งานวิจัยพบ การทำเหมืองใต้ทะเลลึก ส่งผลกระทบต่อสัตว์หนึ่งในสามที่อาศัยอยู่ก้นทะเล

ที่มาของภาพ : Pure Historical past Museum/ College of Gothenburg

ดาวเปราะ (brittlestar) ที่พบบนพื้นทะเลใน “เขตคลาเรียน-คลิปเปอร์ตัน” (The Clarion-Clipperton Zone) ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับสำรวจแหล่งแร่ใต้ทะเล
Article Recordsdata
    • Writer, จอร์จินา แรนนาร์ด
    • Role, ผู้สื่อข่าวภูมิอากาศและวิทยาศาสตร์ บีบีซีนิวส์

นักวิทยาศาสตร์พบว่าเครื่องจักรต่าง ๆ ที่กำลังขุดแร่ธาตุอยู่ในท้องทะเลลึกส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสิ่งมีชีวิตที่ก้นทะเล

พวกเขาระบุว่าจำนวนของสัตว์ต่าง ๆ ที่อยู่ตามเส้นทางของเครื่องจักรเหล่านี้ลดลง 37% เมื่อเทียบกับพื้นที่ที่ไม่เคยถูกแตะต้องมาก่อน

นักวิจัยพบว่ามีสัตว์กว่า 4,000 ชนิดอาศัยอยู่บนพื้นทะเลในท้องที่ห่างไกลของมหาสมุทรแปซิฟิก ซึ่งในจำนวนนี้ 90% เป็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่

มีแร่ธาตุสำคัญที่จำเป็นต่อเทคโนโลยีสีเขียวจำนวนมหาศาลถูกกักเก็บอยู่ในส่วนลึกของมหาสมุทร แต่การทำเหมืองทะเลลึกในน่านน้ำสากลยังคงเป็นที่ถกเถียงอย่างมาก และปัจจุบันยังไม่มีการอนุญาตจนว่าจะทราบข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ที่มาของภาพ : Pure Historical past Museum/ College of Gothenburg

เม่นทะเล (sea urchin) ตัวนี้ คือหนึ่งในสัตว์ 4,000 ชนิดที่ถูกค้นพบ

งานวิจัยฉบับนี้ดำเนินการตามคำขอ “เดอะ เมทัลส์ คอมปานี” (The Metals Firm) ซึ่งเป็นบริษัทเหมืองแร่ทะเลลึก และจัดทำโดยนักวิทยาศาสตร์จากพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในกรุงลอนดอน, ศูนย์สมุทรศาสตร์แห่งชาติของสหราชอาณาจักร และมหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์ก

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ยืนยันว่า งานวิจัยของพวกเขามีความเป็นอิสระ แม้ว่าบริษัทจะสามารถดูผลการวิจัยได้ก่อนตีพิมพ์ แต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนแปลงผลของการศึกษา

ทีมวิจัยได้เปรียบเทียบความหลากหลายทางชีวภาพเมื่อสองปีก่อน และสองเดือนหลังจากที่มีการทดสอบการทำเหมือง ด้วยการขับเคลื่อนเครื่องจักรเป็นระยะทาง 80 กม. บนพื้นทะเล

พวกเขาเจาะจงตรวจสอบไปที่สัตว์ซึ่งมีขนาด 0.3 มม. – 2 ซม. เช่น หนอน, แมงมุมทะเล, หอยทากทะเล และหอยกาบ

Skip ได้รับความนิยมสูงสุด ได้รับความนิยมสูงสุด

Stop of ได้รับความนิยมสูงสุด

ในเส้นทางที่เครื่องจักรเคยเคลื่อนตัวผ่าน มีจำนวนสัตว์ต่าง ๆ ลดลง 37% และความหลากหลายของสายพันธุ์ก็ลดลง 32%

“เครื่องจักรทำให้ตะกอนด้านบนของพื้นทะเลหายไปประมาณห้าเซนติเมตร นั่นคือที่ที่สัตว์ส่วนใหญ่อาศัย ดังนั้นแน่นอน เมื่อคุณกำจัดตะกอนส่วนนี้ คุณกำลังกำจัดสัตว์ที่อาศัยอยู่ในนั้นไปด้วย” อีวา สจวร์ต ผู้นำการวิจัยซึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติและมหาวิทยาลัยเซาแทมป์ตัน บอกกับบีบีซีนิวส์

ที่มาของภาพ : Pure Historical past Museum/College of Gothenburg

นักวิทยาศาสตร์จัดทำรายการสัตว์ทั้งหมดที่พบในตะกอนใต้ทะเล รวมถึงหนอนตัวนี้

“แม้พวกมันอาจไม่ถูกฆ่-าด้วยเครื่องจักรดังกล่าว แต่มลพิษจากกระบวนการทำเหมืองอาจค่อย ๆ ฆ่-าสัตว์บางชนิดที่ปรับตัวได้น้อยอย่างช้า ๆ” ดร.กัวดาลูเป บริบีเอสกา-คอนเตรราส จากศูนย์สมุทรศาสตร์แห่งชาติ กล่าว

เธอกล่าวเสริมว่า แม้สัตว์บางชนิดอาจย้ายหนีจากถิ่นเดิมไปได้ แต่ก็ “มีอีกคำถามว่าพวกมันย้อนกลับมาหรือไม่หลังการรบกวนผ่านไปแล้ว”

อย่างไรก็ดี ในพื้นที่ใกล้เคียงกันเส้นทางที่ถูกวางเครื่องมือซึ่งยังมีกลุ่มตะกอนที่พื้นทะเลอยู่ ความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์ต่าง ๆ ไม่ได้ลดลง

“เราคาดว่ามันอาจส่งผลกระทบมากกว่านี้ แต่ เราไม่ได้ เห็นมาก แค่การเปลี่ยนแปลงทางสายพันธุ์ไหนครองพื้นที่มากกว่าสายพันธุ์อื่น ๆ” ดร.เอเดรียน โกลเวอร์ นักวิทยาศาสตร์การวิจัยที่พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในกรุงลอนดอน บอกกับบีบีซีนิวส์

ที่มาของภาพ : Pure Historical past Museum/College of Gothenburg

แมงมุมทะเลน้ำลึก (abyssal sea spider) เป็นหนึ่งในสัตว์กลุ่มแมคโครฟอนา (macrofauna) ที่ถูกค้นพบในระหว่างการทำวิจัย

“พวกเรารู้สึกมีกำลังใจจากข้อมูลนี้” โฆษกของบริษัทเดอะ เมทัลส์ คอมปานี บอกกับบีบีซีนิวส์

“หลังจากหลายปีที่นักเคลื่อนไหวเตือนว่าผลกระทบของกิจการพวกเราอาจขยายวงไปหลายพันกิโลเมตรจากพื้นที่ที่มีการทำเหมือง ข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าผลกระทบใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับความหลากหลายทางชีวภาพ เกิดขึ้นเฉพาะในพื้นที่ที่มีการทำเหมืองโดยตรงเท่านั้น” พวกเขากล่าวเสริม

แต่นักวิชาการบางคนมองว่าผลการศึกษานี้อาจไม่ใช่ข่าวดีสำหรับบริษัทต่าง ๆ ที่ทำเหมืองใต้ทะเล

“ผมคิดว่าการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีปัจจุบันที่กำลังถูกใช้ในการขุดเหมืองส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเกินกว่าที่จะมีการอนุญาตให้ดำเนินการสำรวจในเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่” ดร.แพทริค ชโรเดอร์ หนึ่งในทีมนักวิจัยอาวุโสของศูนย์สิ่งแวดล้อมและสังคมแห่งสถาบันคลังสมองแช็ตแธมเฮาส์ (Chatham ing) บอกกับบีบีซีนิวส์

“นี่เป็นเพียงแค่การทดสอบ การทำเหมือง และมันส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ หากพวกเขาทำมันในระดับที่ใหญ่ มันก็จะยิ่งส่งผลกระทบมากขึ้นไปอีก” เขากล่าวเสริม

การทำเหมือนที่ใต้ทะเลลึกกำลังเป็นที่ถกเถียง และหัวข้อสำคัญของการโต้แย้งคือปัญหาที่แก้ยาก

การวิจัยล่าสุดถูกศึกษาที่เขตคลาเรียน-คลิปเปอร์ตัน (The Clarion-Clipperton Zone) ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ 6 ล้าน ตำรวจกม. ในมหาสมุทรแปซิฟิก โดยมีการคาดการณ์ว่าพื้นที่แห่งนี้ประกอบไปด้วยก้อนโพลีเมทัลลิก (polymetallic nodules) ที่อุดมไปด้วยแร่นิกเกิล โคบอลต์ และทองแดง กว่า 2.1 หมื่นล้านตัน

โลกต้องการแร่ธาตุที่สำคัญเหล่านี้เพื่อนำไปใช้ในเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนต่าง ๆ เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พวกมันเป็นส่วนประกอบสำคัญในเทคโนโลยีต่าง ๆ อาทิ แผงโซลาร์เซลล์ กังหันลม และยานยนต์ไฟฟ้า

สำนักงานพลังงานสากล (World Vitality Agency – IEA) คาดการณ์ว่า อุปสงค์ต่อแร่ธาตุเหล่านี้อาจเพิ่มขึ้นสองเท่าในปี 2040

แร่ธาตุที่ว่าจะต้องมีแหล่งที่มา แต่นักวิทยาศาสตร์และกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมบางกลุ่มกังวลอย่างยิ่งว่าการทำเหมืองในทะเลลึกอาจก่อให้เกิดความเสียหายจนเกินจะพรรณนา

ที่มาของภาพ : Pure Historical past Museum/College of Gothenburg

ปลาดาวน้ำลึก (abyssal sea star) ถูกค้นพบในงานวิจัยนี้เช่นกัน

บางคนกลัวว่าก่อนที่เราจะมีโอกาสได้สำรวจสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทรลึกที่ยังไม่ถูกค้นพบ พวกมันอาจสูญพันธุ์ไปก่อน

มหาสมุทรมีบทบาทสำคัญในการควบคุมโลกของเรา และตอนนี้มันกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงรุนแรงจากอุณหภูมิที่สูงขึ้นแล้ว

องค์กรพื้นดินท้องทะเลระหว่างประเทศ หรือ ไอเอสเอ (World Seabed Authority – ISA) ซึ่งควบคุมกิจกรรมในน่านน้ำสากล ยังไม่อนุมัติให้มีการทำเหมืองในเชิงพาณิชย์ แม้ว่าพวกเขาจะออกใบอาชญาบัตรสำรวจแล้ว 31 ฉบับ

มี 37 ประเทศ รวมถึงสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศส ที่สนับสนุนการห้ามทำเหมืองเป็นการชั่วคราว

สัปดาห์ที่ผ่านมา นอร์เวย์ประกาศเลื่อนแผนการทำเหมืองในน่านน้ำของตัวเอง ซึ่งรวมถึงในอาร์กติกด้วย

แต่เมื่อเดือน เม.ย. ประธานาธิบโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เรียกร้องให้มีการเร่งรัดติดตามโครงการต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศ ในขณะที่สหรัฐฯ ต้องการสะสมแร่ธาตุสำหรับใช้ในการผลิตอาวุธ

หากไอเอสเอสรุปว่าเทคนิคการทำเหมืองปัจจุบันส่งผลกระทบเป็นวงกว้างเกินไป บริษัทต่าง ๆ อาจพยายามพัฒนาวิธีการที่กระทบน้อยกว่าในการสกัดก้อนแร่ออกจากพื้นทะเล

งานวิจัยชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ Nature Ecology and Evolution