
หลังจากพอล แชมเบอร์สถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา จากกรณีที่กองทัพภาคที่ 3 นำภาพข้อความจากคำเกริ่นนำงานเสวนาเรื่องการปรับโยกย้ายตำแหน่งภายในกองทัพไทยที่ปรากฏอยู่บนเว็บไซต์ของสถาบันเอเชียศึกษา ISEAS-Yusof Ishak ของสิงคโปร์แจ้งความดำเนินคดีจนถึงกับมีหมายจับจากศาลจังหวัดพิษณุโลกมาถึงเขาโดยที่ไม่เคยมีหมายเรียกรับทราบข้อกล่าวหาจากตำรวจมาก่อน
ถึงพอลจะเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาด้วยตนเองและอธิบายโดยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าข้อความในเว็บไซต์นั้นเขาไม่ได้เป็นผู้เขียนด้วยตนเอง แต่ศาลก็สั่งให้ขังระหว่างการสืบสวนของตำรวจโดยไม่ให้ประกันจนต้องส่งกันไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาถึงให้ประกันพร้อมกับถูกถอนวีซ่า และเหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมหาวิทยาลัยต้นสังกัดที่ด่วนเลิกจ้างทั้งที่คดียังไม่ถึงที่สุดว่าตกลงพอลได้ทำความผิดตามข้อกล่าวหาแล้วหรือไม่
แม้สุดท้ายการดำเนินคดีกับพอลครั้งนี้อาจจบลงด้วยการที่ทั้งอัยการภาค 6 และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอาจเห็นตรงกันว่าให้สั่งไม่ฟ้อง แต่ก็เกิดขึ้นท่ามกลางบริบททางการเมืองที่มีทั้งปัญหาที่ไทยกำลังเผชิญกับกำแพงภาษีของทรัมป์ ไปจนถึงท่าทีของสหรัฐฯ ที่แสดงความชัดเจนต่อการดำเนินคดีกับพอลผ่านคำแถลงของกระทรวงการต่างประเทศ ทำให้มีคำถามตามมาว่าหากไม่เกิดแรงกดดันมหาศาลขนาดนี้ผลทางคดีจะเป็นอย่างไร
เมื่อเป็นเช่นนี้การสั่งไม่ฟ้องพอล อาจไม่ได้ทำให้บรรยากาศความหวาดกลัวในสังคมและแวดวงวิชาการจากการใช้มาตรา 112 ที่เหมือนกับเพดานจะหล่นลงมามากกว่าเดิมหายไปไหน โดยสะท้อนผ่านคดีของพอลที่ถูกดำเนินคดีเพียงเพราะข้อความที่เจ้าตัวยืนยันว่าไม่ได้เขียนเองแล้วเนื้อหาที่ว่าก็เป็นเพียงการพูดถึงการโยกย้ายกำลังพลเท่านั้น และยังไม่นับว่าปัจจุบันสถิติผู้ต้องขังคดีมาตรา 112 ที่ยังเพิ่มเรื่อยๆ ถึง 31 คน จากผู้ถูกดำเนินคดีทั้งหมดอย่างน้อย 281 คน ใน 313 คดีหลังระลอกการใช้มาตรา 112 รอบล่าสุดที่เริ่มมาตั้งแต่พฤศจิกายน 2563
แต่ในระหว่างที่พอลต้องเผชิญกับความวิบากของกระบวนการยุติธรรมไทยและความเงียบงันของแวดวงวิชาการไทย ยังมี คัทซึยูกิ ทาคาฮาชิ อาจารย์ประจำสถานประชาคมอาเซียนศึกษาของมหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อนนักวิชาการชาวญี่ปุ่นในที่ทำงานเดียวกันที่ไม่เพียงแต่ส่งเสียงผ่านทางโซเชียลมีเดียของตัวเองแต่ยังไปถือป้ายประท้วงเรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดีและการใช้กลไกต่างๆ เพื่อขับไล่พอลออกจากงานและประเทศนี้ทั้งที่หน้ารัฐสภาในกรุงเทพฯ ที่ ตม.และที่หน้ามหาวิทยาลัยนเรศวรที่เป็นทั้งที่ทำงานของเขาและพอลด้วย
ทาคาฮาชิผลิตงานวิชาการส่วนใหญ่เป็นภาษาญี่ปุ่น และความสนใจเรื่องการเมืองไทยของเขาเริ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อ 40 ปีที่แล้วระหว่างเป็นนักศึกษาเข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนมาที่ประเทศไทยเพื่อศึกษาเหตุการณ์ฆ่-าล้างเผ่าพันธุ์ของพลพต ทำให้ได้รับรู้ถึงขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นในไทยช่วงสงครามเอเชียบูรพาอย่าง “เสรีไทย” จนทำให้ต่อมาเขาเลือกทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเรื่อง กบฏสันติภาพในประเทศไทย
“ผมเป็นหนี้บุญคุณเมืองไทย ผมรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อทราบว่าคนไทยจำนวนมากเสี่ยงชีวิตเพื่อสันติภาพ ประชาธิปไตย และความยุติธรรม และผมอยากให้คนญี่ปุ่นได้รับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ”
ปล่อยให้ กรณี “พอล” กลายเป็นบรรทัดฐานไม่ได้
“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ถ้าผมไม่รู้จักอ.พอล ผมคงแค่สนับสนุนเขาทางจิตใจเท่านั้น เราอยู่ภาควิชาเดียวกันและห้องทำงานของเราก็อยู่ติดกัน และถ้าเลิกจ้างอ.พอลแล้ว ผมก็จะมีภาระงานหนักขึ้น นิสิตซึ่งมีอาจารย์พอลเป็นที่ปรึกษาคงหลงทาง อ.พอลเป็นนักรัฐศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก ถ้าเลิกจ้างอ.พอลแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นกับนิสิต แม้จ่ายค่าเล่าเรียนแพงและเสียเวลาแต่ ความหวังในการได้รับปริญญาจะสูญสิ้นไปครับ แล้วนิสิตของเขามีทั้งชาวอเมริกัน ชาวจีน ชาวฝรั่งเศส และชาวพม่าครับ” เพื่อนของพอลกล่าว
ทาคาฮาชิบอกว่า ส่วนตัวเขาไม่มีทั้งความรู้ทางกฎหมาย ไม่มีอำนาจหรือเงินทองอะไรที่จะมาต่อสู้ในเรื่องนี้ แม้ว่าอาจจะมีวิธีการอื่นที่อาจจะดีกว่าแต่เขาทำได้เพียงวิธีที่เรียบง่ายเช่นการเอาป้ายมาแขวนคอที่อาจไม่เกิดผลอะไร แต่ยอมให้เหตุการณ์นี้กลายเป็นบรรทัดฐานที่ไม่ดีต่อไปไม่ได้ เพราะสิ่งนี้อาจนำไปสู่ภัยคุกคามต่อเสรีภาพทางวิชาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป จึงต้องต่อต้านมันในขณะที่ยังทำได้ก่อนที่จะสายเกินไป
“ผมยังมีความปรารถนาที่จะทำบางสิ่งบางอย่างง่าย ๆ เพื่อมนุษย์และสังคมด้วยก่อนที่จะเสียชีวิต ผมใกล้จะเกษียณแล้วและไม่มีอะไรจะเสีย มันช่วยไม่ได้หากผู้คนบอกว่ามันเป็นเพียงการรณรงค์ เมื่อตอนเด็กๆ ผมเคยดูละครโทรทัศน์มดแดงและอุลตร้าแมน และอยากจะเป็นฮีโร่หรือผู้พิทักษ์ความยุติธรรม ความยุติธรรมต้องชนะครับ”
อำนาจทางการเมืองกำลังคุกคามเสรีภาพวิชาการ
ทาคาฮาชิมองว่าไม่เพียงแต่เรื่องตัวกฎหมายมาตรา 112 เท่านั้น แต่การใช้อำนาจทางการเมืองมาคุกคามเสรีภาพทางวิชาการก็เป็นเรื่องน่ากลัวเช่นกัน
เขายกกรณีเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นที่ถึงแม้เขาจะตระหนักว่ามีบริบทที่ต่างกันกับไทย แต่ปัญหาเรื่องเสรีภาพทางวิชาการในญี่ปุ่นกำลังถูกคุกคามเช่นกันหลังจากรัฐสภาญี่ปุ่นพิจารณาร่างกฎหมายใหม่เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. 2568 เพื่อเปลี่ยนสภาวิทยาศาสตร์แห่งประเทศญี่ปุ่น หรือ SCJ หรือที่เรียกว่า “สภานักวิชาการ” ที่ปัจจุบันเป็นอิสระจากรัฐบาลมีสมาชิกสภา 210 คน และสมาชิกสมทบอีกกว่า 2,000 คน มาเป็นองค์กรอิสระที่ดำเนินการภายใต้เขตอำนาจของนายกรัฐมนตรี
เขาเล่าว่าร่างกฎหมายฉบับนี้ของญี่ปุ่นยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้วยว่าความเป็นอิสระของ SCJ จะถูกคุกคาม และการจำกัดการวิจัยทางทหารจะไม่ถูกจำกัดอีกต่อไป และกำลังทำให้ประเทศกลับเข้าสู่สงครามได้ จนมีประชาชนที่รับรู้ถึงวิกฤตนี้แล้วออกมาประท้วงที่หน้าอาคารรัฐสภาเพื่อเรียกร้องให้ยกเลิกร่างกฎหมายดังกล่าว
ทาคาฮาชิอธิบายว่า SCJ ที่ก่อตั้งขึ้นมาเมื่อปีพ.ศ.2492 (ค.ศ.1949) หลังสงครามโลกครั้งที่สองจบลง เดิมทีถูกออกแบบและตั้งขึ้นมาให้เป็นอิสระจากรัฐบาลเพราะการทบทวนถึงความจริงที่ว่านักวิทยาศาสตร์ได้ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการทำสงครามก่อนและช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา SCJ จึงตัดสินใจไม่ทำการวิจัยทางทหาร ภารกิจของ SCJ ก็คือการให้คำแนะนำทางนโยบายระดับชาติจากมุมมองทางวิทยาศาสตร์ แต่ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2563 รัฐบาลยังปฏิเสธการแต่งตั้งนักวิชาการ 6 คนที่มีศักยภาพพอที่จะเป็นสมาชิกสภาเพราะก่อนหน้านั้นคนเหล่านี้เคยออกมาคัดค้านกฎหมายที่เกี่ยวกับความมั่นคง และหากร่างกฎหมายที่จะดึง SCJ ไปอยู่ภายใต้การกำกับของรัฐบาลผ่าน นักวิชาการที่ต่อต้านรัฐบาลก็อาจไม่ได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาได้ และนี่คือการแทรกแซงทางการเมืองต่อเสรีภาพทางวิชาการ
สำหรับกรณีของไทย ทาคาฮาชิมองว่า คนจำนวนมากเริ่มเชื่อว่าเสียงของตนสามารถเปลี่ยนแปลงการเมืองได้นับตั้งแต่ยุคที่ไทยมีประชาธิปไตยในสมัยรัฐบาลทักษิณ (2544-2549) อย่างไรก็ตาม หลังการรัฐประหารปี 2557 ทำให้เกิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนต้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไปในทิศทางที่เป็นประชาธิปไตย และให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนมากขึ้น จนต่อมายังมีพรรคการเมืองสายก้าวหน้าเกิดขึ้น แต่การเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็ส่งผลทำให้เกิดปฏิกิริยาจากกลุ่มอนุรักษ์นิยมต่อเรื่องนี้คือการใช้มาตรา 112 เพื่อปกป้องผลประโยชน์ตัวเองตามมา
อย่างไรก็ตาม ในกรณีพอลจากข่าวก็จะเห็นว่ากองทัพเข้ามามีบทบาทจากการที่กองทัพภาคที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการแจ้งความต่อ สภ.เมืองพิษณุโลกให้ดำเนินคดีกับพอลจากข้อความเกริ่นนำของงานเสวนาที่พูดถึงเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารที่มีสถาบันกษัตริย์เข้ามาเกี่ยวข้อง
เรื่องนี้ทาคาฮาชิมองว่า โดยทั่วไปกองทัพในนานาประเทศคือการปกป้องเอกราชและอำนาจอธิปไตยจากการรุกรานของประเทศอื่น แต่เห็นได้ชัดว่ากองทัพไทยเข้ามามีบทบาทในการเมืองภายในประเทศอย่างมาก เช่น กรณี พอล คือตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า กองทัพผันตัวเองมามีบทบาททางการเมืองและกลายเป็นคู่ปะทะกับประชาชนและนักวิชาการ ในการละเมิดเสรีภาพ โดยเฉพาะงานวิจัยกองทัพของพอล แม้เขาไม่ได้ทำวิจัยเรื่องสถาบันกษัตริย์โดยตรงแต่กลับมีคนใช้มาตรา 112 เป็นเครื่องมือเพื่อที่จะทำให้พอลเลิกทำงานวิจัยเกี่ยวกับกองทัพ เพราะพอลได้เปิดมุมมองใหม่ด้านวิจัยกองทัพ และช่วยให้สังคมรู้ถึงสิ่งที่อาจไม่เคยรู้มาก่อนว่า กองทัพไทยทำธุรกิจซึ่งไม่ใช่หน้าที่หลักและเรื่องนี้อาจทำให้กองทัพโกรธและเกลียดชังพอล
“การดำเนินคดีอ.พอล เป็นสิ่งที่ไม่ปกติ และแน่นอนว่าช่วงเวลาดำเนินคดีมีกระทบต่อผลประโยชน์ของชาติในการเจรจากับสหรัฐฯ ในเรื่องภาษีศุลกากร พวกเขาไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อการเจรจาเรื่องภาษี” ทาคาฮาชิแสดงความเห็นต่อคำถามถึงกระแสข่าวที่ประเมินว่าการดำเนินคดีกับพอลด้วยมาตรา 112 จะกระทบต่อการเจรจาเรื่องภาษีกับสหรัฐฯ
สร้างความกลัวที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของความจริง
ทาคาฮาชิมองว่าผลจากการดำเนินคดีกับพอลครั้งนี้จะส่งผลกระทบใหญ่มากต่อแวดวงการศึกษาวิจัยเพราะไม่รู้ว่าการทำวิจัยจะกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมายจนอาจถูกจับกุมและคุมขังเมื่อไหร่
“มันทำให้เรากลัวและขัดขวางไม่ให้เราเข้าถึงแก่นแท้ของความจริง นักวิจัยชาวต่างชาติอาจจะไม่กล้าทำวิจัยการเมืองไทยเพราะกลัวจะถูกห้ามเข้าประเทศไทยได้ คุณภาพงานวิจัยของเราจะลดลง เพราะเราไม่รู้ว่าควรเขียนอะไรและเขียนได้มากแค่ไหน เรื่องนี้ยังส่งผลกระทบทางสังคมอย่างมากอีกด้วย การมีส่วนสนับสนุนทางสังคมของวงการวิชาการอ่อนแอลง อำนาจการเมืองสามารถแทรกแซงวงการวิชาการได้ และความสามารถในการตรวจสอบอำนาจรัฐของวงการวิชาการก็ไม่มีประสิทธิภาพ”
อย่างไรก็ตาม แม้แวดวงวิชาการไทยอาจจะดูเงียบเชียบหลังเกิดเหตุมีเพียงนักวิชาการบางส่วนที่แสดงจุดยืนต่อต้านคัดค้านการดำเนินคดีกับพอลแต่ไม่ปรากฏการณ์ร่วมกลุ่มเพื่อออกมาเรียกร้องอย่างชัดเจนนัก ไปจนถึงมหาวิทยาลัยต้นสังกัดของพอลถึงกับเลิกจ้างพอลตั้งแต่วันแรกๆ ที่พอลต้องเผชิญกับการดำเนินคดีทั้งที่ยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ในทางกฎหมายและเรื่องที่ทำให้โดนคดียังเกี่ยวกับประเด็นทางวิชาการอีกด้วย
ทาคาฮาชิเล่าว่าเรื่องการเลิกจ้างพอลมีความเกี่ยวข้องกับการเมืองภายในของมหาวิทยาลัยเองด้วย แต่ก็มีอาจารย์หลายคนที่ส่วนตัวแล้วสนับสนุนและให้กำลังใจพอลอยู่ และให้ความช่วยเหลือทางกฎหมาย เป็นต้น แต่พวกเขาอาจคิดว่าการแสดงความคิดเห็นอาจไม่เกิดประโยชน์หรือพวกเขาหวาดกลัวต่ออำนาจรัฐที่ยิ่งใหญ่หรือมีทางเลือกอื่นหรือไม่ และพวกเขาอาจคิดว่าการลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งจะเปลี่ยนสังคมได้แต่คงต้องใช้เวลา
“ผมคิดว่ามีอาจารย์หลายคนที่คิดว่าการไล่ออก อ.พอลครั้งนี้ไม่ยุติธรรม แต่การแสดงออกหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา หากเราลงคะแนนแบบลับ ผลที่ได้จะสนับสนุนอ.พอลมากกว่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าพวกเขาจะแสดงออกสนับสนุนอ.พอล พวกเขาก็อาจจะสงสัยว่าจะมีผลดีมากแค่ไหนหรือมีแต่ความเสี่ยง”
ที่มา ประชาไท ( prachatai.com )