยในห้วงเวลาที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมในขณะนี้สถานการณ์ในพื้นที่อื่น ๆ ยังคงสงบ
พล.ท. หญิง มาลี อ่านแถลงการณ์ว่า หากฝ่ายไทยต้องการและมีเจตนาให้เกิดสันติภาพจริงไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยคำพูด แต่ต้องเป็นการกระทำที่เป็นรูปธรรม กองทัพของไทยต้องยุติกระทำต่าง ๆ ที่เป็นการละเมิดกฎหมายทันที และถอนกำลังออกจากพื้นที่ของกัมพูชา พร้อมกับเรียกร้องให้ไทยยึดตามข้อตกลงสันติภาพและปฏิญญากัวลาลัมเปอร์ที่ได้ลงนามไว้ในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา













