ชาย: “บ้านของพี่ทำนาทำนา ปลูกข้าวทุกเมื่อ
หญิง: น้องก็ทำนาเกลือ ขายเกลือนั้นซื้อข้าวกิน
ชาย: บ้านของพี่อยู่ที่กาฬสินธุ์
หญิง: ส่วนตัวยุพิน อยู่สมุทรสาคร”
เพลงลูกทุ่ง “หนุ่มนาข้าว – สาวนาเกลือ” เมื่อปี 2525 ประพันธ์และขับขานโดย เสมอ จันดา หรือชื่อในวงการเพลงลูกทุ่ง สรเพชร ภิญโญ
เสน่ห์เมืองสมุทรสาครมีหลากหลาย ทั้ง ‘มะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว’ ‘ปลากัดป่ามหาชัย’ เป็นพื้นที่เกษตรกรรมสำคัญเพราะแม่น้ำท่าจีนพาดผ่าน อีกทั้งยังมีพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลก่อเกิดระบบนิเวศป่าชายเลน รวมถึงเป็นพื้นที่ทำนาเกลือที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ
สิ่งเหล่านี้อาจเหลือแต่ภาพฝัน เพราะช่วงประมาณ 5 ปีที่ผ่านมาเมืองสมุทรสาครกำลังเผชิญ ‘ปัญหามลพิษ' จากการเข้ามาของโรงงานอุตสาหกรรมที่ปะปนกับชุมชนและพื้นที่เกษตรกรรม ทำให้คนพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรได้รับผลกระทบทั้งด้านรายได้ ร่างกาย และความเครียด
จากลงพื้นที่และคุยกับประชาชนทำให้เห็นว่าส่วนหนึ่งของปัญหาเป็นผลมาจาก คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 4/2559 และการแก้ไข พ.ร.บ.โรงงาน ฉบับปี 2562 กฎระเบียบที่ออกมาในยุค ‘ลุงตู่’ นับเป็นการเปิดประตูให้มลพิษงอกงามในสมุทรสาคร
ซีรีส์ ‘โรงงานกากฯ กาก' ตอนที่ 2 ชวนสำรวจปัญหาผลกระทบด้านมลพิษ 3 เขตอำเภอทั้ง ในตัวอำเภอเมือง กระทุ่มแบน และบ้านแพ้ว เมื่อทั้งน้ำ อากาศ และอาหาร ถูกปนเปื้อนด้วยมลพิษ พวกเขาได้รับผลกระทบในแต่ละมิติอย่างไร
พร้อมมาร่วมตอบคำถามสำคัญ ปัจจัยอะไรที่ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาตั้งในแหล่งชุมชน หรือพื้นที่เกษตรกรรมได้ และมีกี่โจทย์ที่เราต้องแก้ไขเพื่อให้โรงงาน ชุมชน และเกษตรกรรม สามารถเดินไปด้วยกันได้
สารพันปัญหา ‘นาโคก’ สมุทรสาคร
“ตอนแรกที่เราเห็นโรงงานมา มีรถแม็กโคร มีรถแทรกเตอร์เข้ามา เราก็คิดว่าบ้านเราดีเว้ย …เราคิดว่ามันจะเจริญ แต่ที่มามันไม่ใช่แบบนั้น พอสร้างโรงงานแล้ว พอควันขึ้นปล่อง เรารู้เลยว่านี่ไม่ใช่โรงงานที่เราจะอยากได้ เป็นโรงงานที่เราเหม็นจนทนไม่ไหว” เสียงของเอื้อน อยู่ศรี ชายสูงวัย อายุ 74 ปี
บ้านของลุงเอื้อนอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 2 อ.นาโคก อ.เมืองสมุทรสาคร ประกอบอาชีพส่งน้ำเค็มขายให้เกษตรกรเพาะเลี้ยงกุ้งและปลากระพงในจังหวัดนครปฐม
หากเรายืนมองจากบ้านของลุงเอื้อน จะเห็นโรงงานรีไซเคิล และปล่องควันถัดออกไปไม่ไกล ตอนแรกเขาดีใจที่จะมีโรงงานมาตั้งเพราะถนนหนทางจะได้ดีขึ้น ลูกหลานมีงานทำ แต่เมื่อโรงงานสร้างเสร็จ สิ่งที่ต้องประสบคือความเครียดจากมลพิษ โดยเฉพาะเรื่องกลิ่นเหม็นรบกวนรุนแรง
“ตั้งแต่เกิดโรงงาน จากอากาศที่เราเคยหายใจสะดวกๆ หลับสบาย กลายเป็นหลับก็ไม่เต็มที่ สุขภาพก็ไม่ดี เคยคุยกับลูกๆ ไว้ว่าถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ อาจจะย้ายกลับไปที่สมุทรสงคราม เพราะว่าพื้นที่นั้นมีโรงงานน้อย” ชายสูงวัย เล่าย้อนเหตุการณ์
เอื้อน อยู่ศรี ประกอบอาชีพส่งน้ำเค็มขาย
ตำบลนาโคก ถือเป็นพื้นที่หลักของการทำนาเกลือ ช่วงของการทำนาจะอยู่ในฤดูร้อนของทุกปี แต่พอหมดหน้าร้อน เกษตรกรจะเอาวังขังน้ำหรือบ่อน้ำที่เอาไว้กักเก็บน้ำทะเลเพื่อรอเอาไปทำเป็น ‘เกลือ’ ไปใช้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำกินและขาย
ปี 2562 เป็นต้นมา พื้นที่นาเกลือประสบปัญหาจากมลพิษ โดยเฉพาะโรงงานที่เข้ามาตั้งในเขตเกษตรกรรม ทั้งโรงงานประเภทคัดแยกและฝังกลบขยะอุตสาหกรรม (ประเภทที่ 105) โรงงานรีไซเคิลหล่อหลอม (ประเภท 106) อุตสาหกรรมหล่อหลอมโลหะ กิจการผลิตเกี่ยวกับพลาสติก (ประเภท 59-60) ไปจนถึงการก่ออาชญากรรมทางสิ่งแวดล้อมลักลอบฝังกลบอย่างไม่ได้มาตรฐาน
หากย้อนอ่านข่าวในบนสื่อจะพบว่าสมุทรสาครยังตกเป็นข่าวเรื่องอาชญากรรมสิ่งแวดล้อม โดยหนึ่งในข่าวใหญ่เมื่อปี 2567 คือกรณีการลักลอบขนกากแคดเมียม จำนวนราว 13,000 ตันจากจังหวัดตาก กระจายออกไปหลายพื้นที่ โดยหนึ่งในนั้นคือพื้นที่ตำบลนาโคก และตำบลบางน้ำจืด จ.สมุทรสาคร
ขณะที่เมื่อ 30 ก.ย.2568 ที่ผ่านมา ที่คลองนิคม 2 หมู่ 6 ต.นาโคก มีชาวบ้านพบปลากระบอกลักษณะผิดปกติ มีลำตัวคดงอผิดรูป และมีตุ่มสีดำติดตามตัว ‘แวว เนียมเพชร’ ชาวบ้านวัย 74 ปี และเป็นผู้พบปลา ให้ความเห็นว่าทำประมงมา 20 ปี ยังไม่เคยเจอปลากระบอกลักษณะนี้มาก่อน ขณะที่ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่งจังหวัดสมุทรสาคร ระบุผลตรวจสอบเบื้องต้นยังไม่ทราบว่าตุ่มดำบนตัวปลาคืออะไร แต่ไม่พบอาการติดเชื้อหรือผิดปกติภายในตัวปลา รวมถึงยังไม่ทราบว่าสาเหตุที่ทำให้ปลามีลักษณะผิดปกติมีต้นตอมาจากไหน
พูนศักดิ์ นิลเภตรา (ผู้ใหญ่โบ) ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 2 ตำบลนาโคก กล่าวถึงปัญหาตรงกันกับลุงเอื้อนว่า ก่อนหน้านี้โรงงานรีไซเคิลใกล้บ้านเอื้อน เคยสร้างผลกระทบให้กับนาเกลือในพื้นที่ข้างๆ กัน เวลาฝนตกจะมีน้ำเสียจากโรงงานไหลลงไป หรือควันจากเตาหลอมลอยตกลงในนาเกลือ ทำให้เกลือกลายเป็นสีดำ ชาวบ้านจะเอาไปขายก็เสียราคา ต้องขายเพื่อเอาไปปรับสภาพดินปลูกต้นไม้
จากการคุยกับชาวบ้านทำให้ทราบว่าเกลือสีขาวที่ใช้เพื่อบริโภคเป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สุดและมีราคาแพงที่สุด ตกเกวียนละ 3,000-4,000 บาท ขณะที่เกลือปนเปื้อนเขม่ากลายเป็น ‘เกลือดำ’ จะเอาไปใช้เพื่อการเกษตร ราคาอยู่ที่เกวียนละ 1,000-2,000 บาท
ผู้ใหญ่โบ กล่าวด้วยว่า นอกจากเกลือราคาตก ถ้าเข้าฤดูฝน เกษตรกรนาเกลือจะเอาวังขังน้ำมาใช้เป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์น้ำ ถ้ามีน้ำเสียของโรงงานปนเข้าไปในวังก็จะไม่ได้ผลผลิต

นาเกลือที่ได้รับผลกระทบจากเขม่าควัน เนื่องจากตั้งอยู่ข้างโรงงานรีไซเคิลในตำบลนาโคก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร (แฟ้มภาพถ่ายโดย พิสิทธิ์ ศรีพุ่มไข่ มูลนิธิบูรณะนิเวศ)
การรุกคืบของโรงงานอุตสาหกรรม
พูนศักดิ์ กล่าวว่า เดิมพื้นที่นาโคกเป็นพื้นที่สี “เขียวทะแยงขาว” หรือพื้นที่สำหรับที่อยู่อาศัยและเกษตรกรรม ไม่ได้เหมาะกับการสร้างโรงงานอุตสาหกรรม อาชีพดั้งเดิมของคนที่นี่คือการทำนาเกลือและเลี้ยงสัตว์น้ำ อย่างไรก็ตาม ประกาศ คสช.ที่ 4/2559 กำหนดให้โรงงานรีไซเคิล และคัดแยกและฝังกลบขยะ สามารถเข้าไปตั้งในพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่การเกษตรได้ แต่มีเงื่อนไขว่าการสร้างตัวอาคารโรงงานเนื้อที่ต้องไม่เกิน 50% ของที่ดินทั้งหมด เช่น มีที่ดิน 100 ไร่ จะสร้างอาคารโรงงานได้ไม่เกิน 50 ไร่ เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เพราะด้วยที่ดินเกษตรกรรมของนาโคกมีราคาถูกทำให้นายทุนสามารถกว้านซื้อได้ง่าย
พูนศักดิ์ นิลเภตรา
หากส่องดูในปัจจุบัน จังหวัดเมืองสมุทรสาคร เมืองแห่งแม่น้ำท่าจีน มีโรงงานรวม 5,814 แห่ง
- อ.เมือง 3,554 แห่ง
- อ.กระทุ่มแบน 2,174 โรง
- อ.บ้านแพ้ว 89 โรงงาน
ข้อมูลจากคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร เมื่อ เดือนมิถุนายน 2568 เปิดเผยว่า ในจำนวน 3 อำเภอมีโรงงานประเภท 105 และ 106 ดังนี้
- 134 แห่ง เป็นโรงงานประเภท 105 (เกี่ยวกับการฝังกลบสิ่งปฏิกูลหรือของเสียจากกระบวนการผลิตของอุตสาหกรรม)
- 123 แห่ง เป็นโรงงานประเภท 106 (เกี่ยวกับการรีไซเคิลวัสดุที่ไม่ใช้แล้วหรือของเสียจากโรงงานมาผลิตเป็นวัตถุดิบหรือผลิตภัณฑ์ใหม่)
ทั้งนี้ ในเขตอำเภอเมืองจะมีโรงงาน ประเภท 105 และ 106 ในปริมาณที่มากที่สุด โดยแบ่งเป็นประเภท 105 จำนวน 93 โรง และประเภท 106 จำนวน 93 โรง
ส่วนเหตุที่โรงงาน 2 ประเภทนี้ถูกจับจ้องเป็นพิเศษ เนื่องมาจากเป็นกลุ่มเสี่ยงปล่อยมลพิษร้ายแรง และเป็นผลทำให้การขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) ประเภทที่ 101 105 และ 106 ถูกจัดอยู่ในจำพวกที่จะต้องขออนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม (ส่วนกลาง) ขณะที่โรงงานประเภทอื่นๆ สามารถขอกับทางอุตสาหกรรมจังหวัดได้เลย
ผู้ใหญ่โบตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ประกอบการโรงงานที่เริ่มทยอยเข้ามาในพื้นที่ตำบลนาโคก บางส่วนกระจายตัวมาจากซอยกองพนันพล ที่ตั้งอยู่ใน อ.เมือง หรือเราอาจเรียกได้ว่า ‘ซอยแห่งโรงหลอม’ เนื่องจากซอยนี้ซอยเดียวมีโรงงานหล่อ-หลอมเหล็กจำนวน 66 แห่ง ดังนั้น นอกจากนายทุนจะซื้อที่ดินในนาโคกได้ในราคาถูกแล้วยังสะดวกมากขึ้นอีกขั้น เพราะเป็นที่ดินที่เคยทำนาเกลือและเลี้ยงสัตว์น้ำมาก่อน มีลักษณะเป็นที่บ่อเก่า กลายเป็นว่าแทนที่จะส่งกากของเสียเพื่อกำจัดตามมาตรฐาน นายทุนก็เลือกใช้วิธีการฝังกลบซึ่งเป็นวิธีที่ราคาถูกกว่า จากนั้นก็สร้าง ‘วงจรอัปลักษณ์’ เพราะเมื่อโรงงานก่อมลพิษ ผลผลิตของเกษตรกรก็ตกต่ำ พวกเขาก็จะขายที่ดินให้กับผู้ประกอบกิจการโรงงานมากขึ้นเรื่อยๆ นี่เป็นปัจจัยที่ทำให้โรงงานในพื้นที่นาโคกขยายตัว
สำหรับพื้นที่หมู่ที่ 2 ต.นาโคก มีจำนวนโรงงานที่ได้รับใบอนุญาต อย่างน้อย 17 แห่ง แบ่งเป็น
- ประเภท 105 จำนวน 3 แห่ง
- ประเภท 106 จำนวน 7 แห่ง
- ประเภท 52(2) (รีดยางผลิตยางขึ้นรูป) จำนวน 1 แห่ง
- ประเภท 53(4) (ผลิตถุงพลาสติก) จำนวน 1 แห่ง
- ประเภท 53(5) (ผลิตเม็ดพลาสติก) จำนวน 1 แห่ง
- ประเภท 59 (หล่อหลอมโลหะ) จำนวน 1 แห่ง
- ประเภท 60 (หล่อหลอมอลูมิเนียม) จำนวน 2 แห่ง
- ประเภท 61 (ประกอบเครื่องจักร) จำนวน 1 แห่ง
ผู้มีอำนาจเดินหน้า การแก้ไขก็เริ่มขึ้น (แต่ไม่ตลอดรอดฝั่ง)
8 มีนาคม 2568 ‘ทีมสุดซอย’ ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ได้เข้ามาตรวจสอบโรงงานหลายแห่งในสมุทรสาคร หลังถูกร้องเรียนโดยชาวบ้านในพื้นที่ และพบว่าโรงงาน 4 แห่งซึ่งอยู่ระหว่างระงับกิจการชั่วคราว หนึ่งในนั้นคือโรงงานรีไซเคิลใกล้บ้านเอื้อน ได้แอบลักลอบดำเนินการผลิต และพบการกระทำผิดเกี่ยวกับการลักลอบฝังกากอลูมิเนียมดรอส อย่างน้อย 35,000 ตัน
ผู้ใหญ่โบ เปิดให้ดูเอกสาร ข้อมูลโรงงานในหมู่ที่ 2 ตำบลนาโคก อ.เมือง
ผู้ใหญ่โบ เปิดเผยว่า มีการปิดโรงงานชั่วคราวไปได้เพียง 2 แห่งเท่านั้น ส่วนอีก 2 แห่งยังไม่พบอลูมิเนียมดรอสที่ถูกฝังอยู่ใต้ดิน เนื่องจากมีการเทคอนกรีต หรือสร้างสิ่งปลูกสร้างทับจุดที่ฝังกลบเอาไว้ หากไปชี้เป้าขุดและไม่พบหลักฐาน ชาวบ้านก็มีสิทธิถูกฟ้องร้องกลับ
เขายอมรับว่านโยบายของรัฐมนตรี (เอกนัฏ พร้อมพันธุ์) มีผลต่อการแก้ไขปัญหา และทำให้สถานการณ์มลพิษเบาบางลง แต่การเปลี่ยนรัฐบาลเมื่อเดือนกันยายน 2568 ก็ทำให้เกิดความไม่แน่นอนอีกครั้ง
“ที่เราเห็นได้คือ พอทีมสุดซอยหลุดไปพร้อมกับการเปลี่ยนรัฐบาล ทำให้โรงงานที่เคยถูกสั่งหยุดดำเนินการชั่วคราวเพื่อปรับปรุง ขยับกลับมาเปิดอีกครั้ง ตรงนี้เราก็ไม่รู้ว่าการกลับมาเปิดเขาได้แก้ไขเสร็จสิ้นหรือยัง หรือมีช่องทางอื่นๆ ที่ทำให้กลับมาเปิดได้” ผู้ใหญ่โบ กล่าว
เช่นเดียวกับเอื้อน เขามองว่าการเข้ามาของทีมสุดซอย ทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ทำให้สุขภาพร่างกายของพวกเขาก็ดีขึ้น จากเดิมที่เขามีแผนอยากจะกลับบ้านเกิดที่สมุทรสงครามก็เปลี่ยนใจ อย่างไรก็ตาม หลังจากทีมสุดซอยยุติลง ความกังวลใจของเขาก็กลับมาอีกครั้ง และยังไม่รู้ว่ารัฐบาลต่อไปจะมีแผนจัดการกับกากอุตสาหกรรมที่ฝังใต้ดินอย่างไร เพราะหากปล่อยเอาไว้ ชาวบ้านก็กังวลว่าสารเคมีจะซึมลงไปในดินจนปนเปื้อนแหล่งน้ำบาดาล ซึ่งถูกใช้เป็นน้ำประปาของหมู่บ้าน
“เราใช้น้ำบาดาลมาเป็นน้ำประปาหมู่บ้าน เวลาฝังกลบกากอุตสาหกรรมมันมีโอกาสที่สารเคมีจะรั่วซึมลงไปที่น้ำบาดาล เราอาจจะต้องใช้น้ำที่ปนเปื้อนไอ้สารพวกนี้หรือเปล่า เขาประเมินไว้ประมาณ 30,000 ตันในพื้นที่ที่เราตรวจพบ แต่ที่เขาฝังกลบและใช้คอนกรีตหรือสร้างโกดังทับ เรายังไม่ทราบอีกว่ามีเท่าไร” ลุงเอื้อนกล่าว
บ้านแพ้ว แหล่งมะพร้าวน้ำหอม แต่มลพิษแสนเหม็น
ถัดมาจากพื้นที่อำเภอเมือง เราพูดคุยกับ สมคิด บ้านเร่เกาะ คนอำเภอบ้านแพ้ว สมุทรสาคร เกษตรกรสวนมะพร้าวซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษ โดยเฉพาะที่คลองซื่อ คลองหลังบ้านของสมคิดที่มักจะประสบปัญหาน้ำเหม็นเน่าจากการระบายน้ำเสียของโรงงาน
“เวลาเขา (โรงงาน) ระบายน้ำเสียทิ้ง อยากแก้ไขให้มันหาย เพราะว่าร้องเรียนกันหลายทีมันไม่ได้ผล เจ้าหน้าที่ก็มี ไม่เอากันจริงๆ ฝ่ายอุตสาหกรรมจังหวัดมาดูแลเรื่องน้ำเสียให้มันหาย เราไม่ได้ต้องการล้มล้างเขา ขอให้คุณทำให้ดี เราก็อยู่ด้วยกันได้และก็มันก็มีประโยชน์ เขาก็มีประโยชน์ แต่ตอนนี้เขาเข้ามา เขาได้ประโยชน์ เราไม่ได้ประโยชน์ มันฉิบหายหมดเลย กุ้งหอยปูปลาเสียชีวิตหมด” สมคิด กล่าว
สมคิด บ้านเร่เกาะ
สมคิด เสริมว่า สมัยก่อนที่คลองซื่อมักจะมีปลาและหอยในคลองเยอะ รวมถึงปูทะเลด้วย ชาวบ้านสามารถทำประมงพื้นบ้านได้ จับขายหรือเอาไว้ทานเองก็ได้ แต่ตอนนี้ทำไม่ได้แล้ว
“30 ปีก่อนหน้านี้ ที่นี่ยังไม่มีโรงงาน มีเพียงป่า สภาพพื้นที่เดิมเป็นป่าน้ำเค็ม ต้นจาก ป่าโกงกาง ต้นแสม โรงงานเพิ่งเข้ามาเมื่อ 30 ปีที่แล้ว เมื่อก่อนปลากับหอยเต็มคลองเลย หอยกาบ หอยอะไรเต็มเลย พอน้ำไม่ดีหน่อย เสียชีวิตหมดเลย เมื่อก่อนปูทะเลก็เยอะ เพราะเมื่อก่อนน้ำเค็มมันเข้า แต่หลังจากมีการสร้างประตูระบายน้ำ น้ำเค็มก็เข้ามาไม่ถึงพื้นที่” เกษตรกรสวนมะพร้าว กล่าว
สมคิด อธิบายว่า เรื่องหลักที่เขาอยากร้องเรียนคือปัญหาน้ำเสียในพื้นที่คลองซื่อ อย่างไรก็ดี ช่วงหน้าฝนที่ผ่านมา อานิสงส์จากฝนที่ตกลงหนักทำให้น้ำเสียเจือจาง แต่ระหว่างมกราคมจนถึงปลายเดือนเมษายน ซึ่งเป็นฤดูแล้ง ช่วงนั้นการระบายน้ำออกน้อยลง เริ่มมีการกักน้ำ ตอนนั้นปัญหาน้ำเสียจะหนักหนาเป็นพิเศษ
สมคิด บอกว่า น้ำเสียไม่ได้กระทบการดูแลต้นมะพร้าว เนื่องจากมะพร้าวเป็นต้นไม้ที่ค่อนข้างทนทาน เจอน้ำเค็มในระดับหนึ่งก็พอได้ แต่เค็มมากก็ไม่ไหว เจอน้ำเสียก็พอทนได้เหมือนกัน แต่เกษตรสวนมะพร้าวมองว่าสิ่งที่กระทบมากที่สุดคือ “ความแปรปรวนจากสภาพภูมิอากาศ” ที่ทำให้ปริมาณผลผลิตลดลง
เกษตรกรท่าเสา เผชิญปัญหาจาก ‘แฟกตอรี’
ขยับมาในพื้นที่เกษตรกรรม ต.บ้านท่าเสา อ.กระทุ่มแบน ชาวบ้านที่นี่ก็มีปัญหาลักษณะที่คล้ายคลึงกับ อ.บ้านแพ้ว โดยได้รับผลกระทบจากการปล่อยมลพิษของโรงงานทั้งในน้ำและอากาศ
‘นิด’ พัทนันท์ (ขอสงวนนามสกุล) เกษตรกรสวนผลไม้ อายุ 46 ปีและเป็นชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษ บ้านของเธอจะตั้งอยู่ใกล้กับคลองน้อยซึ่งเชื่อมกับคลองบางกรูดก่อนออกแม่น้ำท่าจีน โดยปกติเธอจะพึ่งพิงน้ำจากคลองน้อยเป็นหลักในการทำเกษตรกรรม ทั้งรดน้ำต้นไม้ในสวน หรือสูบน้ำเข้าบ่อปลา
ในฐานะคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่มาตั้งแต่เกิด เธอรู้สึกได้ว่าปัญหาน้ำในคลองเน่าเสียเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการขยายตัวของโรงงานตั้งแต่ปี 2562 เป็นต้นมา
“ถึงขนาดทำมาหากินไม่ได้ อย่างสวนผักจะเห็นได้ชัด เพราะต้องใช้น้ำเยอะ ต้องสูบน้ำมาใช้ตลอด อย่างของพี่เป็นไม้ผล น้ำไม่ดีก็ไม่รดน้ำได้ ไม่เป็นไร แต่อย่างผัก ต้องรดน้ำวันเว้นวัน ต้องสูบน้ำมาใช้แล้ว แต่บางทีน้ำมีกลิ่นน้ำหอม เราสูบน้ำมาไว้ในท้องร่อง ปลาในท้องร่องก็เสียชีวิต ผักก็ใบเหลืองเวลาเอาน้ำที่มีคุณภาพไม่ดีไปรด นี่คือสภาพที่อยู่กัน 5-6 ปีที่ผ่านมา” นิด กล่าว
สมชาย เอี้ยงชะอุ่ม ชาวนาวัย 60 ปีและเป็นประธานกลุ่มผู้ใช้น้ำคลองบางกรูด อ.กระทุ่มแบน เผยว่า เขาก็ได้รับผลกระทบจากน้ำที่เน่าเสียในคลองเช่นเดียวกับบ้านนิด แต่ว่าโชคดีหน่อยว่าบ้านของเขาอยู่ใกล้ประตูระบายน้ำ ห่างจากแม่น้ำท่าจีนไม่ถึง 1 กม. ทำให้เวลาน้ำเสีย เขาจะรอให้ประตูน้ำเปิดเอาน้ำดีดันน้ำเสียออกไป และจะใช้จังหวะที่น้ำดีจากแม่น้ำท่าจีนเข้ามานั้น รีบสูบน้ำเข้ามาใช้ในนา
สมชาย เอี้ยงชะอุ่ม
สมชาย บอกว่า ปัญหาจะหนักในช่วงหน้าแล้ง ตั้งแต่ธันวาคมจนถึงเมษายน เพราะเป็นช่วงที่ฝนตกน้อย ซึ่งเป็นผลมาจากน้ำทะเลในอ่าวไทยหนุนเข้ามาทำให้น้ำในแม่น้ำจีนเค็ม ช่วงเวลานั้นจะไม่มีการเปิดประตูระบายน้ำ ทำให้ไม่มีน้ำดีเข้ามาไล่น้ำเสีย
“ช่วงน้ำเค็ม ประตูระบายน้ำจะปิดทั้งการรับน้ำและทั้งการระบายน้ำเสียออกก็ทำไม่ได้ แต่น้ำเสียมีการปล่อยออกมาตลอด เมื่อไม่มีการระบายน้ำช่วยจึงทำให้น้ำในคลองเน่าเสียหนักมาก กลิ่นน้ำเสียก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
“ถ้าเป็นพวกบ่อกุ้งหรือบ่อปลา เขายิ่งมีผลกระทบมาก เขาจะสูบน้ำเข้าบ่อกุ้ง ทำไม่ได้ ต้องรอเวลารับน้ำจากแม่น้ำท่าจีนเข้าบ่อกุ้ง” ชาวนา อายุ 60 ปี กล่าว
นิด เปรยว่า เธอก็อยากย้ายไปอยู่ที่อื่นเหมือนกัน แต่ว่าที่ดินที่อยู่ ณ ปัจจุบันเป็นมรดกของตาและยาย ซึ่งเธออยู่มาตั้งแต่เกิด ต้นไม้แต่ละต้นเธอเป็นคนปลูกด้วยตัวเอง เลยตัดใจยาก ยอมอดทนอยู่ต่อ แต่ตอนนี้ก็เสียทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิต แม้ว่าเดิมตัวเองเป็นคนที่แข็งแรง และรักษาสุขภาพก็ตาม
“ตอนนี้มีโรคเกี่ยวกับเลืoด เป็นลมพิษเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันตก เพราะจากมลภาวะ หมอเขาระบุมาเลย ทั้งที่พี่เป็นคนดูแลตัวเองพอสมควร รักษาเลืoดเป็นพิษก็รักษาอยู่หลายเดือนเลย” นิด กล่าว
พ.ร.บ.โรงงาน ปัจจัยหนุน ‘โรงงานกากกาก' ขยายตัว
เมื่อสอบถามถึงปัญหาในพื้นที่ ต.บ้านท่าเสา นิดให้ความเห็นว่า หนึ่งในสาเหตุหลักมาจาก ‘แฟกตอรี‘ ที่ไม่มีเครื่องมือ และมาตรฐานการบำบัดมลพิษ
เพื่อให้เข้าใจว่า ‘แฟกตอรี' คืออะไร ดาวัลย์ จันทรหัสดี สมาชิกมูลนิธิบูรณะนิเวศ อธิบายว่า มันคือโกดังที่เอามาทำเป็นโรงงานอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ โดยแฟกตอรีบางแห่ง อาจไม่มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน หรือเทคโนโลยีสำหรับมลพิษที่เกิดจากการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรม
แต่ปัญหาของแฟกตอรีอาจต้องเท้าความไปยัง พ.ร.บ.โรงงาน ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เมื่อปี 2562 ซึ่งเป็นปีที่มีการกำหนดนิยามการตั้งโรงงานใหม่
“การนำเครื่องจักรสำหรับการประกอบกิจการโรงงานมาติดตั้งในอาคาร สถานที่ หรือยานพาหนะที่จะประกอบกิจการโรงงาน หรือนำคนมาประกอบกิจการโรงงานในกรณี ที่ไม่มีการใช้เครื่องจักร”
จากเดิมที่กำหนดว่า “การก่อสร้างอาคารเพื่อติดตั้งเครื่องจักรสำหรับประกอบกิจการโรงงาน…”
ดาวัลย์ อธิบายว่า นิยามใหม่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน หรือใบ รง.4 จากเดิมบังคับให้ผู้ประกอบการต้องขอใบ รง.4 ก่อน และถึงค่อยเริ่มสร้างอาคาร กลายเป็นขั้นตอนใหม่ บุคคลทั่วไปหรือนิติบุคคลที่ต้องการจะ ‘ตั้งโรงงาน' สามารถก่อสร้างอาคารก่อนหรืออยู่ระหว่างก่อสร้างก็ได้ ถึงจะไปขอใบ รง.4 กับกรมโรงงานฯ หรืออุตสาหกรรมจังหวัด
ดาวัลย์ ยกตัวอย่างว่า สมมติเราอยากตั้งโรงงาน เราสามารถที่จะปลูกสร้างอาคาร พร้อมกับการขอใบ รง.4 หรือสร้างอาคารเสร็จแล้วจากนั้นค่อยไปขอใบ รง.4 เพื่อเอาเครื่องจักรเข้าไปติดตั้งในอาคารหรือสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
หลังจากก่อสร้างอาคารแล้ว เจ้าของอาคารแทนที่จะประกอบกิจการโรงงานด้วยตัวเอง พวกเขาสามารถเอาตัวโกดังหรืออาคารไปปล่อยเช่า ให้เช่าซื้อ หรือขายให้คนที่สนใจจะมาประกอบกิจการโรงงานต่อ โดยอาจจะมาเป็นแพ็กเกจอาคารพร้อมกับใบ รง.4 ดังนั้น ผู้ที่มารับช่วงต่อก็ได้ความสะดวก ได้ทั้งที่ดินและไม่ต้องไปวิ่งขอใบ รง.4 ด้วยตัวเอง
คลองในตำบลท่าเสา อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เมื่อ 4 พ.ย. 2568
บางครั้งจะเห็นว่ามีคนที่สร้างอาคารหรือโกดังหลายๆ อาคารในที่ดินแปลงเดียวกัน และขอใบ รง.4 หลายใบ โดยอาจจะเป็น 1 ใบต่อ 1 อาคาร เพื่อเอาไปขายให้ผู้ประกอบการคนอื่น และช่วงที่ผ่านมาเรื่องนี้ยังถูกใช้เป็นช่องทางของผู้ประกอบธุรกิจชาวจีนในการเข้ามาตั้งโรงงานรีไซเคิลในประเทศไทย
ยกตัวอย่าง ปัญหาของตำบลคลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เจ้าของฉายา ‘อาณาจักรโรงงานรีไซเคิลทุนจีนเถื่อน’ มีเนื้อที่จำนวน 88 ไร่ มีอาคารประมาณ 30 หลัง โดยมี 3 บริษัทที่เข้ามาเช่าพื้นที่ ประกอบด้วย บ.อิฟง จำกัด บ.ไทยฟุง 2020 จำกัด และ บ.ชุนฟุงฮง จำกัด โดยประกอบกิจการประเภทหล่อหลอม (ประเภทที่ 59) และทำหลุมฝังกลบขยะของเสียที่ไม่เป็นอันตราย (ประเภทที่ 105) โดยทั้ง 3 บริษัท มีกรรมการผู้จัดการคนเดียวกัน ชื่อ ‘หม่า ย่า เผิง' เป็นชาวจีน
ไม่มีกฎหมายควบคุมการก่อสร้างโรงงาน
ตัวแทนจากมูลนิธิบูรณะนิเวศ ระบุว่า ปัญหาของสิ่งปลูกสร้างที่เป็นโกดังก็คือ ไม่มีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการบำบัดมลพิษ เหตุที่เป็นเช่นนี้ส่วนหนึ่งมาจากการในประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายที่ควบคุมการก่อสร้างอาคารโรงงาน ไม่ว่าจะใน พ.ร.บ.โรงงาน หรือในกฎหมายอื่นๆ ที่จะมาบังคับว่าต้องก่อสร้างอาคารโรงงานอย่างไร
ดาวัลย์ เผยว่า ก่อนหน้านี้เคยมีการเสนอไปกับทีมสุดซอย ว่าควรจะมีมาตรการควบคุมการก่อสร้างโรงงาน เช่น ต้องมีข้อกำหนดว่าถ้าโรงงานทำงานเสียงดัง ต้องทำผนังสูงเท่าไร หรือต้องใช้วัสดุอะไรในการก่อสร้าง เมื่อมันไม่มีมาตรฐานการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม ก็เลยมีการเอาโกดังมาใช้เป็นโรงงานจำนวนมากโดยเฉพาะช่วงหลังปี 2562 และกลายเป็นปัญหามลพิษตามมา
อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยตอนนี้รัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศยุบสภาฯ ไปแล้ว ทำให้ไม่สามารถเข้าไปแก้ไข พ.ร.บ.โรงงาน หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้ แต่ดาวัลย์ มองว่า อย่างน้อยทางภาครัฐอาจจะใช้อำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อแก้ไขสถานการณ์ไปพลางก่อน
นอกจากปัญหาข้างต้น มนตรี อุดมพงษ์ ผู้สื่อข่าว รายการข่าว 3 มิติ ได้เขียนข้อความช่วงก่อนการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สะท้อนปัญหาการตรวจสอบและตั้งโรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะการคอรัปชันแบบ “จ่ายก็จบ” ทำให้การตรวจสอบการสร้างอาคารถูกละเลย เพราะทุกขั้นตอนการขออนุญาตมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด ถ้าไม่จ่ายก็จะถูกดองเค็ม
“ถ้าคุณจ่ายทุกอย่างจะผ่านไปเร็วมาก ไม่ว่าจะเป็นแบบแปลน การอนุญาตถมดิน หรือการติดตั้งเครื่องจักร ถ้าคุณจ่าย ไม่จำเป็นต้องตรวจ” มนตรี ระบุ
รู้ไว้ใช่ว่า การขออนุญาตตั้งโรงงานมีกี่ขั้นตอน
สำหรับการอนุญาตของตั้งโรงงานประกอบด้วย 2 ขั้นตอนหลักๆ คือ 1. ขั้นตอนที่ต้องขออนุญาตก่อสร้างอาคารกับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) / เทศบาล และ 2. ขั้นตอนการขอใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง. 4)
|
|
| ขออนุญาตปรับสภาพพื้นที่ โดยการไปขออนุญาตขุดดินถมดิน ตาม พ.ร.บ.ขุดดินถมดิน | เมื่อเริ่มสร้างอาคาร บุคคลทั่วไป/นิติบุคคล (บริษัท) สามารถยื่นขออนุญาตประกอบกิจการโรงงาน (รง.4) |
| ขออนุญาตก่อสร้างอาคาร โดยการไปขออนุญาตก่อสร้างอาคารตาม พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร | ติดประกาศรับฟังความคิดเห็นโดยกำหนดวันสิ้นสุดการรับฟัง 15 วัน โดยมีข้อกำหนดว่า ต้องติดประกาศ 4 จุดด้วยกัน 1. อุตสาหกรรมจังหวัดในท้องที่ที่สถานประกอบการตั้งอยู่ 2. ที่ว่าการอำเภอที่โรงงานตั้งอยู่ 3. ที่ทำการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 4. สถานที่ตั้งโรงงาน หากไม่มีชาวบ้านมาคัดค้านการขอใบประกอบกิจการโรงงาน จะถือว่าชุมชนอนุญาตให้มีการทำโรงงานในพื้นที่ได้ |
| ติดประกาศสรุปฟังความคิดเห็น เพื่อเสนอต่อผู้พิจารณาออกใบอนุญาต | |
| กรมโรงงาน/อุตสาหกรรมจังหวัดจะเป็นคนตัดสินใจว่าจะออกใบอนุญาตฯ ให้หรือไม่ |
ยุติต่ออายุ รง.4 ทุก 5 ปี อีกปัจจัยขยายปัญหามลพิษ
นอกจากไม่มีกฎหมายควบคุมการก่อสร้างอาคารแล้ว พ.ร.บ.โรงงาน ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม เมื่อปี 2562 มีการยกเลิกการต่ออายุใบอนุญาตกิจการโรงงาน (รง.4) จากเดิมที่ต้องต่ออายุทุก 5 ปี แต่ พ.ร.บ.โรงงานปัจจุบันไม่มีการกำหนดให้ต่ออายุใบ รง.4
ดาวัลย์ กล่าวว่า ทุกครั้งที่จะครบกำหนดต่ออายุทุก 5 ปี เจ้าของโรงงานจะปรับปรุงตัวอาคาร ปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสีย เมื่อระบบดีขึ้นแล้ว มาตรฐานดี ระบบเครื่องจักรดี เจ้าหน้าที่ก็จะต่ออายุให้ แต่เมื่อไม่มีการต่ออายุ ก็ทำให้ระบบตรวจสอบมาตรฐานหละหลวม โรงงานก็จะปล่อยปละละเลยการบำรุงเครื่องจักร หรือระบบบำบัดน้ำเสีย
“เมื่อขยายเวลาการต่ออายุไปยาวๆ ก็จะทำให้เจ้าของโรงงานปล่อยปละละเลย เครื่องจักรก็เก่า เลยจาก 5 ปีระบบบำบัดเป็นอย่างไร ระบบเสียง ระบบอื่นๆ มันไม่มีการตรวจเพื่อต่ออายุ” ดาวัลย์ กล่าวพร้อมระบุว่า ในบริบทของสมุทรสาคร เคยเป็นพื้นที่โรงงานอุตสาหกรรมเก่ามาก่อน ทำให้มีเครื่องจักรเก่าจำนวนมาก พอปลดเรื่องการต่ออายุก็ทำให้ปัญหามลพิษมันหนักขึ้นด้วย
ขณะที่ ‘นิด' ชาวสวนผลไม้ อายุ 46 ปี ชี้ว่า บางกรณีก็เป็นปัญหาของผู้ประกอบการที่ตั้งใจปล่อยมลพิษ สมมติบางโรงงานที่เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจ ก็พบว่ามีระบบเครื่องกรองอากาศ หรือระบบบำบัดน้ำเสีย แต่ว่าไม่เปิดใช้โดยอ้างว่ามีค่าใช้จ่ายที่สูง
‘นิด' พัทนันท์
“โรงผลิตเม็ดพลาสติก ช่วงกลางคืนตี 1 ตี 2 เขามีที่ดูดอากาศแต่กลางคืนเขาปิด มลพิษมันก็จะกระจายเต็มไปหมด คนที่หายใจหายใจไม่ออก เพราะแน่นหน้าอก
“บางแฟกตอรี เขามีระบบบำบัดน้ำที่สร้างขึ้นมาเองก็จริง เวลาเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบเขาก็มีแสดงให้ดู แต่เวลาใช้จริง เขากลับไม่บำบัด และเทลงท่อเลย” นิด เสริม
ชาวสวนวัย 46 ปี มองว่า แนวโน้มในอนาคตปัญหาน่าจะหนักขึ้น เพราะว่าตอนนี้พื้นที่ใกล้เคียงมีการเอาโกดังที่ใช้ซื้อและเก็บสินค้า มาทำเป็นโรงงานมากยิ่งขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการชาวจีนที่มาลงทุน
ชาย : “พี่มาเจอะคนงาม คนงาม มาเที่ยวดาวคะนอง
หญิง : นับว่าเป็นบุญของน้องมาพบ พี่ที่ทักน้องก่อน
ชาย : อยากไปอยู่จังที่สมุทรสาคร
หญิง : ที่พี่เว้าวอน พูดมากลัวไม่จริง”
ได้ฟังประเด็นปัญหาข้างต้น ไม่ค่อยจะแน่ใจนักว่า ชาวนาจากอีสานจะยังมีความคิดที่จะมาอยู่อาศัยที่สมุทรสาครกับยุพินอีกหรือไม่ เพราะปัญหาโรงงานอุตสาหกรรมและมลพิษมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ชาวนาจากกาฬสินธุ์ตามเนื้อเพลงนี้ยังมีเวลาคิดอีกสักนิด เพราะว่าในตอนต่อไป เราจะพาสำรวจแนวทางการแก้ไขทั้งจากภาคประชาสังคมและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ไปจนถึงการออกมารวมตัวกันของประชาชนในการแก้ไขปัญหาบ้านเกิดที่เขาหวงแหน












