
“จะทำอะไรก็ระแวง – อยากให้มันจบสักที” เสียงสะท้อนผู้อพยพในสถานการณ์สู้รบชายแดนไทย-กัมพูชา

ที่มาของภาพ : Wasawat Lukharang/ BBC Thai
- Author, นงนภัส พัฒน์แช่ม
- Draw, ผู้สื่อข่าว.
“อยู่ตรงนี้ไม่ย่าน (ไม่กลัว)… อยู่บ้านย่าน” ผู้สูงอายุที่ศูนย์อพยพแห่งหนึ่งใน อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี บอกกับ. โดยข้างตัวเธอมีตะกร้าหมากพลู
เธออพยพมาพร้อมกับคนในหมู่บ้านเดียวกันใน อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 7 ธ.ค. ผู้สูงอายุ เด็ก และสตรีในหมู่บ้าน อพยพออกมาตามคำสั่งของผู้นำชุมชน ขณะที่ผู้ชายบางส่วนยังคงอยู่เฝ้าข้าวของ และบางคนก็เป็นชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน (ชรบ.) ที่ต้องอยู่ลาดตระเวน
ช่วงบ่ายวันที่ 10 ธ.ค. ศูนย์อพยพแห่งนี้ที่มีลักษณะเป็นโถงอาคารโล่งกว้าง มีผู้พักอาศัย 257 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็ก 70 คน และผู้สูงอายุ 30 คน พวกเขานอนบนเสื่อที่เทศบาลจัดหาไว้ให้ และบางคนที่มีเต็นท์หรือเปลก็นำมากางนอน มีพัดลมหลายตัวช่วยระบายความร้อน
ขณะที่.ลงพื้นที่ บรรยากาศในอำเภอดูเงียบสงบ และในศูนย์อพยพก็ไม่ได้ยินเสียงการสู้รบใด ๆ แต่คนที่พักอาศัยที่นี่เล่าให้เราฟังว่า ช่วงกลางคืนที่ผ่านมายังได้ยินเสียงsะเบิดดังอยู่บ้าง
บรรดาผู้สูงอายุที่นี่ที่.ได้พูดคุยด้วย แม้ต้องอยู่ห่างไกลบ้านในสถานที่เปิด และต้องนอนบนพื้นแข็ง ๆ แต่พวกเธอไม่ได้รู้สึกว่าการต้องมาอยู่ที่ศูนย์อพยพเป็นเรื่องที่ยากลำบากนัก ที่นี่มีอาหารให้สามมื้อ ซึ่งกับข้าวก็ “กินได้” มีน้ำไฟให้ใช้ มีห้องน้ำให้อาบน้ำและทำธุระส่วนตัว
สิ่งที่พวกเธอเป็นห่วงคือลูกหลาน และสามีที่ยังอยู่ที่บ้านมากกว่า พวกเขาส่วนหนึ่งยืนกรานจะไม่อพยพเพราะจะเฝ้าข้าวของและสัตว์เลี้ยง ขณะที่อีกส่วนก็เป็นหน้าที่ เพราะเป็นผู้นำชุมชนบ้าง หรือเป็น ชรบ. บ้าง

ที่มาของภาพ : Wasawat Lukharang/ BBC Thai
“เพิ่นว่ายิvกันอยู่ไส ที่แรกภูผาเหล็กบ่ครับ เริ่มแรกวันที่ 7 แล้วหอกระจายข่าว (เสียงตามสาย) ผู้ใหญ่บ้านก็เลยประกาศอพยพเลย” รังสรรค์ อั้งดา เกษตรกรวัย 50 ปี เล่าให้.ฟังว่าการอพยพในรอบนี้ยังถือว่ามีเวลาเตรียมตัว เพราะผู้นำชุมชนสั่งอพยพตั้งแต่เริ่มมีรายงานการปะทะกันด้วยปืนเล็กที่ภูผาเหล็ก จ.ศรีสะเกษ และการปะทะยังไม่ลามมาถึงในหมู่บ้านของเขาที่ อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ทำให้ยังพอได้มีเวลาเก็บข้าวของที่จำเป็น อาทิ เสื้อผ้า ผ้าห่ม ยา สิ่งของประจำตัว และ “มารวย” แมวอายุ 3 ปีที่พิการขาหน้าขาดตั้งแต่กำเนิด
รังสรรค์เล่าว่าตอนที่พามันอพยพมา เจ้ามารวย “ก็ฮ้องนะครับ เพราะว่าน้องบ่เคยขี่รถ มันขี่รถนาน ๆ ที เพิ่นก็ตกใจ” เขาอยู่ที่ศูนย์อพยพแห่งนี้กับภรรยาและเครือญาติกว่า 10 คน .พบว่าคนในศูนย์อพยพดูจะรู้จักคุ้นเคยกันดี ซึ่งนายกเทศมนตรีที่ดูแลศูนย์อพยพแห่งนี้เปิดเผยว่า เป็นนโยบายของทางจังหวัดที่จัดให้ผู้อพยพในหมู่บ้านเดียวกันอยู่ด้วยกัน และแยกหมู่บ้านไปตามแต่ละศูนย์อพยพเพื่อไม่ให้แออัด
Skip ได้รับความนิยมสูงสุด and proceed studyingได้รับความนิยมสูงสุดEnd of ได้รับความนิยมสูงสุด

ที่มาของภาพ : Wasawat Lukharang/ BBC Thai
แม้สถานการณ์ตอนที่มีการประกาศให้อพยพในครั้งนี้จะดีกว่าครั้งก่อนที่มี “เสียงปืนดังตามหลัง” แต่ผลกระทบที่ชาว อ.น้ำยืน ในศูนย์อพยพแห่งนี้หลายคนเผชิญ คือพวกเขาอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวผลผลิตมันสำปะหลัง ซึ่งเป็นรายได้หลักของหลายคนในหมู่บ้าน และช่วงเวลานี้มีเพียง 1-2 ครั้งต่อปี
“เสียหายหลาย เพราะว่ากิโลหนึ่งมันก็ 2 บาทแล้วเนาะครับ ไร่หนึ่งมันก็ตกประมาณ 3 ตัน 3 ตันกว่า ๆ เพิ่นไถไว้จังซี่มันก็เก็บไว้นะ ประมาณ 2 ไร่อยู่ ผมก็เสียหายเบิด” รังสรรค์เล่า เขาบอกว่ามันสำปะหลังที่เขาขุดไว้และกลับเข้าไปทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้มันเน่านั้น มีมูลค่าหลักหมื่นบาท
“เสียหายครับ เสียหายไปเลย เพราะว่ามันถอนขึ้นจากดินก็มีแต่เน่านะครับ เน่าเขาก็บ่เอา เพราะว่าโรงงานเขาก็บ่ซื้อ”
“ระแวง”
ผู้อพยพหลายคนที่.ได้พูดคุย ทั้งที่ศูนย์อพยพแห่งนี้และอีกแห่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน บอกตรงกันว่า ช่วงเวลา 5 เดือนนับตั้งแต่ที่มีการปะทะในเดือน ก.ค. มันทำให้พวกเขา “ระแวง” และเปลี่ยนการใช้ชีวิตไปโดยสิ้นเชิง
“แต่ก่อนมันก็ปกติแม่นบ่ครับ ไปไร่ไปนาจังซี่มันก็ได้ทำงาน ทำอิหยังทั้งวันครับ แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันออกไปแค่ชั่วโมงสองชั่วโมงก็กลับมา เพราะว่ามันระแวง มันบ่ได้เต็มที่นะ” รังสรรค์บอกว่าด้วยความที่ไร่นาของเขาอยู่ห่างจากบ้านประมาณ 3-4 กิโลเมตร ทำให้เขาไม่กล้าใช้เวลาอยู่ที่นั่นนานนักตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา เพราะกังวลอยู่ตลอดว่าจะต้องกลับมาเก็บของอพยพ
ขณะที่ จันที คำนึงผล ชาวบ้านในอีกหมู่บ้านของ อ.น้ำยืน วัย 62 ปี ที่อยู่ในศูนย์อพยพอีกแห่ง บอกกับ.ว่า เหตุไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ทำชีวิตเธอเปลี่ยนไป
“เปลี่ยน เปลี่ยนมากเลยลูก ไม่กล้าไปทำอะไรเลย ไปก็ระแวง ซื้อของมาขายก็ระแวง ไม่ได้ทำอะไรกินเลยนะที่บ้าน พยายามจะอพยพอย่างเดียว เพราะว่ามันโดนเนาะ มันก็กลัว ทำอะไรก็ไม่สบายใจหรอก ไม่ถึงวันก็กลับแล้ว คิดอย่างเดียวว่าเมื่อไหร่ลูกปืนมันจะตก” เธอบอก
หลานชายวัย 17 ปีของเธอได้รับผลกระทบจากการปะทะเมื่อวันที่ 24 ก.ค. ด้วย โดยถูกสะเก็ดsะเบิดจาก BM-21 ที่มาตกในหมู่บ้าน ทำให้ได้รับบาดเจ็บบริเวณปอด คอ และต้นแขน จนทุกวันนี้ยังต้องพาไปรักษาและติดตามอาการที่โรงพยาบาลในเมืองอุบลราชธานี ซึ่งเหตุที่เกิดกับครอบครัวโดยตรงทำให้เธอยิ่งระแวง
แต่จันทีให้สัมภาษณ์ด้วยรอยยิ้มและท่าทีสบาย ๆ เธอบอกว่าตอนนี้เธอเริ่มดีขึ้นบ้างแล้วตามอาการของหลานชาย

ที่มาของภาพ : Wasawat Lukharang/ BBC Thai
“อยากให้มันจบ”
ทว่าบางคนที่เผชิญกับความสูญเสียหนักกว่า ไม่สามารถสะกดกลั้นน้ำเสียงสั่นได้เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ แม้จะผ่านมาหลายเดือนแล้ว
“รอบแรกทำงานอยู่กรุงเทพฯ ก็ได้ยินเขาลงในไลน์หมู่บ้านว่าsะเบิดลงบ้านตา ตอนแรกก็ไม่เชื่อ ก็ยังไม่แน่ใจ ทีนี้แม่โทรไปบอก ก็เลยโทรหาพ่อ” บังอร พรมเกตุ วัย 37 ปี เล่า เธอเว้นวรรค หายใจหนัก และจากนั้นก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “พ่อบอกว่ายายคงไม่รอดแล้วแหละ ไม่อยากเล่าเลย” เธอกล่าว
และก่อนที่เราจะถามอะไรต่อ เธอก็พูดต่อว่า “แกขาขาด ขาแกเละหมดเลย ยาย บ้านก็พังหมด ตาก็ต้องติดเตียงจนถึงทุกวันนี้แหละ”
เธอบอกว่าในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา มีหน่วยงานเข้ามาเยียวยาอยู่บ้าง คือเข้ามาสร้างบ้านของตาที่พังทั้งหลังให้ หลังถูกsะเบิดจาก BM-21 ตกใส่ และช่วยซ่อมแซมบ้านของเธอที่ถูกสะเก็ดsะเบิดเสียหายไปด้วยบางส่วน แต่ครอบครัวยังไม่ได้รับเงินเยียวยาผู้เสียชีวิตที่ขณะนั้นมีการประกาศว่าจะให้รายละ 8 ล้านบาท เนื่องจากยายของเธอเป็นคนลาวทำให้ไม่เข้าเกณฑ์ แต่ขณะนี้ครอบครัวกำลังอยู่ระหว่างยื่นอุทธรณ์กับกระทรวงยุติธรรม
“ก็เปลี่ยนไปเยอะอยู่นะ” บังอรพูดถึงชีวิตของเธอ เธอเคยทำงานที่กรุงเทพฯ เพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่ 5 เดือนที่ผ่านมาเธอไม่ได้ทำงานเพราะต้องกลับอุบลฯ มาช่วยดูแลตาที่ป่วยติดเตียง

ที่มาของภาพ : Wasawat Lukharang/ BBC Thai

ที่มาของภาพ : Bangon Phromket/ handout
“จากที่เคยใช้ชีวิตปกติ ก็ทำมาหากิน ก็เหมือนตาอย่างนี้เนาะ ก็ต้องแม่เฝ้า ป้าก็ต้องเฝ้า ก็ต้องเปลี่ยนกันไปทำงาน เปลี่ยนกันไปเกี่ยวข้าว เปลี่ยนกันไร่มัน” เธอเปิดเผย “บางทีแกก็มีโมโหร้ายบ้าง เพราะว่าแกหงุดหงิดเนาะ แกก็อยากไป เพราะว่าสมองแกก็รับความกระทบกระเทือน บางทีแกก็ลืมไปว่าแกไม่มีขา บางทีแกก็อยากเดิน”
ตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา บังอรบอกว่าเธอมีแค่ “เงินเก็บ” ที่สามารถนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และเงินส่วนที่ว่านั้นก็ร่อยหรอลงไปทุกทีแล้ว และมีเหลือพอใช้ชีวิตแบบไม่ทำงานได้จนถึงปีใหม่เท่านั้น
“รอบนี้ก็ขอให้มันจบ” เธอบอก
เช่นเดียวกับรังสรรค์ที่ก็บอกกับ.ในทำนองเดียวกัน
“ก็อยากให้มันจบแล้วครับ” เขากล่าว “เมื่อก่อนมันก็เงียบสงบเนาะครับ มันบ่มีหยัง มันก็ทำไร่ทำนาครับ ไปไสมันก็ม่วนนะครับแต่ก่อน บ่ได้คิดหวาดระแวงคือแบบนี้”












